“ตอนนี้พวกเราจะกลับไปที่ไหน?”
ลู่เซิ่นและฉินซีเดินตามกันไปที่ที่จอดรถ ขึ้นรถ แล้วฉินซีก็ถาม
นอกจากบ้านใหญ่ของตระกูลลู่แล้ว ที่จริงแล้วบริษัทลู่ซื่อเติบโตมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ลู่เซิ่นมีบ้านหลายหลังในเมืองหนาน แต่เขาไม่ได้บอก แค่พูดว่า “ไปพักที่เธอแล้วกัน”
“ที่ของฉัน ?” ฉินซีตอบกลับ แล้วเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “คุณหมายถึง ห้องสาขาของฉันที่เมืองหนาน?”
ลู่เซิ่นพยักหน้าอย่างไม่แยแส “ใช่”
ฉินซีลังเลอยู่สักครู่ แล้วแสดงใบสีหน้าที่ไม่ค่อยดี “ตอนนี้ที่นั่นน่าจะเต็มไปด้วยคนขององค์กรมากมาย …… แม้ว่าเราจะทิ้งข้อความไว้ให้ จ้านเซินแล้ว แต่….. ตอนนี้ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเขาจะยอมรับคำขอของพวกเรา แล้วตอนนี้ก็ตรงไปที่องค์กรทันทีเลย มันจะเสี่ยงเกินไปไหม….…”
ลู่เซิ่นมองเธอวิเคราะห์อย่างจริงจัง ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เอื้อมมือโอบไหล่ของเธอ “ล้อเล่นเฉยๆ ไปเมืองหนานพวกเรายังไม่ถึงขั้นที่ไม่มีบ้านอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปที่ของจ้านเซิน”
ฉินซีตั้งสติได้แล้วรู้ว่าลู่เซิ่นแค่ล้อเล่นเท่านั้น หันมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เขาก็ยิ้มจางๆ
ทั้งสองเห็นความโล่งใจจากรอยยิ้มบนใบหน้าของกันและกัน
แม้ว่าช่วงเวลาที่ได้อยู่เคียงข้างกันในตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่หายากในหลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่ว่าสีหน้าจะดูสบายแค่ไหน แต่ก็ยังอยู่ในช่วงหลบหนี ในใจมักจะรู้สึกไม่สบายใจเสมอ
อย่างไรก็ตามได้ส่งจดหมายรบให้จ้านเซินอย่างสง่าผ่าเผยแล้ว กลับสู่วงโคจรงชีวิตของเขาอย่างเปิดเผย ทำให้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้ว่าจ้านเซินจะตอบรับหรือไม่พวกเขาก็ไม่แน่ใจ และปะทะกันโดยตรงเช่นนี้จะมีผลเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่ทราบได้ แต่ทั้งคู่ก็รู้สึกอธิบายไม่ถูกว่าหินก้อนใหญ่ที่กดทับพวกเขาทำให้หายใจไม่สะดวกได้ถูกย้ายออกแล้ว
ปรากฏว่าการได้พูดออกไปทำให้รู้สึกโล่งอกเช่นนี้เอง
ปรากฏว่า…..ความรู้สึกที่ได้อยู่ด้วยกัน มันดีเช่นนี้เอง
พวกเขาจะจับมือกัน และยอมรับชะตากรรมที่พวกเขาพบ
ลู่เซิ่นสตาร์ทรถ ขระที่สนทนากับฉินซีแล้วขับออกไป
ฉินซีสนใจแต่สิ่งที่พูดคุยกับลู่เซิ่น ไม่ได้สังเกตนอกหน้าต่าง จนความเร็วของรถค่อยๆช้าลง เธอจึงจะรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับถนนเส้นนี้
“นี่คือ…….” เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองไปที่ลู่เซิ่นด้วยความสงสัย
เธออยู่ที่เมืองหนานไม่นานพอ ถนนเส้นนี้ก็แค่คุ้นเคย แต่เธอคิดไม่ออกว่าที่นี่คือที่ไหน
ลู่เซิ่นยิ้ม “คุณเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว เพิ่งจะค้นพบได้อย่างไร”
เขาไม่ยอมรับโดยตรงๆ ฉินซีจึงไม่ได้ถามต่อ
ในเมืองหนานที่ ที่เธอเคยไปมีไม่มาก ถ้าจะพูดว่าที่ที่เคยไปหลายครั้ง ก็คงจะมีแค่ที่เดียวแล้ว……..
รถของลู่เซิ่นค่อย ๆ ช้าลงแล้วหยุดนิ่ง ฉินซีมองผ่านหน้าต่างรถเห็นโจวเอ้อที่คุ้นเคยอยู่ด้านนอก ในที่สุดจึงมั่นใจ
…..ที่แท้ลู่เซิ่นก็พาเธอมาที่บาร์ของโจวเอ้อ
ร่องรอยของความวิตกกังวลบนหน้าของโจวเอ้อที่ไม่ได้พบบ่อยๆ หลังจากที่เขามองซ้ายมองขวาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนตามลู่เซิ่นกับฉินซีมา จึงนำทางพาทั้งสองคนเข้าไปในบาร์
เขาเดินเร็วมาก แต่ลู่เซิ่นกลับเดินอย่างสบายๆและไม่เร่งรีบ จับมือของฉินซี ให้เธอเดินช้าๆไปพร้อมกับเขา
จนกระทั่งโจวเอ้อหันกลับมาจ้องมองทั้งสองคน เขายิ้มและเดินตามโจวเอ้อไป
โจวเอ้อเปิดประตูห้องที่อยู่ปลายทางเดิน เมื่อลู่เซิ่นกับฉินซีเข้ามาแล้ว ก็ล็อกประตูทันที หันกลับไปมองทั้งสองคน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “พวกคุณออกมาแบบนี้ เพราะกลัวว่าจ้านเซินจะหาพวกคุณไม่พบใช่ไหม?”
เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าที่เย็นชาของเขา ลู่เซิ่นโบกมือและยิ้ม “พวกเราได้ส่งจดหมายรบให้กับจ้านเซินแล้ว แล้วทำไมต้องกลัวเขาด้วยล่ะ”
โจวเอ้อตกใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไง?”
พวกเขาต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อปกป้องให้ลู่เซิ่นกับฉินซีได้หนีไปอย่างราบรื่น แต่ตอนนี้ทั้งสองกลับมาอย่างสง่าผ่าเผย ตอนแรกในใจเขาก็ไม่เข้าใจ แล้วได้ยินลู่เซิ่นพูดแบบนี้ ก็งงยิ่งกว่าเดิม
ลู่เซิ่นกับฉินซีมองหน้ากัน และยักคิ้วเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินซีอธิบาย
คำพูดบางคำ ถ้าให้ฉินซีเป็นคนอธิบายก็จะทำให้คนอื่นฟังแล้วรู้สึกดีกว่า
ฉินซีพยักหน้าอย่างไม่มีนัยสำคัญ จัดระเบียบคำพูดสักครู่ พยายามสรุปสิ่งที่พวกเขาพบเจอในช่วงเวลานี้ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเล่าให้โจวเอ้ออย่างละเอียด
โจวเอ้อคิ้วขมวดเล็กน้อย หลังจากฉินซีพูดจบ ก็ใช้เวลาหลายวินาที ก่อนที่จะเข้าใจในคำพูดของฉินซี ค่อย ๆ พูดขึ้นว่า “นั่นหมายความว่า……พวกคุณกำลังเผชิญหน้ากับจ้านเซินอย่าซึ่งๆหน้า ก็อีกแค่สองวันแล้ว?”
“ไม่ใช่ จริงๆ แล้วเหลืออีกแค่วันครึ่ง” ลู่เซิ่นขัดจังหวะเขาอย่างเคร่งขรึม
ความวิตกกังวลบนหน้าของโจวเอ้อค่อยๆมากขึ้น เขาเงยหน้ามองทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา ที่มีท่าทีที่สงบ เขายิ่งโกรธมากขึ้น “พวกคุณ……จะเผชิญหน้ากับจ้านเซินแบบนี้หรอ จะมีโอกาสชนะได้อย่างไร?อย่าว่าอย่างอื่นเลย ลู่เซิ่นคุณลืมแล้วจริงๆหรอ ครั้งที่พวกเราเจอจ้านเซินที่โรงพยาบาลครั้งนั้น ถูกทำร้ายหนักขนาดไหน?ด้วยสภาพในตอนนี้ พวกคุณช่างกล้าจริงๆ กล้าพูดว่าจะเผชิญหน้าโดยไม่ละอาย! เมื่อถึงเวลาถูกคนอื่นกดขี่ข่มเหงรังแก ถึงจะเสียใจใช่ไหม!”
ความโกรธของโจวเอ้อก็เป็นไปตามที่ลู่เซิ่นคาดไว้ ในการเผชิญหน้าครั้งก่อนของเขากับจ้านเซิน คนอื่นอาจจะไม่มีส่วนร่วมเท่าไหร่ แต่เขาเป็นคนเห็นความแตกต่างระหว่างตัวเองกับจ้านเซินว่ามันต่างกันมากขนาดไหน จะคัดค้าน ก็เป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่ว่า……. เขาก็ไม่ได้ตัดสินใจเพียงแค่ตบหน้าผาก
เขากับฉินซีก็มีเหตุผลของตัวเอง
ลู่เซิ่นมองโจวเอ้อที่โกรธจนหน้าแดง กำลังจะอ้าปากอธิบาย แต่ถูกฉินซีบีบมือซ้ำๆ
เขาหันไปมองฉินซี ก็ถูกฉินซีฉวยโอกาสพูดก่อน
“โจวเอ้อ พวกเราก็รู้ ถ้าจะเพิ่งแค่สภาพของพวกเขาในตอนนี้ คงไม่สามารถไปสู้กับจ้านเซินอย่างซึ่งๆหน้าได้หรอ แต่ ถ้าพวกเราไม่ปรากฏตัวที่สวนสนุกแล้วถูกแอบถ่าย ชีวิตหลบๆซ่อนๆเช่นนี้ของพวกเรา จะหลบได้อีกนานแค่ไหนล่ะ?”
การพูดของฉินซีกับลู่เซิ่นมีความต่างกันมาก โจวเอ้อกับลู่เซิ่นโตมาด้วยกัน รู้จักกันเป็นอย่างดี ถ้าพูดคุยกันก็จะไม่ไว้หน้าไม่เกรงใจกัน พูดกันไปๆมาๆเช่นนี้ โอกาสที่จะคุยกันไม่รู้เรื่องสูง และจะทำให้โต้เถียงกันได้
แต่ฉินซีมีคำพูดที่นุ่มนวล ถึงแม้โจวเอ้อจะโกรธมากแค่ไหน ก็ไม่มีที่ให้ระบาย ทำได้แค่ระงับอารมณ์ลง แล้วฟังเธอพูดจนจบ
ฉินซีกล่าวอย่างน้ำใสใจจริง และความเหงาบนใบหน้าของเธอก็เป็นของจริงด้วย โจวเอ้อที่มองอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูด…..ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ลู่เซิ่นกับฉินซี ทั้งสองเติบโตมาด้วยความเพียบพร้อมชีวิตที่หรูหรา ตอนนี้จะต้องหลบหนีอยู่ข้างนอกแบบไม่ระบุตัวตนเหมือนคนจรจัด มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาวจริงๆ
แต่โจวเอ้อก็ไม่ใช่คนที่จะถูกชักจูงได้ง่ายๆ คิ้วของเขายังคงขมวดคิ้วเล็กน้อย เพียงแค่น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “แต่……เปิดเผยตัวตนตอนนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมจริงๆหรอ?