ส่วนซิวหน่ายซิงก็เอาแต่ไม่อยากก็ไปข้างหน้าอย่างเดียว เขาไม่มีความรู้สึกต่อจ้านเซินเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด
พวกเขาสองคนอยู่ห่างจากจ้านเซินไปไกลหลายเมตร จั่วยีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรีบกดโทรศัพท์ไปหาเหยาจ้าว
ตอนนี้ถังย่าไม่ได้อยู่ที่องค์กร คนเดียวที่จะสามารถหยุดจ้านเซินได้ เกรงว่าน่าจะมีเพียงเหยาจ้าวเสียแล้ว
“ฮัลโหล”
ในเวลานี้ เหยาจ้าวกำลังพัฒนายาตัวใหม่อยู่ในห้องวิจัย
หลังจากได้รับสายจากจั่วยี เขาก็รีบมาอย่างรีบเร่ง
“เกิดอะไรขึ้น?”
เหยาจ้าววิ่งมาอย่างหายใจหอบ เมื่อมองไปที่การแสดงออกอย่างเคร่งขรึมของจั่วยีกับซิวหน่ายซิง หัวใจของเขาก็ยกขึ้นมาทันใด
พอเขาชายตามองไปก็เห็นจ้านเซินกำลังกุมศีรษะอยู่ด้วยความเจ็บปวด เขาจึงคิดอยากจะเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว
ซิวหน่ายซิงจึงรีบยื่นมือออกไปดึงเขากลับมาแล้วพูดว่า “คุณหมอเหยา คุณอย่าเข้าไปครับ ตอนนี้หัวหน้าเขาได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปหมดแล้ว ถ้าคุณเข้าไปอาจจะได้รับบาดเจ็บได้นะครับ”
ภายนอกเขากำลังคิดเพื่อเหยาจ้าว แต่ความคิดที่แท้จริงในใจของเขา คือไม่อยากให้เหยาจ้าวช่วยจ้านเซิน
ก่อนหน้านี้จ้านเซินถึงกับคิดจะฆ่าถังย่า นี่ทำให้ซิวหน่ายซิงโกรธแค้นเป็นอย่างมาก
ซิวหน่ายซิงเห็นว่าชีวิตของถังย่านั้นสำคัญกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก ในเมื่อจ้านเซินกล้าแตะต้องถังย่า งั้นก็จะฆ่าเขาให้ตาย แล้วทำไมเขาต้องปรานีและไว้ชีวิตจ้านเซินด้วยล่ะ
เหตุผลที่เขาอดทนมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ โดยไม่ได้ลงมือกับจ้านเซินเลย
หนึ่งคือ เพราะการห้ามปรามของถังย่า
สองคือ เพราะซิวหน่ายซิงรู้ว่ากำลังในการต่อสู้ของตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งเท่าจ้านเซิน เขาเอาชนะจ้านเซินไม่ได้ ก้าวไปข้างหน้าก็รังแต่จะรนหาที่ตายเท่านั้น
ดังนั้น ซิวหน่ายซิงจึงอดทนมาโดยตลอด และเฝ้ารอโอกาสที่จะแก้แค้น
ในที่สุดตอนนี้ก็ถึงวันที่เขารอคอยแล้ว ภายในใจของซิวหน่ายซิงจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก
เหยาจ้าวถูกเขาดึงกลับมาอย่างไม่นุ่มนวลมาก เขาจึงหันกลับมาพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ผู้ช่วยซิว กรุณาปล่อยผมด้วยครับ”
เขารู้ว่าซิวหน่ายซิงเป็นผู้ช่วยของถังย่า ดังนั้นน้ำเสียงของเขายังถือว่ามีความเกรงใจอยู่บ้าง
แต่ทว่า ใครๆต่างก็มองออกว่า อารมณ์ของเหยาจ้าวไม่ดีเลย
ซิวหน่ายซิงกลับพูดต่อเลยทันทีเหมือนมองไม่เห็นอะไรว่า “คุณหมอเหยา ที่ผมพูดเป็นความจริงนะ คุณอย่าเข้าไปเลย ถ้าหัวหน้าทำร้ายคนเข้า คุณจะทำยังไง?”
เหยาจ้าวถูกเขาดึงกลับมาอย่างไม่นุ่มนวลมาก เขาจึงหันกลับมาพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ผู้ช่วยซิว กรุณาปล่อยผมด้วยครับ”
เขารู้ว่าซิวหน่ายซิงเป็นผู้ช่วยของถังย่า ดังนั้นน้ำเสียงของเขายังถือว่ามีความเกรงใจอยู่บ้าง
แต่ทว่า ใครๆต่างก็มองออกว่า อารมณ์ของเหยาจ้าวไม่ดีเลย
ซิวหน่ายซิงกลับพูดต่อเลยทันทีเหมือนมองไม่เห็นอะไรว่า “คุณหมอเหยา ที่ผมพูดเป็นความจริงนะ คุณอย่าเข้าไปเลย ถ้าหัวหน้าทำร้ายคนเข้า คุณจะทำยังไง?”
แม้ว่าเหยาจ้าวจะไม่สามารถเอาชนะซิวหน่ายซิงได้ แต่เขาก็ฉวยโอกาสตอนที่ซิวหน่ายซิงไม่ทันตั้งตัว ผลักเขาออกไปได้อย่างง่ายดาย
ซิวหน่ายซิงคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ดูไปแล้วเหมือนจะกิริยาสุภาพเรียบร้อยแต่ร่างกายบอบบางอย่างเหยาจ้าว จะมีกำลังมากถึงขนาดนี้
ในขณะที่ซิวหน่ายซิงกำลังโซซัดโซเซอยู่นั้น เขาก็เร่งเดินมาจนถึงด้านข้างแล้ว
เขารู้สึกโกรธเล็กน้อย แล้วก็ไปข้างหน้าสองก้าว เพราะคิดที่จะหาเรื่องรบกวนเหยาจ้าว
แต่ทว่า เมื่อซิวหน่ายซิงกำลังจะเอ่ยปากถามเหยาจ้าวว่าทำไมถึงต้องผลักเขา จั่วยีกลับสกัดหน้าเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “ผู้ช่วยซิว ตอนนี้หัวหน้าต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน คุณช่วยรออยู่ด้านข้างด้วยครับ”
ดูเหมือนว่าจั่วยีก็มองอะไรๆออกแล้วเหมือนกัน เขาจึงได้สกัดซิวหน่ายซิงเอาไว้
ซิวหน่ายซิงคนเดียวต้านทานคนถึงสองคนไม่ได้อยู่แล้ว อีกทั้งจั่วยียังเป็นลูกน้องที่มีความสามารถที่สุดของจ้านเซินด้วย
แล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แหะๆ ผมก็แค่อยากจะเตือนคุณหมอเหยาสักสองประโยคก็เท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าคุณหมอเหยาจะโกรธมากขนาดนั้น แบบนี้ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว ถ้ารู้มาก่อนผมก็คงไม่พูดหรอกครับ”
ซิวหน่ายซิงพูดจาเยาะเย้ยถากถาง เหยาจ้าวกำลังเฝ้ามองจ้านเซินอย่างใจจดใจจ่อ ความสนใจของเขามุ่งเน้นไปที่การรักษาและช่วยชีวิตคนทั้งหมดแล้ว เขาจึงไม่ได้ยินว่าซิวหน่ายซิงกำลังพูดอะไรอยู่
พอเห็นว่าเหยาจ้าวกับจั่วยีไม่สนใจตนเอง ซิวหน่ายซิงจึงทำได้เพียงขจัดความคิดที่ไม่ดีเหล่านั้น แล้วยืนเฉยๆอยู่ด้านข้างอย่างว่าง่าย
จริงๆแล้ว ซิวหน่ายซิงไม่สนใจเกี่ยวกับกระบวนการช่วยเหลือจ้านเซินเลยสักนิด เขาแค่อยากทราบผลในตอนสุดท้ายเท่านั้น
ในขณะที่เหยาจ้าวกำลังมองท่าทางที่เจ็บปวดของจ้ารเซิน เขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “จ้านเซิน นายได้ยินที่ฉันพูดไหม?”
เขาเข้าไปใกล้ๆจ้านเซินอย่างระมัดระวัง และไม่กล้าทำให้เขาตกใจกลัว เพราะเกรงว่าจะทำให้เขาโกรธ
แต่ทว่าจ้านเซินกลับหมกมุ่นอยู่ในโลกของตัวเอง และกำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“จ้านเซิน นายได้ยินที่ฉันพูดไหม?”
เหยาจ้าวพูดคำพูดเมื่อสักครู่นี้ซ้ำอีกรอบหนึ่ง
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมาก เพื่อที่จะทำให้จ้านเซินวางหัวใจที่หวาดระแวงลงไปได้
เมื่อจ้านเซินได้ยินเสียงที่ดังขึ้นมา เขาก็มองไปยังทิศทางที่เหยาจ้าวอยู่ในตอนนี้ในทันที
เหยาจ้าวเห็นเขากำลังจ้องมองตัวเองอยู่นั้น รอยยิ้มที่ตื้นเขินก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า “จ้านเซิน นายยังจำฉันได้ไหม? ฉันคือเหยาจ้าวไง!”
เขาพูดเรียงเรียงความสนใจของจ้านเซินไปพร้อมกับค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ๆเขา
จ้านเซินจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ และเม้มมุมปากแน่น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาฟังชัดหรือเปล่าว่าเหยาจ้าวกำลังพูดว่าอะไร
แต่ทว่า เหยาจ้าวไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย ขอเพียงแค่ จ้านเซินยังไม่เป็นบ้าไปอย่างสมบูรณ์ในตอนนี้ก็พอแล้ว
ถ้าหากควบคุมจ้านเซินที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวดุร้ายไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงต้องใช้ยาสลบเพื่อทำให้จ้านเซินสงบลงเสียแล้ว
เหยาจ้าวไม่อยากใช้วิธีที่หยาบคายแบบนี้เลย เขาอยากจะรักษาเกียรติศักดิ์ศรีสุดท้ายไว้ให้จ้านเซิน
“จ้านเซิน นายใจเย็นๆก่อน และฟังที่ฉันพูดอย่างช้านะ”
เหยาจ้าวก้าวเข้าไปทีละเล็กทีละน้อย และค่อยๆโน้มน้าวเขา
เสียงของเขาดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิผลในการสะกดจิต ทำให้ความเจ็บปวดที่อยู่บนใบหน้าของจ้านเซินค่อยๆทุเลาลง
“นายพูดตามฉันนะ หายใจออก หายใจเข้า”
เหยาจ้าวพูดไปด้วยทําไปด้วย
รูม่านตาของจ้านเซินค่อยๆโฟกัสมาอยู่ที่จุดเดียว เขาลืมตาขึ้น และสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือเหยาจ้าว
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ในเวลานี้คนแรกที่รีบมาอยู่ตรงหน้าเขาก็คือ เหยาจ้าว
ในหัวใจของจ้านเซินรู้สึกสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก “นาย…”
เขาพยายามอ้าปาก และอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดออกมา เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบในสมอง
แล้ววินาทีต่อมา จ้านเซินก็ล้มตึงลงไปเลย
ขณะกำลังมองไปที่ร่างที่ร่วงลงไปของเขา เหยาจ้าวก็สะดุ้งตกใจ แล้วรีบก้าวไปข้างหน้า
“จ้านเซิน!”
เหยาจ้าวร้องเรียกอย่างตกตะลึงพรึงเพริด แล้วกอดเอวของเขา และให้เขาพิงอยู่บนตัวของตัวเอง
รูปร่างของเขาเล็กมาก เขาเตี้ยกว่าจ้านเซินสิบเซนติเมตรเห็นจะได้
เหยาจ้าวไม่เหมือนจ้านเซินเลย เขาออกกำลังกายตลอดทั้งปี ผิวของเขาขาวมาก และกระจ่างใสกว่าเด็กผู้หญิงเสียอีก เมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขามักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงอยู่บ่อยๆ และเขาก็มีแขนขาที่เรียวเล็ก
แล้วเหยาจ้าวก็เรียกหาด้วยความร้อนใจว่า “จั่วยี รีบมาช่วยฉันหน่อย”
เขาคิดไม่ถึงว่าจ้านเซินจะเป็นลมไปแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการกระตุ้นเข้มข้นเกินไป
จั่วยีได้ยินเสียงของเขา พอเขาหันไปก็เห็นจ้านเซินนอนหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของเหยาจ้าว
ลูกตาดำของเขาหดลงเล็กน้อย แล้วรีบเดินไปข้างหน้า พอมาถึงตรงหน้าเหยาจ้าวเขาก็พูดว่า “หัวหน้า! หัวหน้า!”
จั่วยีร้องเรียกเขาอย่างกระวนกระวายใจ แต่จ้านเซินกลับหลับตาแน่นอยู่ตลอด
เขาจึงเอ่ยปากถามอย่างเป็นกังวลว่า “คุณหมอเหยา ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวหน้ากันแน่ครับ?”
จั่วยีรู้สึกวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก และกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับจ้านเซิน
ถ้าหากจ้านเซินมีอันเป็นไปจริงๆ เช่นนั้นองค์กรที่ใหญ่โตขนาดนี้ก็จะต้องไร้ผู้นำจริงๆแล้ว
เหยาจ้าวก็ปวดหัวกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้านี้มากเช่นกัน “ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด คุณอย่าเพิ่งร้อนใจไปก่อนเลย ช่วยผมประคองจ้านเซินกลับเข้าไปในห้องที ผมต้องทำการรักษาเขาเดี๋ยวนี้”