ใบหน้าของซิวหน่ายซิงมีความร้อนใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ยอมตอบคำถามของถังย่า: “ก็แค่รู้สึกว่าแบบนี้จะควบคุมพวกเราได้ง่ายขึ้น”
ถังย่าส่ายหัว:“นี่เป็นเพียงแค่แง่มุมมองหนึ่งเท่านั้น”
ซิวหน่ายซิงยิ้มเยาะเย้ย: “ยังไง เธอจะบอกว่าเพราะหวังดีกับพวกเรางั้นเหรอ?”
ถังย่าไม่ได้พยักหน้า และก็ไม่ได้ส่ายหัว ได้เพียงแต่ดูเขาพูดต่อไป:“ความรักทำให้เราเสียสติ และทำสิ่งที่ไม่ดีต่อทั้งต่อตนเองและผู้อื่น”
ซิวหน่ายซิงรู้สึกว่าเธอดูเหมือนจะกล่าวหาว่าตัวเขาเองไม่ได้บอกเธอเรื่องอาการของจ้านเซิน กำลังจะเอ่ยปากโต้แย้ง แต่กลับเห็นถังย่าส่ายหน้า
เธอไม่ให้โอกาสซิวหน่ายซิงในการเอ่ยปาก และเธอก็พูดต่อไปว่า: “ในขณะเดียวกัน การมีความรัก ก็มีจุดอ่อน เธอเป็นคนสร้างจุดอ่อนนี้ให้คนอื่น อย่าทำให้คนอื่นเห็นจุดอ่อนแอที่สุดของเธอ มันเหมือนเป็นการหยิบยื่นอาวุธให้คนอื่นมาทำร้ายเธอ”
สายตาของถังย่ามั่นคงมาก แต่คราวนี้ซิวหน่ายซิงไม่มีอะไรจะพูด
……เพราะว่าสิ่งที่ถังย่าพูดนั้นคือความจริง
เขาหลงรักถังย่า งั้นถังย่าก็กลายเป็นจุดอ่อนที่สุดในตัวเขา ราวกับว่าต่อให้สวมชุดเกราะแข็งแกร่งเพียงใจ แต่ก็กลับมีช่องว่างที่ตรงส่วนลำคอ ทำให้ศัตรูโจมตีได้ และถูกฆ่าตายในท่ากระบวนเดียวได้
ถังย่ามองอากัปกิริยาที่หวั่นไหวของซิวหน่ายซิง รู้ว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ตนเองพูด ดังนั้นใบหน้าของเธอเลยรู้สึกมีความโล่งใจขึ้นนิดหน่อย เธอกำลังจะลุกขึ้น ทิ้งท้ายอีกประโยคว่า “คิดดูเอาเองให้ดีๆ แล้วก็จะรู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร” ซิวหน่ายซิงก็พูดขึ้นทันทีว่า: “เธอพูดผิดแล้ว”
ตรงกลางคิ้วของถังย่าเต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเติบโตมาในองค์กรนี้ ทุกเรื่องจะไม่แก้ไขปัญหาด้วยการพูดแต่จะเป็นการใช้กำลัง เธอไม่เคยพูดเพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมใครได้เป็นบทความยาวๆมากมายขนาดนี้ เธอไม่คิดเลยว่า ตนเองพูดจนคอแห้ง ซิวหน่ายซิงก็ยังโง่เขลาเบาปัญญาอยู่
ซิวหน่ายซิงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าถังย่าใจร้อน แต่เขายังยืนยันและพูดต่อไปว่า:“ความรักคือจุดอ่อน แต่ก็เป็นเกราะกำบังที่แข็งแกร่งที่สุด สำหรับความรักที่อยู่ในใจของฉันแล้ว ฉันสามารถทำได้ทุกอย่าง แม้ว่าจะเป็นการสละชีวิตตนเอง ก็จะไม่เสียดายชีวิต”
ถังย่าลูบๆตรงคิ้ว เพราะรู้สึกเหนื่อย
เธอไม่รู้ว่าต้นตอความดื้อดึงของซิวหน่ายซิงเริ่มมีตั้งแต่ตอนไหน คุยกันมาตั้งนานสองนาน เธอก็ได้สังเกตเห็นว่าความคิดของซิวหน่ายซิงกับตนเองไม่มีสิ่งไหนที่เหมือนกันเลย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าซิวหน่ายซิงเริ่มต้นจากตอนไหน ถึงมีความคิดที่ขัดแย้งต่อปรัชญาขององค์กรแบบนี้
และที่เห็นอย่างได้ชัดว่า……เขาเชื่อและยืนหยัดในความคิดของเขามาก จะพูดโน้มน้าวใจก็ไม่ฟัง
ถ้าอยู่สำนักงานใหญ่ จะจับขังเขาไว้ที่ใต้ดิน ถังย่าคิดในใจ
เพียงแต่ตอนนี้จ้านเซินอยู่โรงพยาบาล สถานการณ์คับขัน กำลังคนที่อยู่ในการควบคุมไม่เพียงพอ แม้ว่าซิวหน่ายซิงมีปมขัดแย้งในใจกับจ้านเซิน แต่ก็สามารถทำเรื่องอื่นๆได้
ดังนั้นถังย่าได้เพียงแต่ถอนหายใจในใจเงียบๆ เธอไม่มีวิธีที่จะจัดการกับคนที่ดื้อรั้นที่ไม่มีเหตุผลแล้วจริงๆ
ทัศนคติความคิดของทั้งสองคนแตกต่างกันมาก จนไม่สามารถโน้มน้าวใจกันได้ จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอีกต่อไป
เธอยอมถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“สองสามวันนี้ เธอก็รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยด้านนอกละกัน จะมีคนที่ให้ความร่วมมือกับนายยู่”
พูดจบ เธอก็ไม่ได้ให้โอกาสซิวหน่ายซิงได้ตามตื้ออีกต่อไป เธอหันหลังแล้วจากไป
ซิวหน่ายซิงมองตามหลังของเธอ แล้วฝืนยิ้ม
อะไรคือมีคนให้ความร่วมมือ ก็แค่หาข้ออ้างให้คนมาจับตามองเขาก็แค่นั้น
ซิวหน่ายซิงรู้ว่า ต่อจากนี้ไป ตนเองกลายเป็นคนที่ถังย่าไม่ไว้วางใจอีกต่อไป ก่อนที่เธอจะ “คิดให้ดี” เธอคงจะทำทุกวิถีทางที่จะผลักตนออกไปให้ไกลให้ได้
แต่ว่าซิวหน่ายซิงไม่เสียใจภายหลัง
ทุกคนมีทัศนคติเรื่องความรู้สึกที่แตกต่างกัน เขาไม่สามารถเก็บงำความรู้สึกของตนเองเหมือนถังย่าได้ จะทำให้เข้าหน้ากันไม่ติด
และเขาก็รู้ถึงปัญหาว่ากำลังคนไม่เพียงพอ จึงไม่กล้าไล่ตนออกไป ดังนั้นเขาจึงเลือกโอกาสนี้เผยความในใจออกมา
เพียงแค่ให้เธอรับรู้ ฉันก็จะไม่เสียใจภายหลัง
แม้ว่าเขาจะคิดอย่างนั้น รอยยิ้มที่มุมปากของซิวหน่ายซิง ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะแฝงด้วยความเหงา
……
ทางฝั่งของฉินซีกับลู่เซิ่นนั้นบอกได้เลยว่าชิวมาก แตกต่างกับสถานการณ์ทางฝั่งของจ้านเซินที่พัวพันยุ่งเหยิง
หลังจากที่ฝากข้อความถึงจ้านเซินแล้ว ทั้งสองคนก็ถอดหน้ากากออก และขับรถมุ่งไปข้างหน้าอย่าเปิดเผย
ไม่รู้เลยว่าทางฝั่งของจ้านเซินจะยอมรับข้อเสนอของพวกเขาหรือไม่ ระหว่างทางไม่มีคนคอยไล่ตาม ทั้งสองคนจึงขับรถกลับถึงเมืองหนานโดยไม่ได้รีบร้อนอะไร
ในช่วงเวลาที่ลู่เซิ่นออกมานั้น บริษัทลู่ซื่อได้ให้ข่าวไปว่าเขาไปเรียน แต่ลู่เซิ่นกลายเป็นเสาหลักของบริษัทลู่ซื่อมานานโดยที่เขาไม่รู้ตัว ดังนั้น หลังจากที่เขาหายตัวไปเป็นเวลานาน บริษัทลู่ซื่อทั้งในและนอกต่างก็สงสัยไปต่างๆนานา การใช้ข้ออ้างว่า“ไปเรียน” ไม่สามารถปลอบประโลมใจของทุกคนได้อีกต่อไป
หลินหยังรออย่างใจจดใจจ่อทุกๆวัน แต่ก็ไม่ได้รับข่าวคราวของลู่เซิ่นเลย เขาได้เพียงแต่ฝืนพยุงการงานของบริษัทลู่ซื่อไปวันๆ
ดังนั้นเมื่อตอนที่เขารู้ว่าลู่เซิ่นปรากฏตัวที่บริษัทลู่ซื่อในเมืองหนาน เขาเกือบจะตกลงจากเก้าอี้
“เธอจะบอกว่า เป็นประธานลู่จริงๆใช่มั๊ย?” เอกสารในมือเขาถูกบิดเป็นลูกกลมๆโดยที่เขาไม่รู้ตัว “เป็นเขาจริงๆใช่มั๊ย?”
ใบหน้าของพนักงานที่รายงานข่าวนี้ให้เขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น: “เป็นเขาเอง!เขาไปบริษัทด้วยตนเอง!มีหลายคนที่เห็นเขา”
หลินหยังตบไปที่ขาของเขา: “เยี่ยมมากเลย!”
เอกสารที่กองสูงดั่งภูเขาและสัญญาอันนับไม่ถ้วนที่ไม่มีใครจะเซนต์แทนเขาได้ กำลังเรียกร้องหาลู่เซิ่น
พนักงานคนนั้นมีใบหน้าที่ตื่นเต้น เห็นอย่างได้ชัดว่าจะไปกระจายข่าวนี้ให้พนักงานคนอื่นว่า “ประธานลู่กลับมาแล้ว ” หลินหยังค่อยๆสงบสติอารมณ์ลง จึงได้ตระหนักถึงหนึ่งปัญหา
……ถ้าหากปัญหาทุกอย่างคลี่คลายแล้ว แล้วทำไมลู่เซิ่นไม่กลับมา?
ถึงแม้ว่าตอนนี้กิจการใหญ่ๆของบริษัทลู่ซื่อล้วนอยู่ที่เมืองหนาน แต่สำนักงานใหญ่ได้ย้ายมาอยู่ในประเทศf แล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องให้ลู่เซิ่นจัดการล้วนแล้วแต่อยู่ที่นี่
ถ้าต้องการให้บอกว่าเมืองหนานมีอะไรที่ไม่เหมือนกัน……ก็มีแค่จุดเดียว
รากฐานของตระกูลลู่อยู่ที่เมืองหนาน ซึ่งลึกซึ้งกว่าอยู่ที่ประเทศf มาก
ถ้าหากต้องใช้เครือข่ายคน หรือจะใช้ทรัพยากรอะไรอย่างอื่นที่นอกเหนือจากเงินและบริษัทลู่ซื่อแล้ว การกลับไปที่เมืองหนาน จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการกลับมาที่ประเทศ f
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความสุขบนใบหน้าของหลินหยังก็ค่อยหายไป จนค่อยๆกลายเป็นเคร่งขรึม
ดูเหมือนว่า เรื่องของลู่เซิ่นยังไม่ได้รับการแก้ไข
แต่……การปรากฏตัวสั้นๆของเขา มันเหมือนเป็นการ “จุดประกายให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง”
มันเหมือนเป็นการทำนายล่วงหน้าว่า จะมีพายุเข้าโถมกระหน่ำเร็วๆนี้
หลินหยังถอนหายใจอย่างเศร้าใจ และหยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้ง
เรื่องที่ลู่เซิ่นกำลังเผชิญอยู่ เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
ทำได้เพียงอย่างเดียวคือ อยู่ที่นี่รักษาบริษัทลู่ซื่อต่อไป
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนภายนอกไม่รู้เรื่องภายใน เพราะการปรากฏตัวของเขา ทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ
แค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว
ส่วนเรื่องอื่น……พวกเขาจะพยายามแก้ไขปัญหาเอง