จ้านเซินหมายความว่าไม่ฆ่าเขาแล้วใช่ไหม?
ในขณะที่ถังย่าคิดไปทั่ว จ้านเซินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ขอโทษ”
จ้านเซินกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่ว เสมือนกับยุงตัวหนึ่ง แต่ถังย่าก็ได้ยิน
“จ้านเซิน นาย…..”
หากจะบอกว่าเหลือเชื่อ บอกว่าตกตะลึงน่าจะดีกว่า
ถังย่ารู้สึกว่าช่วงนี้จ้านเซินผิดปกติไป เขาคงไม่ได้ป่วยหรอกนะ?
แม้ว่าถังย่าจะไม่เชี่ยวชาญในด้านการแพทย์นัก แต่ตอนที่เข้าฝึกในด้านนี้กับทางองค์กร เธอพอจะมีความรู้อยู่บ้างเล็กน้อย
ในฐานะคนไข้ ตัวผู้ป่วยอาจจะไม่รู้ตัวในการเปลี่ยนแปลงของตนเอง แต่คนรอบข้างนั้นรู้ดี
หลังจากครั้งก่อนที่จ้านเซินพาฉินซีกลับมาโรงพยาบาล อารมณ์ของจ้านเซินก็ไม่คงที่ขึ้นทุกที
ทีแรกถังย่าคิดว่าเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าจ้านเซินไม่เพียงแค่ไม่ดีขึ้น แต่กลับแย่ลงไปมากกว่าเก่า
เธอไม่คิดเลยว่าจ้านเซินจะมีความเป็นห่วงเธอ
ถังย่าในใจของจ้านเซิน เธอเป็นเพียงเครื่องมือที่มีประโยชน์เท่านั้น
อันที่จริง จ้านเซินและถังย่ารู้จักกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ต่อให้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้อง
แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง
จ้านเซินจับจ้องรอยแดงลึกบนลำคอของเธอนิ่ง น้ำเสียงปนไปด้วยความรู้สึกผิด “เจ็บไหม?”
เขาก้าวไปข้างหน้ายื่นมือออก ลูปไล้ลำคอของของเธออย่างแผ่วเบา
ถังย่าคิดที่หลบตามสัญชาตญาณ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดร่างกายถึงได้ไม่คำคำสั่ง ยืนอยู่ที่เดิมนิ่ง
เธอจ้องมองจ้านเซินยื่นมือออกมา ลูปไล้ที่ลำคอของเธออย่างเบามือ
ถังย่าไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรดี เพียงรู้สึกจั๊กจี้
สายตาของเธอจ้องมองฝ่ามือของจ้านเซินอย่างประกาย ราวกับว่าเธออยู่ในความฝัน
ถังย่าหยิกตัวเองเต็มแรง ความเจ็บปวดที่ปลายนิ้วบอกกับเธอว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความฝัน
เหตุใดจ้านเซินถึงได้ดีกับเธอขนาดนี้ หรือเพราะเขาได้รับความกระทบกระเทือนจากฉินซีจึงเปลี่ยนไป?
ถังย่าคิดไม่ตก ได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมนิ่ง
เธอจับจ้องจ้านเซินด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าเขาจะได้การกระทบจากฉินซีแรงเกินไป จิตใจได้รับการกระทบอย่างหนัก
จ้านเซินเป็นหัวหน้าองค์กรจะเป็นอะไรไปไม่ได้เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นทุกอย่างก็จะวุ่นวาย
เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร จ้านเซินจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เจ็บไหม?”
เขายังคงหาคำตอบให้ได้
ถังย่าสบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา ราวกับต้องมนต์สะกด ริมฝีปากแดงกล่าวเสียงแผ่ว “เจ็บ”
เธออยากจะแกล้งทำเป็นเข้มแข็งโดยการบอกว่าไม่เจ็บ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อสบตาของจ้านเซิน เธอกลับกล่าวออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
สำหรับถังย่าแล้ว นี่เป็นเพียงรอยแผลเล็กๆ สำหรับเธอ
แต่การที่เธอพูดตอนนี้ กลับดูเล่นตัวยิ่งนัก จู่ๆ ก็ทำให้เธออายเล็กน้อย
ถังย่าเธอมีนิสัยห้าวมาแต่ไหนแต่ไร เธอไม่เคยพูดจาอ่อนหวานมาก่อน
หากแต่ ครั้งนี้น้ำเสียงของเธอนุ่มนวล ราวกับหญิงสาวบริสุทธฺ์ที่อ่อนต่อโลก
จ้านเซินใจอ่อนขึ้นมาทันที การที่ทำให้ถังย่าพูดคำว่าเจ็บออกมาได้ เมื่อสักครู่เขาต้องรุนแรงสักแค่ไหนเชียว จ้านเซินรู้สึกผิดในใจเป็นอย่างมาก
“กลับกันเถอะ ฉันจะทายาให้”
จ้านเซินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้ถังย่างุนงงทำอะไรไม่ถูก
ก่อนหน้านี้ความอ่อนโยนเหล่านี้เป็นของฉินซี ตอนนี้กลับตกเป็นของเธอ เรื่องที่น่ายินดีครั้งใหญ่ทำให้ถังย่ามึนงง
ถังย่าระแวดระวัง แถมยังถามอย่างตะกุกตะกัก “แล้วเราไม่ตามล่าฉินซีกับลู่เซิ่นต่อแล้วหรือ?”
เธอจับจ้องจ้านเซินนิ่ง รอคำตอบของเขา
“ไม่ตามล่าแล้ว”
จ้านเซินกล่าวอย่างเรียบเฉย เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมนิ่ง จึงเดินขึ้นหน้าไปจับมือของเธอเอาไว้
“กลับไปแล้วค่อยว่ากัน”
จบประโยค จ้านเซินจึงจูงมือของเธอขึ้นไป
แต่ต้นจนจบ ถังย่าไม่มีโอกาสในการปฏิเสธแม้แต่น้อย
……
อีกด้าน
ฉินซีและปู่เช่ทำอาหารเย็นเสร็จ จึงยกเสิร์ฟ
เธอจับจ้องลู่เซิ่นที่นอนอยู่บนเตียงด้วยรอยยิ้มอ่อน พลันกล่าวอย่างนุ่มนวล “อาเซิ่น ทานข้าวได้แล้ว”
ลู่เซิ่นลุกขึ้นจากที่นอนเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเธอ
“ให้ฉันพยุงไหม?”
ฉินซีวางถ้วยในมือลง มุ่งไปที่ลู่เซิ่น
แม้ว่าลู่เซิ่นจะบาดเจ็บ แต่ก็ไม่อยากถูกทำเหมือนกับว่าตัวเขาเป็นสัตว์เลี้ยง
เขาส่ายหน้า กล่าวอย่างมุ่งมั่น “ไม่ต้องหรอก ผมไหว”
ลู่เซิ่นกล่าว พรางลุกออกจากเตียง
เขาสาวเท้าอันเรียวยาวเคลื่อนมายังโต๊ะอาหาร
ที่นั่งหลัก
ปู่เช่รู้สึกดีกับเขามากกว่าเดิมไม่น้อย เหตุมาจากประโยคที่ฉินซีได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของทั้งคู่ในตอนนี้ ปู่เช่จึงกล่าวอย่างเด็ดขาด “พวกเธอสองคนอยู่ที่นี่ไปสักระยะก่อนเถอะ ที่นี่เป็นป่าลึก แถมยังค่อนข้างปลอดผู้คน พวกเขาคงหาตัวพวกเธอไม่เจอชั่วคราว”
แม้ว่าพื้นผิวของปู่เช่จะดูใจร้าย แต่ลึกๆ เขาเป็นคนใจดีเอื้อเฟื้อ ไม่เช่นนั้น ทีแรกที่เขาเห็นฉินซีนอนจมกองหญ้า คงเป็นไปไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ลู่เซิ่นนิ่งไปสักพักหนึ่ง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มที่ปลาบปลื้ม “ขอบคุณครับคุณปู่”
สุขภาพของเขาในตอนนี้ ไม่เหมาะกับการเคลื่อนไหวจริงๆ นั่นแหละ
หากแต่ พวกเขาเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ตลอดได้ หากจ้านเซินตามมาถึงที่นี่แล้วละก็ ปู่เช่เองก็จะเดือดร้อนไปด้วย
ลู่เซิ่นใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณปู่เช่ครับ ท่านพอจะรู้ไหมว่าที่นี่พอจะหามือถือได้จากที่ไหนบ้าง?”
ปู่เช่สันโดดอยู่ในป่ามานาน เขาไม่มีโทรศัพท์อยู่แล้ว เพราะงั้นพวกเขาจึงต้องออกไปหาข้างนอก
ลู่เซิ่นอยากจะติดต่อโจวเอ้อ ให้เขาช่วยเตรียมการ
เมื่อถึงเวลา อาการของลู่เซิ่นดีขึ้นแล้ว ก็สามารถไปจากที่นี่ได้เลย
ปู่เช่ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง “มีอยู่ที่หนึ่ง น่าจะมีโทรศัพท์”
ที่นี่อยู่ห่างไกลจากข้างนอกมาก ต่อให้มีโทรศัพท์สัญญาณก็ไม่ดี ปู่เช่ก็ไม่มีคนที่จะติดต่อ เพราะงั้นจึงไม่เคยใช้ของพวกนี้
ส่วนเรื่องการเข้าไปในตัวเมือง ปู่เช่ก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เขาเองก็ใช่ว่าปลีกวิเวกไปซะทีเดียว หนึ่งปีเขาจะลงเขาหนึ่งครั้ง แต่ก็แค่เพียงแค่ถึงตีนเขาเท่านั้น
ปู่เช่กล่าวด้วยอย่างเบิกบาน “หากพวกเธอต้องการ ฉันสามารถไปเอามาให้ได้สองเครื่อง”
เขารู้สึกว่าลู่เซิ่นและฉินซีช่างน่าสงสาร รักกันแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เพราะงั้นเกิดความเห็นอกเห็นใจ
ลู่เซิ่นอยากจะบอกว่า แค่เครื่องเดียวก็พอแล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกหน่อยหากเครื่องหนึ่งพังขึ้นมา หรือบางทีอาจเกิดปัญหาหรือทำหายขึ้นมา ก็ต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่อยู่ดี
เตรียมของไว้ให้พร้อมตั้งแต่ตอนนี้ ถึงเวลาก็ไม่ต้องยุ่งวุ่นวาย
ดังนั้น ลู่เซิ่นจึงพยักหน้ารับ “ครับ คุณปู่”
ฉินซีนำเงินสดออกมาจากกระเป๋า “คุณปู่เช่ เงินพวกนี้เอาไปซื้อโทรศัพท์นะคะ ที่เหลือท่านก็เก็บเอาไว้เองนะคะ”
เธอรู้ดีว่าปู่เช่อาศัยอยู่บนเขาลึก ในตัวเขาไม่มีเงินอยู่แล้ว
พวกเขาสร้างปัญหาให้กับปู่เช่มามากแล้ว ไม่อยากจะเอาเปรียบเขาอีก