หลูจื๋อหลินครุ่นคิด ก็ขมวดคิ้วแน่น
เขามองไปที่หัวหน้าผู้คุ้มกัน รู้สึกว่าคำพูดของเขาเมื่อกี้จะต้องมีความหมายอื่นแน่
หลูจื๋อหลินเอ่ยถามไปโดยตรง “แกมีความคิดอะไรดีๆไหม?”
หัวหน้าผู้คุ้มกันลังเลเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าควรไม่ควรพูด
“คือ….”
เขาพูดอย่างคลุมเครือ “ประธานหลู ผมมีวิธีหนึ่ง แต่อาจจะไม่ค่อยเหมาะสม ผมกลัวว่าถ้าบอกคุณไปแล้ว คุณจะโกรธ”
หัวหน้าผู้คุ้มกันแสร้งทำเป็นลำบากใจ ยืนอยู่ฝั่งนึง สายตาคับแคบ
ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ หลูจื๋อหลินก็ยิ่งอยากรู้
เขารู้สึกว่าตอนนี้หรูเว่ยเสียงพึ่งพาไม่ได้เลย แม้แต่หน้าของมือสังหารคนนั้นเขายังไม่เห็น ยังมาสรุปเอาเองว่าฉินซีเป็นฆาตกรตัวจริง
หรูเว่ยเสียงมีความเป็นไปได้ว่าจะเอาเอกสารกลับมาไม่ได้ เขาจำเป็นต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า
เขามองไปที่ท่าทางลังเลของหัวหน้าผู้คุ้มกัน “มีอะไรแกพูดมาตรงๆก็พอ ถ้าข้อเสนอของแกมีประโยชน์จริง ฉันจะพิจารณาเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนให้แก”
แน่นอนว่าหลูจื๋อหลินรู้ว่าที่เขาต้องการคืออะไร มันไม่ได้เกี่ยวพันกับเรื่องนี้
คำพูดของเขาทำให้หัวหน้าผู้คุ้มกันใจเต้นทันที
หัวหน้าผู้คุ้มกันเดินไปตรงหน้าเขาอย่างมีเลศนัยแล้วพูดเสียงเบา “ประธานหลู แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าในเอกสารนั้นมีเนื้อหาอะไร แต่ถ้าเรื่องถูกเปิดโปงขึ้นมา จะต้องหาคนมารับโทษ งั้นใครที่ทำเอกสารนี้หาย ก็ให้เป็นผู้กระทำผิด”
เขาพูดด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ความหมายในนั้นชัดเจนมาก
หลูจื๋อหลินคิดไม่ถึงว่าเขาที่ดูท่าทางโง่เง่า ยังเปลี่ยนสมองได้รวดเร็ว
ที่เขาพูดก็ไม่ผิด ถ้าเอกสารฉบับนี้ไปอยู่ในมือของตำรวจ ตำรวจจะต้องมาจับเขาแน่ ถึงตอนนั้นถ้าไม่มีแพะรับบาป เขาก็ต้องแบกรับไว้คนเดียว
เป็นธรรมดาที่หลูจื๋อหลินจะไม่อยากติดคุก ชีวิตดีๆภายนอก เขายังมีความสุขไม่พอ
แววตาของหลูจื๋อหลินฉายแสงที่มีความหมายลึกซึ้ง เขาจ้องมองไปที่หัวหน้าผู้คุ้มกันเป็นเวลานาน
หัวหน้าผู้คุ้มกันถูกเขามองด้วยความตึงเครียด พูดอย่างตะกุกตะกัก “ประธานหลู ที่ผมพูดไปเมื่อกี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? ทำไมคุณถึงมองผมด้วยสายตาแบบนั้น?”
เขายืนตัวสั่นอยู่กับที่ กลัวว่าพูดอะไรผิด
ในใจหัวหน้าผู้คุ้นกันเสียใจเล็กน้อย เขารู้สึกว่าที่ตนพูดไปเมื่อกี้มันเถรตรงเกินไป ยังไม่ทันรู้ความคิดของหลูจื๋อหลินอย่างชัดเจน ก็ทำตัวผลีผลาม ประมาทไปหน่อย
สัมผัสได้ถึงความประหม่าของเขา ใบหน้าของหลูจื๋อหลินก็เผยรอยยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไร เพียงแค่นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าแกยังมีสมอง”
ตลอดมานี้ หลูจื๋อหลินมักจะมองว่าเขาเป็นคนบ้าบิ่น
ตอนนี้จู่ๆสมองเขาก็เติบโตแล้ว ทำให้เขารู้สึกไม่ชินเล็กน้อย
แต่เพราะคำพูดนี้ของหัวหน้าผู้คุ้มกัน ที่เตือนสติเขา
หัวหน้าผู้คุ้มกันยิ้มอย่างขัดเขิน “ฮิฮิฮิ…”
เขาเกาหลังศีรษะอย่างเขินอาย
แม้ว่าสมองของเขาจะไม่สว่างไสวมากนัก แต่ก็ฟังออกว่าหลูจื๋อหลินกำลังเหน็บแนมเขา
แต่ต่อให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่คำพูดที่ดี ต่อหน้าหลูจื๋อหลิน เขาก็ได้แต่คล้อยตามอย่างเชื่อฟัง
ท่าทางที่ตกตะลึงแบบนี้ ทำให้หลูจื๋อหลินสงสัยเล็กน้อย ว่าเขาคิดวิธีนี้ได้ยังไง?
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพัวพันกับสิ่งนี้
นึกถึงว่าทางด้านหรูเว่ยเสียงไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นยังไง หลูจื๋อหลินก็รีบเดินไปอย่างรวดเร็ว
…..
ในขณะเดียวกัน
ฉินซีก็ได้พบกับจั่วยีสำเร็จแล้ว
รถหยุดลงข้างทาง
จั่วยีมองไปรอบด้าน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีศัตรู ก็เปิดประตูรถออก แล้วเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ฉินซีก็ค่อยๆลืมตาทั้งคู่ขึ้น
เมื่อมองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของจั่วยี เธอก็พูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “เรื่องที่ฉันมอบหมายให้นายทำ จัดการไปถึงไหนแล้ว?”
ฉินซีคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าหลูจื๋อหลินจะต้องให้หรูเว่ยเสียงมาค้นหาด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงส่งมอบเอกสารให้จั่วยี ให้เขาเอาออกมาก่อน แฟกซ์ส่งไปให้จ้านเซิน
จั่วยีพยักหน้าด้วยท่าทางเคารพ “จัดการเรียบร้อยแล้วครับ ทางฝั่งบอสบอกให้พวกเรารีบกลับไป”
เมื่อกี้เขาสนทนากับจ้านเซิน ดังนั้นจึงรู้สึกว่าจ้านเซินไม่ได้สนใจเลยว่าเอกสารฉบับบนี้จะถึงมือหรือไม่ เขาเพียงแค่กังวลที่อยู่ของฉินซี
สีหน้าของฉินซีไม่เปลี่ยน พูดตอบอย่างเย็นชา “รู้แล้ว ตอนนี้จะกลับแล้ว”
ครั้งนี้ออกมาได้เจอหน้าลู่เซิ่น เธอก็พอใจมากแล้ว
แต่ความปรารถนาของมนุษย์มักเพิ่มขึ้นไม่หยุด เจอหน้าครั้งนึง ก็อยากเจอครั้งที่สอง ครั้งที่สาม
แม้ว่าในใจของฉินซีจะไม่เต็มใจ แต่ก็จำเป็นต้องกลับไป
พูดจบ เธอก็หลับตาลงอีกครั้ง
รถแล่นไปบนท้องถนนอย่างราบรื่น
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ก็เข้าสู่องค์กรได้สำเร็จ
การกลับมาของฉินซีทำให้จ้านเซินกับเหยาจ้าวถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ในตอนที่เธอลงจากรถ จ้านเซินก็รออยู่ด้านข้างแล้ว
ฉินซีพึ่งจะถึงพื้น ก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลานั้น
เธอเม้มมุมปาก เดินไปทางจ้านเซินอย่างช่วยไม่ได้
“ฉันกลับมาแล้ว”
ฉินซีหายใจเข้าลึก บังคับตัวเองให้ร่าเริง
เธอฝืนยิ้มออกมา ไม่อยากให้จ้านเซินเห็นความน่าสงสัย
“อืม”
เห็นฉินซีกลับมาอย่างปลอดภัย ใบหน้าของจ้านเซินสงบนิ่ง แต่ในใจกลับมีความสุขมาก
สองวันมานี้เขาไม่ได้ห่างจากจอมอนิเตอร์เลย กลัวว่าถ้าไม่เฝ้าดู ฉินซีจะหนีไป
เหยาจ้าวเห็นเธอ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่สดใส “ทำไมเธอมาถึงเอาป่านนี้ ฉันกับจ้านเซินรอเธอมาตั้งนานแล้ว แทบจะนึกว่าเธอเกิดเรื่องระหว่างทางซะแล้ว”
เขาพูดอย่างติดตลก เดินไปตรงหน้าฉินซี กอดเธอไปหนึ่งที
เหยาจ้าวอยากถามว่าเธอได้เจอลู่เซิ่นไหม แต่มองดูรอบด้านไม่สะดวกให้พูดถึงเรื่องนี้ เขาได้แต่ปิดปากไว้
ฉินซียืนอยู่ที่เดิม เห็นเขาเดินเข้ามากอดตน ใบหน้าก็เผยความเมินเฉย
เธอผลักเหยาจ้าว บ่งบอกให้เขารีบปล่อย “งานง่ายขนาดนี้ ฉันจะไปมีเรื่องได้ยังไง อีกอย่างยังมีจั่วยีจั่วเอ้อปกป้องฉัน นายอ่อนไหวเกินไปหรือเปล่า”
คำพูดของฉินซีมีความหมายอื่นแฝงอยู่
จ้านเซินรู้สึกมาตลอดว่าฉินซีกำลังชี้แนะเขา แต่เขาก็ยังหาหลักฐานไม่ได้
มองท่าทางที่สนิทสนมกันของฉินซีกับเหยาจ้าว ในใจของจ้านเซินก็อึดอัดมาก
เขาเดินไปตรงหน้าของทั้งคู่ แยกฉินซีกับเหยาจ้าวออก
ริมฝีปากบางของจ้านเซินขยับเบาๆ “เหนื่อยไหม?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง รอยยิ้มบนในหน้าของฉินซีก็ลดลงเล็กน้อยทันที
ฉินซีพยักหน้าตามจริง “อันที่จริงก็เหนื่อยนิดหน่อย นอนที่โรงแรมไม่ค่อยสบายเท่าไหร่”
เธอส่ายคอที่ปวดเมื่อย และขมวดคิ้ว
จ้านเซินมองใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนบางเบา “งั้นเธอกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ เรื่องที่เหลือฉันจะจัดการให้เรียบร้อย”
ฉินซีรู้ ว่าหน้าที่ของตนสิ้นสุดลงตรงนี้แล้ว
เธอเหนื่อยมากจริงๆ จึงไม่ได้ปฏิเสธ
“โอเค งั้นฉันกลับก่อนนะ มีปัญหาอะไรนายค่อยเรียกหาฉันแล้วกัน”
พูดจบ ฉินซีก็โบกมือ แล้วเดินไปทางห้อง