ลู่เซิ่นจับมือของฉินซี ก้าวไปข้างหน้าแล้วจูบหน้าผากของเธอเบา ๆ กล่าวเบาๆว่า “แต่ฉันเชื่อมาโดยตลอดว่า พวกเราสามารถทำได้สำเร็จ”
ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนใกล้มาก ฉินซีแทบจะเห็นเงาของตัวเองในรูม่านตาของลู่เซิ่น เธอรู้ว่า ประโยคนี้ของลู่เซิ่นไม่ได้หมายถึงแค่เพียงเรื่องในคืนนี้เท่านั้น ยังหมายถึง……. พวกเขากำลังจะเผชิญหน้ากับจ้านเซิน อย่างตัวต่อตัว
เธอไม่ต้องการพูดเพื่อทำลายขวัญกำลังใจของลู่เซิ่น ดังนั้นจึงพยักหน้าเบา ๆ “ใช่…พวกเราจะประสบความสำเร็จแน่นอน”
พวกเขารู้ว่าตอนจบที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้อาจจะไม่พร้อมหน้าพร้อมกันและมีความสุขเช่นนี้อีกต่อไป
แต่ ณ เวลานี้ยังอยู่เคียงข้างกัน พวกเขาจึงไม่รู้สึกกลัว
ลู่เซิ่นยืนขึ้น แล้วจับมือของฉินซีให้เธอยืนขึ้นด้วยกัน และเดินเคียงข้างกันออกไป
ทั้งสองจับมือกันไว้ ไม่มีใครปล่อยมือ
ลู่เซิ่นให้คนที่เฝ้าอยู่นอกประตูบอกโจวเอ้อ และไม่ได้ไปหาเธออีก และจับมือฉินซีไว้แล้วเดินออกไปอย่างช้าๆ
ในขณะที่เดินผ่านห้องห้องหนึ่ง ฉินซีได้ยินเสียงเพลงที่ร้องโดยผู้หญิงเสียงแหบแห้งจากด้านในประตู
……ไปรักเถอะ ให้มันเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้
เธอหยุดเดิน
ลู่เซิ่นสงสัยเล็กน้อย หันกลับมามองเธอ “เป็นอะไรไป?”
ฉินซีดึงสติกลับมา ส่ายหัว “ไม่มีอะไร”
เพียงแค่จับมือของลู่เซิ่นแน่นขึ้น
ทั้งสองเดินออกจากบาร์อย่างสั่นคลอนไม่มั่นคง และกลับไปที่รถของตัวเอง
ลู่เซิ่นสตาร์ทรถแล้วถามว่า “อยากไปที่ไหน?”
ฉินซีคิดในใจ “ลู่เซิ่น คุณเคยไปดูดวงดาวในเมืองหนานไหม?”
ลู่เซิ่นงงเล็กน้อย หันไปมองเธอ “ทำไมหรอ? อยากไปดูดวงดาวหรอ?”
ฉินซียิ้มเล็กน้อย “ไปกันเถอะ ฉันรู้ว่าในเมืองหนานมีที่ที่หนึ่งที่เหมาะสมสำหรับดูดาว”
ลู่เซิ่นไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำขอของฉินซี แล้วก็เหยียบคันเร่ง ขับไปตามทางที่ฉินซีบอก
ฉินซีอาศัยอยู่ที่เมืองหนานไม่นาน และน่าจะรู้จักเหมืองหนานไม่ดีเท่าลู่เซิ่น แต่ประสบการณ์ในการดูดวงดาวที่โรแมนติกแต่ไร้ประโยชน์นี้ ลู่เซิ่นไม่เคยทำมาก่อน เดิมทีก็ไม่มีทางที่จะปรากฏในชีวิตของเธอเช่นกัน
เพียงแค่เป็นเรื่องบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน ในขณะที่เธอกำลังปฏิบัติงานอยู่ ในกองหญ้าใกล้เนินเขาที่รกร้าง เธอเงยหน้าขึ้นมองถึงได้พบว่าดวงดาวที่นี่สวยงามมาก
ถนนบนภูเขาที่ขรุขระ ทั้งสองคนใช้เวลานาน ในที่สุดก็มาถึงที่นี่
ลู่เซิ่นหยิบเสื้อคลุมจากท้ายรถแล้วคลุมให้ฉินซี เขาทั้งสองคนนั่งข้างกันบนด้านหน้าของรถ
เทวดาบนฟ้าเป็นใจมาก บนท้องฟ้าไม่มีก้อนเมฆเลย แต่คืนนี้แสงจันทร์สว่างเกินไป ดวงดาวจึงกระจัดกระจายไปบ้าง
โชคดีที่ทั้งสองคนไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อดูดวงดาวแต่แรก
ฉินซีกับลู่เซิ่น ถือเบียร์สองกระป๋อง ชนแก้วกัน และจิบช้า ๆ
มีความเงียบอยู่รอบ ๆ มีเพียงเสียงแมลงที่มาจากไกลๆ ความมืดที่อยู่รอบๆ ฉินซีมีความรู้สึกแปลกเหมือนเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
ถ้าสามารถหยุดเวลานี้ไว้ตรงนี้ได้ ก็จะดีมาก
เมื่อฉินซีหันมาเห็นใบหน้าข้างๆของลู่เซิ่น มีความคิดเดียวในใจ
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองของฉินซี ลู่เซิ่นก็หันหน้ากลับมา “ทำไม?”
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่” ฉินซีถามด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่นเอื้อมมือไปโอบไหล่ของฉินซี “ฉันกำลังคิดว่า… ถ้าหยุดช่วงเวลานี้ไว้ได้ตลอดไป ก็คงจะดี”
ฉินซีตะลึง แล้วก็ยิ้มอีกครั้ง
…..ปรากฏว่าพวกเขาสองคนกำลังคิดเรื่องเดียวกัน
“แต่ถ้าเดินต่อไปข้างหน้าก็ดีเช่นกัน” ฉินซีพูดเบา ๆ
ลู่เซิ่นก้มหน้ามองเธออีกครั้ง แต่ฉินซีไม่ได้สบสายตาลู่เซิ่น เพียงแค่มองไปที่ดวงดาวที่อยู่ห่างไกลดวงหนึ่ง และพูดต่อว่า “บางสิ่ง ก็เหมือนดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าเช่นกัน อาจจะไม่ได้ครอบครอง แต่ก็ยังอยู่ที่นั่น ก็ถือว่าดีมากแล้ว”
ลู่เซิ่นเงียบไปสองสามวินาที จากนั้นก็ก้มหน้าลง โดยเอาหน้าผากของตัวเองแนบหูของฉินซี และกระซิบว่า “คุณจะรังเกียจไหมถ้าฉันจะสูบบุหรี่?”
ฉินซีรู้ว่าเขาจะสูบบุหรี่ แต่ลู่เซิ่นรู้ว่าฉินซีไม่ชอบกลิ่นควัน ดังนั้นจึงไม่เคยสูบบุหรี่ต่อหน้าฉินซี
ฉินซีพยักหน้าเหมือนถูกผีอำ
เมื่อลู่เซิ่นกำลังจะกระโดดลงจากฝาครอบด้านหน้าของรถเพื่อจุดบุหรี่ ฉินซีก็คว้าที่มุมเสื้อผ้าของเขา “ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่ล่ะ”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่เซิ่น “อยู่ที่นี่?”
ฉินซีพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อยู่ที่นี่”
หลังจากลู่เซิ่นจุดบุหรี่ด้วยความงง เธอก็พูดขึ้นทันทีอีกครั้งว่า “ฉัน…..ขอลองหน่อยได้ไหม?”
เธอมองบุหรี่ในมือของลู่เซิ่น แสงจากบุหรี่เป็นแสงเดียวที่สว่างในความมืดทั้งหมด
ความประหลาดใจของลู่เซิ่นมากขึ้น แต่ฉินซีไม่คิดที่จะอธิบายให้เขาฟังเลยแม้แต่นิดเดียว สนใจแต่ตัวเอง และคว้าบุหรี่ที่อยู่ในมือของลู่เซิ่นมา
จากแสงไฟสลัว ทำให้ลู่เซิ่นเห็นท่าทางของฉินซีได้อย่างชัดเจนในตอนนี้
คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อย และเห็นได้ชัดว่ายังไม่ชินกับกลิ่นควันนี้ ลู่เซิ่นไม่ได้สูบบุหรี่ที่มีสำหรับผู้หญิง ปริมาณปริมาณน้ำมันดินของบุหรี่มีปริมาณมาก ถ้าไม่ใช่คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ ก็จะรับไม่ค่อยได้
แต่เธอก็ยังเปิดริมฝีปากของเธอขึ้นเล็กน้อย แล้วคาบบุหรี่ที่ลู่เซิ่นคาบเมื่อครู่ หายใจเข้าลึกๆ แล้ว —— จากนั้นก็ไออย่างหนัก
ลู่เซิ่นหัวเราะ ยกมือขึ้นและกดก้นบุหรี่ให้ดับ หันกลับมาแล้วตบหลังฉินซีเบาๆ รอให้เธอดีขึ้น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมจู่ๆคุณถึงอยากลองมัน”
กว่าฉินซีจะโอเคขึ้น เสียงพูดยังมีความแหบเล็กน้อย “ฉันแค่อยากจะลองดู…….สิ่งนี้จะมีประโยชน์อย่างที่ฉันเดาไว้ไหม”
เธอไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าอะไรมีประโยชน์ แต่ลู่เซิ่นเข้าใจในทันที
สามารถช่วยคลายความกังวล สามารถทำให้ลืมสิ่งที่รบกวนที่อยู่ตรงหน้าชั่วครู่ ก็คือมีประโยชน์
เขามีความเจ็บปวดในใจอย่างลึกๆ แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทำได้เพียงยื่นมือออกมาแล้วกอดฉินซีไว้ในอ้อมแขนและกอดไว้อย่างแน่น
ในสมองของฉินซีนึกถึงเนื้อเพลงอีกครั้ง
——ไปรักเถอะ ให้มันเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้
……….
ตอนนี้ฉินชีกับลู่เซิ่นกำลังกอดกันและดูดวงดาว ราวกับว่าความวุ่นวายบนโลกใบนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย และสบายใจกว่าคนอื่นๆ
นอกจากหลินหยังที่ทุ่มเททำงานหนักจนถึงเที่ยงคืนในบริษัทลู่ซื่อ ความผิดปกติของฉินชีและลู่เซิ่น และแน่นอนว่ายังมีคนอื่นๆที่สามารถมองเห็นได้ในพริบตา
ยกตัวอย่างเช่น——
“หลินยี่ คุณจะไปอีกแล้วเหรอ?” เวยอานนั่งอยู่บนเตียง ด้วยอารมณ์อ่อนไหวที่ชัดเจนในน้ำเสียง
หลินยี่ไม่ได้หันกลับมามองเธอ ในขณะที่สวมเสื้อคลุมก็เดินไปที่ประตู “ทางลู่เซิ่นมีบางอย่างผิดปกติ ฉันจำเป็นต้องกลับไปดู”
เขารักษาตัวอยู่ในบ้านของตระกูลลู่จนหายแล้ว และมั่นใจว่าเวินจิ้งไม่สามารถเป็นคู่สามีภรรยาของลู่เซิ่นได้จริงๆ จึงได้ตัดใจแล้ว และไม่ยืนกรานที่จะจับคู่ให้ทั้งสองอีกต่อไป หลังจากที่ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ก็จะไป จากตระกูลลู่ กลับไปทำงานของตัวเองต่อ
ถิ่นของหลินยี่ยังอยู่ที่เมืองหนาน ดังนั้นช่วงนี้จึงใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหนานอย่างคล่องแคล่ว
เพราะเรื่องเล็กๆในตอนบ่ายเขาจึงไม่เห็นรายงานที่ลู่เซิ่นและฉินซีกลับไปยังบริษัทลู่เซิ่นในทันที เมื่อถึงตอนค่ำก็ได้เห็น ใจของเขาร้อนรน และไม่ได้สนใจที่จะตอบเวยอาน