เวยอานยังอยากจะถามอะไรอีก แต่คำตอบของเธอมีเพียงเสียงปิดประตูเท่านั้น
หลังจากที่หลินยี่เดินไป ภายในห้องก็เงียบสงบลงทันที
แล้วเวยอานก็ค่อยๆแสดงรอยยิ้มที่อ้างว้างออกมาท่ามกลางความเงียบงันของห้อง
……
ฉินซีถูกเสียงของเครื่องยนต์ปลุกขึ้นมา
เธอขมวดคิ้วและลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ และทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
เธอพยุงตัวขึ้นมานั่งตรงๆ และมองไปรอบๆสักพักหนึ่ง ความทรงจำของเมื่อวานจึงค่อยๆกลับคืนมาในหัวสมองอีกครั้งอย่างช้าๆ
หลังจากที่เธอกับลู่เซิ่นข้ามน้ำข้ามภูเขามาดูดาวถึงที่นี่ ก็พูดคุยเรื่องต่างๆมากมาย แล้วเวลาก็ได้ล่วงเลยไปจนถึงตอนเช้าตรู่โดยไม่รู้ตัว
ทั้งสองคนขี้เกียจจะทำนู้นทำนี่อีกต่อไปแล้ว โชคดีที่รถที่เขาขับเป็นรถออฟโรดที่กว้างขวาง พวกเขาก็เลยถือโอกาสนอนเบียดเสียดกันอยู่ในรถทั้งคืน
ฉินซีนึกว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าลู่เซิ่นนอนอยู่ข้างๆ และข้างๆหูของเธอก็ได้ยินเสียงหัวใจของเขา ผ่านไปไม่นาน ฉินซีก็หลับลึกไป
หลังจากที่ฉินซีจะนึกทุกอย่างขึ้นมาได้ทั้งหมด เสียงของลู่เซิ่นก็ดังขึ้นมาข้างๆเธอ
ลู่เซิ่นกอดเธอเอาไว้จากด้านหลัง จากนั้นเสียงเนือยๆที่แหบแห้งเล็กน้อยที่เกิดจากการตื่นนอนเมื่อสักครู่นี้ก็ดังขึ้นใกล้ๆใบหูของฉินซีว่า “ทำไมจู่ๆถึงตื่นขึ้นมาแล้ว?”
ฉินซีกำลังอยากจะตอบออกไป ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
——ในเมื่อลู่เซิ่นยังอยู่ข้างๆตนเอง ถ้าอย่างนั้นเสียงเครื่องยนต์ที่ตนเองได้ยินเมื่อกี้นี้คืออะไร?
แล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา ขณะที่กำลังจะหันหน้าไปพูดกับลู่เซิ่น กลับเห็นสีหน้าของลู่เซิ่นก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
……เสียงเครื่องยนต์ค่อยๆใกล้เข้ามาแล้ว
ลู่เซิ่นใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดฉินซีเอาไว้ไม่ยอมปล่อย และใช้มืออีกข้างกดหน้าต่างลง แล้วมองออกไปข้างนอก
——มีรถคันหนึ่งกำลังจอดอยู่ข้างๆรถของพวกเขา
ฉินซีก็เห็นรถคันนี้เช่นกัน แล้วหัวใจของเธอก็เหมือนกับถูกกดลงไปในน้ำเย็น
แน่นอนว่าเธอคุ้นเคยกับรถคันนี้เป็นอย่างดี
นี่คือรถที่จ้านเซินขับบ่อยที่สุดในเมืองหนาน
คิดไม่ถึงเลยว่า รถที่อยู่ตรงนั้นจะหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ แล้วประตูรถก็เปิดออก และคนสองสามคนก็เดินลงมา ซึ่งมีจ้านเซินยืนอยู่หน้าสุด
แขนของลู่เซิ่นเลื่อนลงมาจากหัวไหล่ของฉินซี แล้วเปลี่ยนไปทำท่าทางประสานมือกับเธอ
ทั้งสองคนมองหน้ากัน ฉินซีพยักหน้าไปมา และลู่เซิ่นยื่นมือออกไปเปิดประตูรถ และจูงมืฉินซีลงไปจากรถ
จ้านเซินกำลังสวมแว่นตาดำขนาดใหญ่ ซึ่งมันได้ปกปิดใบหน้าของเขาไปแล้วเกินครึ่งหน้า ทำให้ผู้คนมองไม่เห็นสีหน้าที่ยู่บนใบหน้าของเขา แต่ฉินซีกลับรู้สึกว่า เขาดูเหมือนจะผอมลงแล้วเล็กน้อย
โดยปกติฉินซีจะไม่คิดว่านี่เป็นเพราะเธอ และเป็นไปไม่ได้ที่จะปวดหัวเพราะเรื่องแบบนี้ ปฏิกิริยาแรกของเธอก็คือ ถ้าจ้าเซินผอมลงแล้วเล็กน้อยจริงๆ อย่างนั้นก็แสดงว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่ลู่เซิ่นจะเอาชนะเขาได้หลังจากที่เผชิญหน้ากับพวกเขาใช่หรือำม่?
เมื่อมองไปรอบๆอีกครั้ง ฉินซีก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมาก
คิดไม่ถึงเลยว่า……จะมาด้วยรถOff Road เพียงคันเดียวแบบนี้
บวกกับจ้านเซิน รวมทั้งหมดก็มีเพียงสี่คนเท่านั้น
นอกจากถังย่าที่ฉินซีรู้จักเป็นอย่างดีแล้ว อีกสองคนที่เหลือก็คือใบหน้าของคนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จัก ดูเหมือนว่าจะมีรูปร่างใหญ่มหึมา เราก็น่าจะเป็นคนที่รับมือได้ยาก
ตอนที่ฉินซีหันหน้าไป สายตาของเธอก็จับจ้องกับสายตาของถังย่าเข้าพอดี
ถังย่าไม่ได้สวมแว่นตาดำ เพียงแต่ยืนอยู่ในมุมที่อยู่ไกลจากฉินซีมากโดยไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ และแววตาดูเหมือนจะสับสนมาก
ฉินซีจับมือของลู่เซิ่นแน่นๆโดยไม่รู้ตัว
ลู่เซิ่นก็เลยก้มลงมามองเธอ
ทั้งสองคนต่างก็เห็นความคิดเดียวกันจากภายในสายตาของกันและกัน
แต่ทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้คิดที่จะพูดออกมา
ในการคุมเชิงกันนี้ ดูเหมือนว่าถ้าฝ่ายใดเอ่ยปากพูดออกมาก่อนก็จะเสียหน้าได้
แรกเริ่มเดิมทีจ้านเซินกำลังยืนเอนตัวพิงประตูรถอยู่ และเฝ้ารอให้ลู่เซิ่นกับฉินซีลงมาจากรถอย่างใจจดใจจ่อ พอได้เห็นพวกเขาทั้งสองคนกำลังจับมือและจ้องตากันด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งอยู่ในขณะนี้ ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะยืนตัวตรงขึ้นมา และภายในใจก็รู้สึกหงุดหงิดสุดจะทน
เขามาที่นี่ ไม่ใช่มาดูพวกเขาทั้งสองคนส่งสายตาให้กันและกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าในชั่วครู่ชั่วยามหนึ่งลู่เซิ่นกับฉินซีไม่ได้คิดที่จะหันมาสนใจเขาเลย จ้านเซินยืนอยู่ที่เดิมแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขัดจังหวะพวกเขาขึ้นมาว่า “วันนี้ก็คือวันที่พวกคุณบอกยังไงล่ะ ได้เวลาสะสางเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว พวกคุณเตรียมใจมาแล้วหรือยัง” ลู่เซิ่นหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “ใครกันแน่ที่จะต้องเตรียมใจมาให้พร้อม ก็ไม่มั่นใจเหมือนกันนะ”
ไม่ได้คิดที่จะมาโต้เถียงเรื่องนี้กับเขา เขาเพียงแต่ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าฉินซี
ลู่เซิ่นเกิดความระแวดระวังเล็กน้อยอยู่ในสายตา เขากำลังจะก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อซ่อนฉินซีเอาไว้ข้างหลัง แต่กลับถูกฉินซีบีบมือห้ามปรามไว้
ไม่รู้ว่าจ้านเซินเห็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของทั้งสองคนหรือไม่ เขาได้พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่กลับทำให้คนที่กำลังฟังรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทั้งตัวว่า “”ฉินซี คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะพาเขามาที่นี่
ฉินซียกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งขึ้นแล้วพูดว่า “แล้วยังไง ภูเขาลูกนี้เป็นของคุณหรือไง?”
เธอพูดอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งได้ปิดกั้นคำพูดต่อไปของจ้านเซินไม่ให้เอ่ยออกมาอีก
เดิมทีเขาอยากจะพูดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการดูดาว และเป็นสถานที่ที่ถูกค้นพบในตอนที่เขากับฉินซีปฏิบัติภารกิจร่วมกันเป็นครั้งแรก สถานที่นี้จึงเป็นความทรงจำที่ล้ำค่ามากสำหรับเขา
แต่เห็นได้ชัดว่า ฉินซีไม่ได้คิดอย่างนี้เลย และดูเหมือนว่า…เธอจะถึงขั้นจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอเคยมีความทรงจำนี้ร่วมกันกับเขา
เธอจำได้เพียงว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีในการดูดาว ดังนั้นเธอจึงรีบพาลู่เซิ่นมาที่นี่อย่างไม่รีรอ
ทั้งหัวใจและสายตามีเพียงผู้ชายคนนั้น ดังนั้นเธอก็เลยไม่สนใจความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่น้อย และไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะพาผู้ชายคนนั้นเข้ามาที่นี่ แล้วทำลายความทรงจำของทั้งสองคนที่อยู่ในหัวใจของเขา
ช่างโหดร้ายมาก
และถ้าจ้านเซินพูดคำประณามนี้ออกไปอีกครั้ง ก็ราวกับได้บอกคนอื่นไปว่าเขาไม่สามารถลืมได้มากเพียงใด
ช่างน่าขายหน้ามากจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงกลืนความขมขื่นทั้งหมดที่มีอยู่เต็มหัวใจลงไป และทำสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งขึ้น
ทันใดนั้นลู่เซิ่นก็พูดออกมาว่า “จ้านเซิน คุณชอบฉินซีเหรอ?”
สีหน้าของจ้านเซินตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด และสีหน้าของฉินซีก็แข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่งเช่นเดียวกัน
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าลู่เซินจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนทั้งสามคนนั้น
แล้วสายตาของเธอเหลือบมองไปที่ถังย่าที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง
——หรือว่าบางที อาจจะเป็นสี่คน
จ้านเซินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยปากพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อยว่า “เกี่ยวอะไรกับคุณงั้นเหรอ?”
ดูเหมือนว่าลู่เซินจะไม่แปลกใจกับท่าทีหลบเลี่ยงของเขาเลย เขาจึงเพียงแต่ยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “คุณคิดว่าความชอบของคุณ จริงๆแล้วเป็นเพียงแค่การครอบครองก็เท่านั้นเองเหรอ จ้านเซิน คุณไม่เข้าใจว่าอะไรคือความรักเลยสักนิด ดังนั้นคุณจึงไม่คู่ควรที่จะได้ครอบครองฉินซี”
หลังจากที่เขาพูดคำนี้จบ สีหน้าของจ้านเซินก็เย็นชาไปหมดแล้ว “อย่ามาพูดเพ้อเจ้อนะ ผมจะเหมาะสมหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะมาตัดสินใจให้ ลู่เซิ่น ที่พวกเรามาในวันนี้ ไม่ใช่จะมาตีฝีปากกัน ใครมีฝีมือ ฉินซีก็จะได้ไปกับคนนั้นเท่านั้น ผมนึกว่าตอนที่คุณท้าทายผม คุณจะรู้เสียอีก”
สีหน้าท่าทางของลู่เซิ่นยังคงเรียกได้ว่าสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมาก “ผมรู้อยู่แล้ว แต่ฉินซีไม่ใช่ทรัพย์สินของใคร และจะไปกับใครก็ได้ พวกเราไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ เธอควรจะเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง”
จ้านเซินเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “ทำไม นี่คุณจะกลับคำอย่างนั้นเหรอ?”
แล้วฉินซีที่ถูกทิ้งให้ผึ่งลมอยู่ข้างๆมาโดยตลอดก็อดไม่ได้ที่จะพูดทะลุกลางปล้องออกไปว่า “จ้านเซิน แม้ว่าวันนี้คุณจะเอาชนะลู่เซิ่นได้และพาตัวฉันไปได้แล้วจริงๆ ฉันก็จะไม่มีวันเต็มใจที่จะอยู่เคียงข้างคุณอยู่ดี”ฃ
จ้านเซินยิ้มอย่างดูถูก แล้วพูดว่า “ผมรู้ แต่นี่มันไม่สำคัญหรอก”
คุณรักเขาได้ คุณไม่รักผมก็ได้ และผมก็จำเป็นที่จะได้รับความรักจากคุณก็ได้เช่นเดียวกัน
ขอเพียงแค่พวกคุณไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่อไป ก็พอแล้ว
ฉันไม่ได้ครอบครองเธอ คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้เหมือนกัน