ถังย่าไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง พลันกล่าวอย่างเย็นชา “จ้านเซิน นายรู้ไหมว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกายของนายตอนนี้เป็นใคร?
เธอกล่าวถามอย่างลองใจ เพื่อที่จะทดลองสติของจ้านเซิน
หากเขาสติไม่ดีแล้ว จะต้องส่งโรงพยาบาลในทันที
หากจ้านเซินไม่ยอม เธอก็จะทุบเขาให้มึนแล้วแบกไป
จ้านเซินที่นั่งอยู่ดีๆ เมื่อได้ยินประโยคของเธอพลันขมวดคิ้วแน่น
เขาหันหน้ากลับมาเล็กน้อย ใช้สายตาที่มองคนสติฟั่นเฟือน จับจ้องถังย่า
จ้านเซินกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “ถังย่า เธอสมองไม่ดีแล้วใช่ไหม?”
น้ำเสียงที่เย็นชา แช่ถังย่าจนตัวแข็งทื่อ
เธอรู้สึกถึงไอเย็นพัดผ่าน ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเอายังไงต่อไปดี
ถังย่าจับจ้องดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้นของเขา พลันหัวเราะ “ฮ่าฮ่า ฉันแค่อยากล้อเล่นกับนายเท่านั้น นายอย่าใส่ใจเลย สมองฉันยังดีอยู่ ไม่มีปัญหาแน่นอน”
เธอหัวเราะอย่างอับอาย กล่าวด้วยน้ำเสียงเยินยอเล็กน้อย
ถังย่าไม่อยากจะถูกมองว่าสติฟั่นเฟือนแบบนี้หรอกนะ แล้วถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล
ไอ้พวกปีศาจใหญ่ในองค์กร ต่างก็ไม่ใช่มนุษย์กันทั้งนั้น แต่ละคนต่างโหดร้ายทารุณ
เมื่อถังย่ารู้ว่าเขาไม่มีความผิดปกติด้านสติ ก็ไม่กล้าล่วงเกินเขาอีกเลย
เธอนั่งอยู่กับที่อย่างว่าง่าย จับจ้องทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
ถังย่าไม่เข้าใจว่าทำไมในระยะเวลาสั้นๆ จ้านเซินถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ความรู้สึกแบบนี้ทำไมเธอเป็นกังวล
เธอไม่กล้าคิดอะไรไปไกลกว่านี้ ยิ่งไม่กล้ารับความดีของจ้านเซิน
ถังย่ากังวล ว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน ความดีที่จ้านเซินมีแต่เธอ ก็เป็นเพียงช่วงเวลาชั่วครั้งชั่วคราว ที่จะมลายหายไปได้ทุกเมื่อ
ถึงเวลานั้น หากเธอเคยชินกับความดีของจ้านเซินขึ้นมา จุดจบของเธอ ก็จะทุกข์ทรมาน
เครื่องยนต์สองคันแล่นอยู่บนถนน
ตลอดทาง ภายในรถเงียบกริบ
เมื่อมาถึงองค์กร จ้านเซินก็ออกไปก่อน
เขาจับจ้องถังย่าที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนรถ พลันขมวดคิ้วแน่น “เธอไม่ลงมาหรือ?”
จ้านเซินกล่าวด้วยน้ำเสียงตุ้มต่ำ จ้องมองดวงตาดำขลับที่เป็นประกายและลมหายใจที่สับสน
ถังย่ายังคงโต้ตอบตนเองในหมอกควัน เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเขา จึงหันหน้ากลับไป
เธอกล่าวอย่างร้อนรน “ลง ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”
ถังย่าผลักประตูรถออก เดินลงไป
เธอเดินไปยังข้างกายจ้านเซิน เพื่อรอคำสั่งจากเขา
จ้านเซินจับจ้องรอยแดงช้ำที่ลำคอของเธอ “เดินตามฉันมา”
จบประโยค เขาก็สาวเท้ายาวมุ่งตรงไปที่ห้องทำงาน
ซิวหน่ายซิงที่คิดจะตามเข้าไป แต่ห้องทำงานเป็นห้องที่เต็มที่ด้วยความลับ
คนที่ไม่ได้ถูกฝึกฝนมาจากองค์กรตั้งแต่เด็กอย่างเขา ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปได้
นอกเสียจากซิวหน่ายซิงได้ทำประโยชน์ ถึงจะได้เลื่อนขั้นได้
แม้ว่าหลายปีมานี้ ซิวหน่ายซิงอยู่ข้างกายถังย่า ขยันขันแข็ง แต่ระยะห่างกลับห่างไกลกันมาก เพราะงั้น ซิวหน่ายซิงได้แต่รออยู่ด้านนอกอย่างว่าง่าย
เขาจับจ้องแผ่นหลังของถังย่าอย่างไม่สบายใจ พลันกล่าวเสียงแผ่ว“นาย…..”
ซิวหน่ายซิงอยากจะบอกว่าอย่าเข้าไป
แต่ เมื่อเขาสบสายตาอำพันคู่นั้นเข้า กลับพูดอะไรไม่ออก
ถังย่าเข้าใจความหมายของเขา จึงกล่าวเสียงแผ่ว “วางใจเถอะ ฉันไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันออกมา นายรอฉันอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว”
ระหว่างพวกเขาทั้งสอง เพียงแค่สบตาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ นี่เป็นความเข้าใจที่ทั้งคู่ได้ร่วมงานกันนาน
ซิวหน่ายซิงรู้ดี ต่อให้จ้านเซินเอาชีวิตของถังย่า เธอก็จะมอบให้อย่างเต็มใจ
ความรักนี้ ช่างยิ่งใหญ่
ซิวหน่ายซิงเห็นใจเธอ ไม่ต้องการให้เธอเพราะรัก ต้องลืมความเป็นตนเอง
แต่ เขากลับรู้จักนิสัยของถังย่าเป็นอย่างดี นอกเสียจากเธอตายใจจริงๆ ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีทางที่จะเปลี่ยนความคิด
“ได้ ผมจะรอนายกลับมา”
ซิวหน่ายซิงสบสายตาสีอ่อนคู่นั้น พลันพยักหน้าอย่างหนักแน่น
เพื่อถังย่าแล้ว เขายอมทุกอย่าง
ถังย่าเผยรอยยิ้ม ก่อนที่จะเดินตามหลังจ้านเซิน เข้าไปในห้องทำงาน
เขาจ้องมองจ้านเซินเดินตรงไปที่ตู้ หยิบกล่องยาออกมา
เมื่อเห็นจ้านเซินหยิบเดินตรงมาที่เธอ หัวใจของถังย่าตีกันให้วุ่น
ทีแรกเธอคิดว่าจ้านเซินเพียงพูดไปอย่างนั้น แต่กลับไม่คิดเลย ว่าเขากลับช่วยเธอทำแผลจริงๆ
เมื่อจ้านเซินเห็นเธอยืนอยู่ที่เดิมนิ่งไม่ไหวติง พลันขมวดคิ้วแน่น “เธอไปนั่งที่โซฟาก่อน”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ปนน้ำเสียงแกมออกคำสั่ง
ถังย่าพยักหน้า ก่อนเดินไปที่โซฟาอย่างว่าง่าย
เธอไม่รู้ว่าจ้านเซินจะทำอะไรกันแน่ แต่เมื่อเผชิญกับเขาที่แสนอ่อนโยน ถังย่าไม่สามารถต่อต้านได้เลย
จ้านเซินเดินไปที่ข้างของเธอคุกเข่าลง
นี่มันครั้งแรกที่ถังย่าจ้องมองจ้านเซินจากมุมนี้ เธอรู้สึกว่าจ้านเซินในตอนนี้น่าหลงใหลกว่าคนเดิมเป็นไหนๆ ทำให้หัวใจของเธอเต้นโครม
หัวใจของเธอในคราแรกได้เย็นชาไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาอบอุ่นดั่งเดิม
จ้านเซินมนอดีตมักมีทีท่าสูงส่ง ไม่เคยดูแลคนอื่นแบบนี้มาก่อน ต่อให้กับฉินซี ก็ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน
ถังย่าไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกในใจอย่างไรดี เสมือนกับว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน ไม่ชัดเจน
หากสิ่งเหล่านี้คือความฝัน ถังย่าหวังว่าเธอจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เธอจับจ้องจ้านเซินนิ่ง ด้วยสายตาร้อนผ่าว
จ้านเซินถูกเขาจ้องจนอึดอัด จึงขมวดคิ้วแน่น “แหงนหน้าขึ้น”
เธอก้มหน้าแบบนั้น มองไม่เห็นคอเลยแม้แต่น้อย
ถังย่ามัวแต่จินตนาการ จนไม่ได้ยินในสิ่งที่จ้านเซินพูด
จ้านเซินที่เห็นเธอใจไม่อยู่กับตัว จึงกล่าวอีกครั้งอย่างเบื่อหน่าย “เงยหน้าขึ้น”
เขาเอื้อมมือออกไป ดันหัวของถังย่าขึ้น บังคับให้เธอฟังคำสั่ง
ถังย่าปล่อยให้เขาดันอย่างว่าง่าย ไม่พูดอะไร
เธอจ้องมองจ้านเซินทายา ใบหน้าที่ขาวนวลแดงก่ำ
จ้านเซินกล่าวด้วยความอ่อนโยน “เจ็บไหม?”
เขาจุ่มสำลีก้านลงในครีมอย่างระมัดระวัง และทาให้ทั่วบริเวณรอยแดงบนลำคอของถังย่า
จ้านเซินยากที่จะจินตนาการ ว่าเมื่อสักครู่เขาใช้ความรุนแรงมากแค่ไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้ถังย่าบาดเจ็บถึงขนาดนี้
ถังย่าเธอมีผิวที่ขาวนวลอยู่แล้ว เมื่อมีบาดแผล ก็จะชัดเจนจนดูน่าตกใจ
“ไม่เจ็บ”
ถังย่าไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกจั๊กจี้ เสมือนกับมีอะไรยางอย่างทับถมเข้ามา
เธอรู้สึกว่า หากเป็นแบบนี้ต่อไป เธอจะทนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ
ถังย่าอยากจะผลักจ้านเซินออก บอกกับเขาว่า เธอทาเองได้
แต่ ถังย่ากลับเสียดายความหอมหวานในนาทีนี้ เธอกลัวว่าหลังจากครั้งนี้ ก็จะไม่มีเรื่องดีๆ แบบนี้เกิดขึ้นอีก
หากรู้แต่แรกว่าการจี้จุดจ้านเซิน ผลลัพธ์จะดีขนาดนี้ ถังย่าลงมือทำตั้งนานแล้ว
“เมื่อกี้ทำไมจะต้องแบบนั้นด้วย หากเธอไม่พูด ก็จะไม่ต้องเป็นแบบนี้”
จ้านเซินจับจ้องดวงตาสีอำพันคู่นั้นของเธอ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา