ตอนนี้มีลู่เซิ่นอยู่ข้างกาย การป้องกันของเธอค่อยๆ ลดลง ได้พักผ่อนอย่างสบายใจเสียที
ไม่นาน ฉินซีก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
สองเดือนมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอหลับสบายที่สุด
แสงแดดแรกแย้ม สาดส่องบนใบหน้าที่งดงามสองใบ นำพาซึ่งบรรยากาศที่อบอุ่น
ฉินซีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพบุษค่อยๆ ชัดเจนในสายตา เธอหัวใจสั่นไหว ยกยิ้มมุมปากอย่างควบคุมไม่ได้
เธอจับจ้องลู่เซิ่นอย่างหลงใหล เข้าใกล้เขาอย่างเงียบๆ ก่อนที่เธอจะจูบลงบนริมฝีปากบางของเขาโดยไม่รู้ตัว
ฉินซีคิดว่าเธอทำทุกสิ่งนี้ด้วยความแนบเนียน แต่กลับไม่รู้เลยว่าลู่เซิ่นได้ตื่นขึ้นมาตั้งนานแล้ว
เขารอคอยมาตลอด ดูว่าฉินซีคิดจะทำอะไรกันแน่
เมื่อฉินซีจูบเขา ลู่เซิ่นค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“แอบจูบผม?”
ลู่เซิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า น้ำเสียงปนไปด้วยความขี้เกียจของการเพิ่งตื่นนอน
ฉินซีเบิกตากว้างอย่างตกอกตกใจ ไม่คิดเลยว่าจะถูกเขาจับได้อย่างจัง
เธอใบหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างอ้ำอึ้ง “ฉันเปล่า ฉันเห็นว่าบนหน้าของนายมีแมลงวัน ก็เลยช่วยไล่ออกไปเท่านั้น”
ฉินซีหาข้ออ้าง เพื่อกลบเกลื่อน
แต่ คำอธิบายของเธอนั้นช่างไม่เป็นเหตุเป็นผล
ใครที่ไล่แมลงวัน ต้องประกบริมฝีปากกัน ใครที่ใช้ปากไล่กัน
ลู่เซิ่นใช้แขนยันศีรษะขึ้น พลันจับจ้องเธออย่างเย้าแหย่ “ภรรยา เธอไม่รู้สึกหรือ ว่าทำอธิบายของเธอช่างตลกสิ้นดี?”
หากไม่ได้นึกถึงฉินซีหน้าบาง ตอนนี้ลู่เซิ่นหัวเราะออกมาเสียงดังตั้งนานแล้ว
แต่ ต่อให้ลู่เซิ่นไม่ได้บังอาจหัวเราะเสียงดัง แต่สายตาและริมฝีปากที่ยกขึ้นนั้นบ่งบอกทุกอย่างแล้ว
ฉินซีรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางเชื่อ เมื่อเห็นว่าเขาเปิดโปงตนเอง ฉินซีเกิดโมโหขึ้นมา “น่าขำตรงไหน เมื่อกี้มีแมลงวันบินผ่านจริงๆ ฉันช่วยนายไล่ นายยังไม่สำนึกอีก รู้แต่แรกฉันไม่ช่วยนายหรอก ให้มันเกาะร่างของคุณ กัดนายให้ตายไปเลย”
เธอกล่าวอย่างดุดัน ถลึงตาโตใส่ลู่เซิ่นอย่างโกรธแค้น
ลู่เซิ่นดึงแขนของเธอ วางลงที่หน้าอก พลันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากผมตายไป คุณภรรยาไม่เสียใจหรือ?”
เขาเรียกเธอภรรยา ทำให้ฉินซีเขินอาย
เธอรู้สึกว่าในอดีตลู่เซิ่นไม่หน้าหนาขนาดนี้ ตอนนี้เป็นอะไรกันแน่
ฉินซีรู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย อยากจะทุบเขาให้สักที
แต่ เธอกลับชอบที่จะให้ลู่เซิ่นเรียกเธอ รู้สึกหวานซึ้งในใจ เพียงแต่ดูแล้วเลี่ยนไปหน่อย
ลู่เซิ่นกล่าวต่อ “แล้วอีกอย่าง แมลงวันไม่กัดคนหรอกนะ ยุงต่างหากที่กัด ภรรยา แม้แต่เรื่องนี้ก็แยกไม่ออกอย่างนั้นเหรอ”
เมื่อประโยคนั้นหลุดออก ฉินซีแทบจะมุดเข้ารู
เธอนึกเสียใจทีหลัง เมื่อสักครู่ทำไมต้องแอบจูบเขา
ตอนนี้ช่างเป็นการยกหินขึ้นทับเท้าตนเอง เป็นความผิดลู่เซิ่น ทำไมต้องหน้าตาน่าหลงใหลแบบนั้นด้วย หากเขาเป็นไอ้ขี้เหร่ เธอก็คงไม่หลงจนโงหัวไม่ขึ้น ถึงขนาดแอบจูบเรื่องที่เสียศักดิ์ศรียังทำได้ลง
ฉินซีไม่มีคำแก้ตัวที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว เธอคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป เธอต้องพ่ายแพ้แน่
เพราะงั้น เธอเลือกที่จะถอยอย่างเด็ดขาด “เหอะ!ฉันไม่อยากเถียงกับนายแล้ว ไม่เชื่อก็ตามใจ ฉันจะลุกไปล้างหน้าล้างตา หลีกไปซะ”
ฉินซีกล่าวอย่างไม่พอใจ พร้อมทีท่าโมโห
เธอจ้องลู่เซิ่น เพื่อบอกให้เธอคลายออก
หากแต่ ลู่เซิ่นกลับเอื้อมมือ รั้งเธอเข้ามา
เขาประทับจูบที่ริมฝีปากของฉินซีอย่างดุเดือด ฉินซีเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เธออยากจะผลักลู่เซิ่นออก แต่กลับกลัวว่าจะโดนบาดแผลของเขา ได้แต่มุดอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย ไม่กล้าต่อต้าน
สักพัก ลู่เซิ่นค่อยๆ คลายมือออก
เขาก้มหน้าลง สบสายตาของฉินซี “ภรรยา ผมแค่อยากบอกคุณว่า เราสองคนเป็นสามีภรรยากัน สามีภรรยาจูบกันเป็นเรื่องปกติ คุณไม่ต้องปกปิดอะไร อยากจะจูบผมตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องปกปิดความทะเยอทะยานในตัวผม เช่นเดียวกันผมก็จะทำแบบนั้นกับคุณ”
ลู่เซิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า จ้องมองฉินซีนิ่ง
ทั้งคู่ประชิดตัวติดกันแน่น กระทั่งฉินซีได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมของลู่เซิ่น
ที่แท้ เขาเองก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
เมื่อคิดได้อย่างนั้น ความอับอายของฉินซีหายไปทันที
เธอหลี่ตาลง ใบหน้าที่งดงามปรากฏรอยยิ้มที่สดใส “ฉันเข้าใจแล้ว”
ฉินซีอยู่ที่องค์กรเป็นเวลานานเกินไป ได้รับการฝึกฝนที่ไร้มนุษยธรรม
ในตอนที่ลู่เซิ่นไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกมา ฉินซีเริ่มรู้สึกว่า ต่อให้รักก็ไม่ควรที่จะเปิดเผย เพราะงั้นเมื่ออยู่กับลู่เซิ่น จึงต้องคอยระแวดระวัง
แต่ เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฉินซีจึงคิดได้ไม่น้อย
ที่นี่ไม่ใช่องค์ เธอหนีออกมาได้แล้ว
หลังจากนี้ เธอต้องการที่จะละทิ้งนิสัยที่ไม่ดีเหล่านั้น ค่อยๆ ลิ้มลองที่จะใช้ชีวิตเหมือนกับคนธรรมดา รักโลกใบนี้อย่างใจกล้า
ไม่ใช่เครื่องมือที่เย็นชาไร้หัวใจอีกต่อไป เพราะเธอเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ จิตวิญญาณของเธอนั้นเป็นอิสระ
“โอเค ตื่นเถอะ ปู่เช่คงจะกำลังรอเราอยู่”
ลู่เซิ่นบีบแก้มที่ขาวนวลของเธอ กล่าวอย่างอ่อนโยน
เมื่อนึกถึงปู่เช่ ฉินซีรีบลุกขึ้นทันที
ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอเอง หากเธอนอนถึงเที่ยงคงไม่ดีแน่
ฉินซีสวมใส่เสื้อผ้า เตรียมตัวตักน้ำ ช่วยลู่เซิ่นเปลี่ยนยา
เธอผลักประตูออก ก็ได้พบกับปู่เช่กำลังทำอาหารเช้า ด้วยขวันโขมง
ไม่พูดไม่ได้เลย บรรยากาศบนเขานี่ ช่างสดชื่นมากกว่าในตัวเมือง
ฉินซีมองเห็นป่าทึบอยู่ทุกหนทุกแห่ง ภาพนกและดอกไม้ จู่ๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
เมื่อคืนเธอนอนหลับสบาย เธอรู้สึกผ่อนคลายอยู่ไม่น้อย
ฉินซีบิดขี้เกียจ ก่อนมุ่งไปทางปู่เช่ “คุณปู่เช่ อรุณสวัสดิ์”
เธอรู้อยู่แล้วว่าปู่เช่ตื่นแต่เช้าตรู่ เมื่อก่อนฉินซีอาศัยอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา ปู่เช่ก็จะทำอาหารจนเสร็จรอเธอ
เมื่อปู่เช่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล่นเข้ามา จึงมองไปที่เธอ ใบหน้าที่แก่ชราเผยรอยยิ้มอย่างยินดี “ตื่นแล้วหรือ ไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะ”
เมื่อวันพวกเขาหลบหนีมาตั้งนาน ต้องเหนื่อยมากแน่ เพราะงั้นปู่เช่จึงตื่นแต่เช้า โดยไม่ให้รบกวนทั้งคู่
ฉินซีส่ายหน้า “ไม่หรอก นอนมามากแล้ว”
เมื่อก่อนที่เธออยู่ที่องค์กร ก็ตื่นขึ้นมาฝึกฝนในเวลานี้เช่นเดียวกัน ตอนนี้เธอตื่นเต็มที่แล้ว จึงนอนไม่ได้อีก
ฉินซีเดินเข้าไป ก็ได้พบกับสิ่งของสีดำในหม้อ
เธอขมวดคิ้วแน่น อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม “ปู่เช่ พวกนี้มันอะไรกัน?”
ฉินซีกวาดมองขวดที่อยู่บริเวณโดยรอบ ด้วยลางสังหรที่ไม่ดี