ถ้าไม่ใช่เพราะความรัก บางทีฉินซีอาจจะยืนหยัดไม่ถึงตอนนี้
ฉินซีมองด้านหลังที่สูงใหญ่ของลู่เซิ่น ยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย
เธอยังคงเดินตามหลังเขาไปเรื่อยๆ เท้าเล็กๆของเธอเหยียบรอยเท้าของลู่เซิ่น เธออยากจะเดินไปกับลู่เซิ่นในทุกๆก้าว อยากจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของลู่เซิ่น ชีวิตที่เหลือก็จะไม่แยกจากกันอีกแล้ว
ริมแม่น้ำไม่ได้ไกลจากกระท่อมมาก
ก็ตอนที่ฉินซีกับลู่เซิ่นเดินไป จู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีการเคลื่อนไหวรอบๆด้าน
ท่าทางของทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นระแวดระวังขึ้นมาทันที
ฉินซีกับลู่เซิ่นสบตากัน พากันค่อยๆหลบ
ลู่เซิ่นจูงมือฉินซี พูดเบาๆ: “ทางเจ็ดนาฬิกา เมื่อกี้เหมือนมีเงาคน”
ฉินซีพยักหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา: “ฉันก็เห็น”
คนนั้นสวมชุดสีดำ บนร่างกายสวมสัญลักษณ์ที่คุ้นตามาก
ฉินซีอยู่ในองค์กรมาหลายปี แค่เห็นก็มองออกแล้ว เป็นสัญลักษณ์ที่ลูกน้องของจ้านเซินสวมเอาไว้
ฉินซีก็เคยมีอันหนึ่ง แต่เป็นอีกระดับชั้นที่สูงขึ้น
ในองค์กรมีแค่เธอกับถังย่าที่เป็นระดับที่สูงขึ้น ส่วนคนที่เหลือต่างก็แบ่งแยกตามระดับชั้น
มือที่อยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่น เสียงแหบพร่าของฉินซีพูดขึ้น: “น่าจะเป็นคนที่จ้านเซินส่งมา”
เธอไม่คิดเลยว่า สายตาของจ้านเซินจะหาที่นี่พบได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้
ดูแล้วเขาพยายามอย่างหนักจริงๆที่จะจับเธอกับลู่เซิ่นกลับไป
ลู่เซิ่นรู้สึกได้ถึงความโหดร้ายที่มากขึ้นเรื่อยๆจากบนร่างของฉินซี เขาขมวดคิ้ว ซ่อนตัวอยู่หลังกองฟาง จับมือของฉินซีแน่น: “อย่าร้อนรน ใจเย็นๆ พวกเขาน่าจะยังไม่เห็นเรา”
เขาปลอบโยนฉินซีเบาๆ กังวลว่าเธอจะวู่วาม แล้ววิ่งเข้าไปฆ่าคนพวกนั้นทันที
ด้วยคำปลอบโยนของลู่เซิ่น ฉินซีจึงหายใจเข้าลึกๆ
แล้วเธอก็ต้องเบิกตาโพลงทันที: “คุณปู่เช่ล่ะ?”
ฉินซีตึงเครียด สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
คุณปู่เช่คงจะไม่เกิดเรื่องใช่ไหม เมื่อครู่คนพวกนั้นได้ไปที่กระท่อมไหม
เธอทำท่าจะยืนขึ้น จะไปหาคุณปู่เช่
ลู่เซิ่นจึงต้องดึงเธอเอาไว้: “ฉินซี!”
เขาพูดเบาๆ จับข้อมือของเธอเอาไว้
“คุณปล่อยฉัน ฉันจะไปหาคุณปู่เช่”
ฉินซีพยายามดิ้นรนสุดกำลัง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ
ถ้าพวกเขากล้าลงมือกับคุณปู่เช่ เธอจะไม่ให้อภัยพวกเขาเด็ดขาด
ฉินซีไม่เคยโมโหเหมือนอย่างตอนนี้มาก่อนเลย เธอปฏิบัติต่อคุณปู่เช่เหมือนกับเป็นปู่แท้ๆ ถ้าคุณปู่เช่เกิดเรื่อง ชีวิตนี้เธอก็หมดหนทางที่จะยกโทษให้ตนเอง
ลู่เซิ่นเห็นเธอกระวนกระวายใจ จึงทำได้เพียงออกแรงให้มากขึ้น รั้งเธอเอาไว้: “ฉินซี คุณต้องเชื่อในตัวคุณปู่เช่ เขาฉลาดขนาดนั้น เป็นไปได้ยังไงที่จะตกไปอยู่ในมือของจ้านเซิน ถ้าคุณไปตอนนี้ ก็จะแหวกหญ้าให้งูตื่นนะ”
เขากัดฟันพูดอยู่ข้างหูของฉินซี หวังว่าฉินซีจะใจเย็นลงได้เร็วๆ
ฉินซีคิดๆ ทำได้เพียงอดกลั้นความตื่นเต้นในใจ
เธอขมวดคิ้วด้วยความวุ่นวายใจ: “งั้นตอนนี้เราควรทำยังไง นี่จะเอาแต่ซ่อนอยู่ตรงนี้จริงๆเหรอ ไม่ทำอะไรเลย มองคุณปู่เช่โดนคนของจ้านเซินจับไปยังงั้นใช่ไหม?”
ฉินซีพูดด้วยความเดือดดาล เธอเสียใจมากๆ ทำไมถึงไม่รีบออกไปจากที่นี่สักหน่อยนะ ถึงกับทำให้จ้านเซินหาเจอจนได้
แต่ ตอนนี้จะพูดอะไรก็สายไปแล้ว
พวกเขาทำได้เพียงพยายามคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา
ลู่เซิ่นสมองไว: “ผมจำได้ว่าด้านหลังมีถนนเล็กๆเส้นหนึ่ง เราไปที่นั่นกัน แล้วดูว่าคุณปู่เช่โดนคนขององค์กรจับเอาไว้หรือเปล่า”
แค่พูดออกไป ฉินซีก็แทบรอไม่ไหวแล้ว
“งั้นเรารีบไป”
ฉินซีดึงมือของเขา บ่งบอกให้เขาอยู่ด้านหน้านำทางไป
ทั้งสองคนก้มตัว ค่อยๆเคลื่อนไหว
……
ตอนนี้
คุณปู่เช่กำลังรับมือกับคนในองค์กรอยู่
จั่วยีมองคุณปู่เช่ที่อยู่ตรงหน้า พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน: “ผู้เฒ่า คุณเห็นผู้ชายผู้หญิงหล่อๆสวยๆคู่หนึ่งผ่านมาบ้างไหม?”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้นอบน้อมสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้พุ่งถลาเข้ามา เหมือนกับโจรอย่างนั้น
เดิมทีคุณปู่เช่กำลังตุ๋นยาขึ้นมาใหม่ จู่ๆก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวลอยเข้ามา จึงค่อยๆลุกขึ้น
เขามองผู้ชายชุดดำที่เข้ามาพวกนั้น ขมวดคิ้ว: “พวกนายเป็นใคร?”
คุณปู่เช่ยืนยืดตัวตรงอยู่ที่เดิม ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว เพราะอีกฝ่ายมีคนมากกว่าเลย
ตรงกันข้าม ความโมโหปะทุเข้ามากลางอกของคุณปู่เช่
แค่เห็นเขาก็มองออกแล้ว คนกลุ่มนี้คงจะมาตามหาฉินซีกับลู่เซิ่น
นึกถึงฉินซีที่ต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นตอนอยู่ในองค์กร คุณปู่เช่ก็ยิ่งโกรธมาก
สาวน้อยที่แสนดีคนหนึ่ง โดนพวกเขาบีบบังคับจนกลายเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะหนีออกมา เจ้าพวกนี้ยังดึงดันที่จะตามหาอย่างไม่ลดละอีก
จั่วยีพูดขึ้นอย่างเย็นชา: “ผู้เฒ่าไม่ต้องสนใจหรอกว่าพวกฉันเป็นใคร แค่ตอบคำถามฉันมาก็พอ”
เขาจ้องมองไปที่คุณปู่เช่ เขารู้สึกว่าผู้เฒ่าคนนี้ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย ไม่งั้นทำไมถึงไม่หวาดกลัวตอนที่เห็นพวกเขาเลยล่ะ
แต่จั่วยีคิดดูอีกที สามารถซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขาได้ ก็ไม่ควรประเมินตัวตนของเขาต่ำจนเกินไปแล้ว บางทีตอนที่เขายังหนุ่มๆ อาจจะเจอฉากอย่างนี้จนชินแล้วก็ได้ ตอนนี้ก็เลยไม่รู้สึกอะไร
คุณปู่เช่คำรามออกมา มองพวกเขาที่ท่าทางไม่มีมารยาท ไม่พอใจอย่างมาก: “ที่นี่เป็นบ้านของฉัน ในเมื่อพวกนายไม่บอกว่าพวกนายเป็นใคร งั้นก็เชิญพวกนายออกไป ฉันไม่มีหน้าที่ต้องตอบคำถาม”
เขากวาดสายตาไปที่จั่วยีอย่างเมินเฉย แล้วก้มตัวลง ตุ๋นยาต่อไป
ท่าทางของคุณปู่เช่ ทำให้จั่วเอ้อโมโหมาก
“พี่ พี่จะพูดจาเหลวไหลกับไอ้แก่นี่ทำไม เราเข้าไปค้นหาเลยก็พอ”
ตอนที่พวกเขาค้นหาอยู่ที่ตีนเขา ก็พบรถคนนั้นที่ลู่เซิ่นกับฉินซีขับหนีมา
แม้จะโดนฟางข้าวปกปิดเอาไว้ แต่เพราะกี่วันมานี้ลมแรงฝนตกหนัก จึงเปิดเผยร่องรอยออกมาเล็กน้อย
ดังนั้น จั่วยีกับจั่วเอ้อจึงชี้ขาดว่าฉินซีกับลู่เซิ่นคงจะขึ้นไปบนเขาลูกนี้แน่ๆ
พวกเขาจัดการส่งคนมากมาย ไปค้นหาตามถนนเส้นเล็กๆบนเขา
หาอยู่ทั้งวันทั้งคืน จึงได้พบกระท่อมหลังนี้
คุณปู่เช่เกลียดที่คนอื่นเรียกเขาอย่างนี้ที่สุด จึงกระทืบเท้าด้วยความโมโหทันที: “นายบอกว่าใครเป็นไอ้แก่! นายเคยได้รับการสั่งสอนมาหรือเปล่า เข้าใจเรื่องที่ต้องเคารพนอบน้อมคนเฒ่าคนแก่แล้วก็มีเมตตาต่อเด็กๆบ้างไหม! นายคิดว่าที่นี่เป็นภูเขา แล้วก็จะพุ่งเข้าบ้านใครก็ได้งั้นเหรอ? ฉันไม่อยากสนใจพวกนาย พวกนายก็ยังไม่รีบไสหัวไป แต่กลับยิ่งหยามเกียรติ รังแกคนเฒ่าคนแก่อย่างฉันงั้นเหรอ ไม่มีประโยชน์หรอก!”
เขาพูดอย่างดุดัน คำรามออกมาอย่างมีพลัง
จั่วเอ้อไม่คิดว่าจู่ๆเขาก็จะฉุนเฉียวขึ้นมา จึงตื่นตระหนกตกใจ
จั่วยีขมวดคิ้วมองน้องชายที่สะเพร่า
จั่วยีคิดๆ แล้วพูดขึ้น: “ผู้เฒ่า เราไม่ได้ตั้งใจรังแกกดขี่คุณ เพียงแค่อยากถามคุณเรื่องหนึ่งเท่านั้น คุณเคยเห็นชายหญิงหนุ่มสาวคู่หนึ่งผ่านมาแถวนี้บ้างไหม ผู้ชายคนนั้นยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย”