บทที่ 1465 กลยุทธ์สาวงาม
ลู่เซิ่นจับตัวหรูเว่ยเสียงไว้จากทางด้านหลัง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมและเฉียบขาดว่า:“รีบไปเร็ว!”
เพื่อไม่ให้สถานะของฉินซีถูกเปิดเผย เขาจึงไม่ได้เอ่ยชื่อของเธอ
ฝีมือการต่อสู้ของหรูเว่ยเสียงไม่ด้อยเลย พอๆกับฝีมือของฉินซี
หากฉินซีต้องการจะจากไปไม่ง่ายเลย แต่ก่อนที่เธอจะจากไป เธอต้องการนำหลักฐานไปด้วย จึงทำให้เสียเวลาเช่นนี้
เมื่อเธอได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา
ฉินซีคิดไม่ถึงเลยว่า ลู่เซิ่นจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เขามาที่นี่ได้อย่างไรกัน
ในใจของเธอรู้สึกสับสน:“ได้”
ฉินซีพยักหน้าและก่อนที่จะจากไปก็ยังไม่ลืมที่จะมาหยิบหลักฐานที่ตู้เชฟ
หรูเว่ยเสียงกำลังต่อสู้ๆได้อย่างสบายๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ จะมีคนมีโผล่มา
เมื่อได้ยินเขาพูดกับฉินซีรู้แจ้งกระจ่างในฉับพลัน
ที่แท้เขาก็คือเพื่อนของฉินซี
หรูเว่ยเสียงรู้สึกโมโห เขากำหมัดแล้วโจมตีลู่เซิ่นอย่างแรง
ช่วงเวลานี้ลู่เซิ่นกำลังทำการทำให้กลับสู่สภาพเดิม มือไม้ไม่เลว การต่อกรกับหรูเว่ยเสียงเป็นเรื่องที่ไม่ยาก
เขาใช้เท้าเตะแค่ทีเดียวก็สามารถทำให้หรูเว่ยเสียงล้มไปบนพื้น เมื่อคิดได้ว่าเดี๋ยวจะมีรปภ.จำนวนหนึ่งเข้ามา ทำให้เขารู้สึกร้อนใจ
ลู้เจิ้นรีบพุ่งเข้าไปด้านหน้าของฉินซี ดึงมือของเขาแล้ววิ่งออกไปข้างนอก
“รีบไป ถ้าไม่ไปจะไม่ทันแล้วนะ”
เขาพูดพลาง ดึงมือของฉินซีวิ่งออกไปข้างนอก
ฉินซีรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือของลู่เซิ่น ในใจรู้สึกเครียดแค้น
สมองของเขาไร้ซึ่งสติ ถูกลู่เซิ่นลากพลางวิ่งออกไปข้างนอก
ลู่เซิ่นจูงเธอวิ่งผ่านห้องโถง แล้วหาห้องเพื่อหลบซ่อน
หรูเว่ยเสียงยังคงตามหลังมาอย่างไม่ลดละ แต่ว่าเมื่อตามมาถึงครึ่งทางก็ตามไม่ทันเสียแล้ว
เขาโมโหจนใช้เท้าเตะไปที่ผนัง พลางส่งเสียงคำรามด้วยความโมโหว่า:“ไอ้ระยำ อย่าให้จับพวกนายได้นะ ไม่งั้นผมจะสับพวกนายให้เป็นหมื่นท่อนเลย”
หรูเว่ยเสียงคิดไม่ถึงเลยว่าคนเป็นๆทั้งสองคนนี้จะหายไปต่อหน้าต่อตาเขา ทั้งยังทำเรื่องใหญ่แบบนี้ด้วย แล้วจะให้เขากลับไปรายงานกับหลูจื๋อหลินอย่างไร
“คุณ…”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่หล่อเหลาของลู่เซิ่น ในใจของฉินซีก็มีเรื่องมากมายที่จะพูดกับเขา
เธอยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ลู่เซิ่นก็ใช้มือปิดปากเธอไว้
“จุ๊!”
ลู่เซิ่นก้มหน้าเพื่อบอกเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรออกไป
เวลานี้หรูเว่ยเสียงยังคงอยู่ข้างนอกตามหาพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง หากส่งเสียงดังอาจจะถูกตามเจอได้
เมื่อฉินซีตระหนักได้ว่าตนกำลังไม่มีสติ จึงรีบปิดปาก
ด้านนอกประตู
รปภ.วิ่งมาอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นหรูเว่ยเสียงเดินอยู่ที่ระเบียงเพียงลำพัง ด้านสีหน้าโมโห
หัวหน้ารปภ.ก็เขยิบไปเบื้องหน้าแล้วถามขึ้นว่า:“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?เมื่อสักครู่นี้ในวิทยุสื่อสารคุณบอกว่ามีคนบุกรุกไม่ใช่เหรอ แล้วคนล่ะ?”
เขามองไปที่ระเบียงที่ว่างเปล่า นัยน์ตาเผยความสงสัยออกมา
สีหน้าของหรูเว่ยเสียงไม่สู้ดีนัก เขาเอ่ยปากขึ้นว่า:“หนีไปแล้ว”
เขากัดฟันกำหมัดแน่นจนเส้นเอ็นที่หลังมือตึงพลางพูดขึ้นว่า
“อะไรกัน?”
หัวหน้ารปภ.มองไปที่เขาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าคนจะหนีไปแล้ว
เพราะเขารู้ดีว่าความสามารถของหรูเว่ยเสียงไม่เป็นสองรองใคร
ใครกันที่สามารถเล็ดลอดสายตาของเขาไปได้ ทำให้หัวหน้ารปภ.ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาประหลาดใจ ในใจเขาคิดขึ้นมาได้ว่า:“งั้นของของประธานหลูยังอยู่ไหม?”
เขาถามขึ้นอย่างระมัดระวัง ดวงตาคู่นั้นพลางมองตรงไปยังหรูเว่ยเสียงรอให้เขาตอบคำถาม
หรูเว่ยเสียงก้มหน้าอย่างอับอาย พูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนใจว่า:“ถูกผู้หญิงคนนั้นขโมยไปแล้ว”
เมื่อสักครู่นี้เขาประมาทเกินไป คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะมีเพื่อนมาช่วย
“ผู้หญิง?”
สีหน้าของรปภ.ประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของหรูเว่ยเสียงได้
หรือว่าผู้หญิงคนนั้นใช้กลยุทธ์หญิงงามกับหรูเว่ยเสียง?
แต่ที่เขารู้มาหรูเว่ยเสียงเป็นคนที่ไร้หัวใจ ปกติแล้วเขาไม่หลงกลผู้หญิงสวยง่ายๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลูจื๋อหลินให้เขาได้อยู่ข้างกาย
เรื่องๆนี้แปลกจริงๆ หัวหน้ารปภ.คิดไม่ตก
แต่หลังจากที่ได้ยินว่าหลักฐานสำคัญหายไป เขาก็รู้สึกลนลานไม่สบายใจ:“ถ้างั้นจะมายืนงงอยู่ตรงนี้ทำไม รีบไปตามหาสิ!”
หัวหน้ารปภ.พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
หากตามของกลับมาไม่ได้หลูจื๋อหลินจะต้องไล่พวกเขาออกทั้งหมดเป็นแน่
เมื่อคิดถึงจุดนี้หัวหน้ารปภ.ก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่ลำคอ
……
ด้านนอกมีเสียงดังเอะอะโวยวาย
ลู่เซิ่นกับฉินซีแอบอยู่ในบริเวณซอกแคบๆ หน้าอกประชิดกันไร้ซึ่งช่องว่าง
ฉินซีสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจากตัวของลู่เซิ่นได้อย่างชัดเจน หอมอ่อนๆมีเสน่ห์ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะซุกเข้าไปอยู่ในซอกคอของลู่เซิ่น
ในเวลานี้ฉินซีราวกับลูกแมวตัวหนึ่งที่ชอบคลอเคลียคน พลางบิดตัวไปมาอยู่อ้อมกอดของเขา
ทั้งสองไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว ในเวลานี้ได้อยู่ด้วยกันในห้องแคบๆ
ดวงตาสี่ข้างประสานกัน ฟืนแห้งกับไฟ แค่ใกล้ก็ปะทุขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ทั้งสองเริ่มหายใจแรงขึ้น
ลู่เซิ่นก้มหน้ามองไปที่ดวงตาที่เป็นประกายราวกับเพชร คอหอยกลอกไปมาดูเซ็กซี่ อารมณ์ที่อยู่ในใจกำลังปะทุออกมา
ฉินซีเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับลู่เซิ่น และอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง
เธอรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว และเริ่มหายใจลำบากขึ้น
ในขณะที่ฉินซีกำลังจะเอ่ยปากเพื่อทำลายความเงียบ จู่ ๆ ลู่เซิ่นก็ก้มหน้าลง และจูบอย่างเฝ้าถวิลหา
จูบของเขาร้อนแรงจนทำให้เธอไร้เรี่ยวแรง
ความคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ในใจก็ปะทุขึ้นมา ฉินซีปิดตาลงโดยไม่ได้สมัครใจ เขย่งเท้าขึ้นพยายามสอดรับกับความต้องการของลู่เซิ่น
เธอราวกับปลาที่ต้องการน้ำ พยายามที่จะดูดน้ำจากลู่เซิ่น
สายตาคู่นั้นของลู่เซิ่นประคองใบหน้าของเธอด้วยสองมือพลางจูบเธอแรงขึ้น
ฉินซีรู้สึกว่าอาการบริเวณช่องอกของเธอน้อยลงเรื่อยๆ สองเท้าของเธออ่อนปวกเปียก แทบจะยืนไม่ไหวแล้วล้มไปข้างหลัง
ลู่เซิ่นคว้าเอวบางของเธอไว้อย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้สึกว่าฉินซีเริ่มหายใจติดขัด ลู่เซิ่นจึงเธออย่างอาลัยอาวรณ์
ลู่เซิ่นก้มหน้ามองเธอด้วยแววตาร้อนผ่าว
หน้าผากของทั้งสองประชิดติดกัน สี่ตาประสานกัน มีความเสน่ห์หาที่ไม่สามารถพูดออกมาได้
ฉินซีไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ออกมาอย่างไร ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่เจอลู่เซิ่น ในใจของเธอว่างเปล่า ราวกับเรือที่ไม่มีที่พักพิง หาตลิ่งไม่เจอ
แต่ว่าตอนนี้ฉินซีรู้สึกว่าตนเองถูกเติมจนเต็ม เนื่องจากมีลู่เซิ่นอยู่ข้างกาย เธอรู้สึกได้ถึงอนาคตและความหวัง
ฉินซียกริมฝีปากขึ้นโดยไม่ได้สมัครใจ ในใจรู้สึกหอมหวานราวกับได้กินน้ำผึ้ง
นี้เป็นวันที่ฉินซีมีความสุขที่สุดในรอบสองเดือน
เธออดไม่ได้ที่จะยกแขนขึ้น กอดลู่เซิ่นแน่น
ฉินซีและลู่เซิ่นไม่พูดไม่จา ภายในห้องที่เงียบสงบสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นของทั้งสองได้อย่างชัดเจน
หากเป็นไปได้ ฉินซีก็อยากให้เวลาได้หยุดลงที่วินาทีนี้