ฉินซีเพิ่งจะหันหน้ากลับไป ก็เห็นมีดที่กำลังส่องประกายแสงอันเยือกเย็นถูกกระแทกจนตกลงกับพื้นเข้าพอดี
หัวใจของเธอถูกบีบรัดจนแน่นขนัดขึ้นมาแล้ว
แล้วจ้านเซินก็พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความโกรธเกรี้ยวอยู่อย่างเบาบางออกมาว่า “ดูไม่ออกเลยจริงๆ…ว่าคนที่เปิดเผยมี่เล่ห์เหลี่ยมอย่างประธานลู่ ก็สามารถแทงใครจากด้านหลังได้เหมือนกัน”
บนใบหน้าของลู่เซิ่นกลับไม่มีความตื่นตระหนกเลยสักนิดที่อาวุธถูกกระแทกจนตกลงไป ถึงขั้นที่ว่าในแววตาของเขายังมีความสุขุมเยือกเย็นแฝงอยู่ด้วย “เกรงว่านายจะเข้าใจอะไรฉันผิดไปนะ เพื่อที่จะชนะแล้ว เราต่างก็ต้องไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ใช่หรอ”
ทั้งสองคนไม่พูดกันเสียงดังเลย และตำแหน่งที่ฉินซียืนก็อยู่ไม่ใกล้พอ ดังนั้นเธอก็เลยไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนพูดอะไรกันอยู่ เธอจึงทำได้เพียงกระวนกระวายอยู่ในใจ
และหลู่เซิน…ไม่ได้แสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็นเลย
เขาเอียงศีรษะหลบหมัดที่โจมตีเข้ามาของจ้านเซินอีกครั้ง แต่ความสุขุมเยือกเย็นที่อยู่บนใบหน้านั้นเขากลับไม่ได้แสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็นเลย
เขารู้สึกได้ว่าจังหวะการโจมตีของจ้านเซินถูกการโจมตีอย่างฉับพลันของเขาทำให้ยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว
ตอนที่จ้านเซินพูดกับเขาออกไปว่า “ฉันไม่พกอาวุธ เชิญนายตามสบายเลย” ลู่เซิ่นก็ได้วางแผนเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
เขารู้ว่าความหมายของคำพูดนี้ที่จ้านเซินพูด มันเป็นการยั่วยุ และก็เป็นการประชดประชันด้วย
จ้านเซินคิดว่าไม่ว่าลู่เซิ่นจะพกอาวุธมาด้วยหรือไม่ เขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงกล้าพูดออกมาแบบนี้
และในใจของลู่เซิ่นก็รู้และเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตัวเขากับจ้านเซินดี ในเวลานี้ เขาไม่สามารถทุ่มกำลังโจมตีได้ ทำได้เพียงใช้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น
จุดประสงค์พื้นฐานของการโจมตีด้วยอาวุธ ไม่ใช่เพื่อการโจมตี แต่เพื่อทำให้จังหวะการโจมตีของจ้านเซินยุ่งเหยิงเท่านั้น
ถึงแม้ว่า…จะมีเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ตาม
สำหรับคนอย่างจ้านเซิน การประมาทเลินเล่อทุกๆชั่วพริบตานั้นเป็นเรื่องเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
และลู่เซิ่นก็ไม่ใช่คนโง่ ฉินซีมองออกหมดทุกอย่างว่าจ้านเซินกำลังล้อเล่นกับเขาอยู่ และตัวเขาก็สามารถรู้สึกได้เองเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าในใจของเขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ แต่… เขาก็รู้เช่นเดียวกันว่าตัวเองไม่สามารถแสดงออกมาได้
ถ้าหากจ้านเซินรู้ว่าแผนการของเขาประสบผลสำเร็จแล้ว เช่นนั้นจ้านเซินจะต้องทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป……คงไม่ได้การแน่
ดังนั้นลู่เซิ่นก็เลยตัดสินใจเด็ดขาดลงไปว่า จะหยิบมีดที่ติดอยู่ในแขนเสื้อออกมา
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจ้านเซินก็มีความผิดปกติในจังหวะการต่อสู้ไปชั่วขณะแล้วจริงๆ
ลู่เซิ่นมองเห็นอย่างชัดเจน แต่ในใจของเขาไม่รู้สึกภาคภูมิใจเลย กลับยิ่งสุขุมเยือกเย็นมากกว่าเดิม
เมื่อสักครู่นี้ที่จ้านเซินชกหมัดนั้นลงมา ถ้าเขาก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว เขาก็จะสามารถสกัดกั้นทางหนีทีไล่ทั้งหมดลู่เซิ่นเอาไว้ได้
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจังหวะของเขายุ่งเหยิงไปหมดแล้ว เพราะว่าอยากจะโจมตีลู่เซิ่นให้หนัก คาดไม่ถึงว่าเขาจะก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย ซึ่งมันก็คือในขณะนี้นั่นเอง!
ลู่เซิ่นถูกกระแทกในทันที เขาถอยหลังไปครึ่งก้าวเพื่อหาโอกาสได้ตั้งตัวพักหายใจไม่ได้เลยเพราะว่าจ้านเซิน เขาก็เลยเดินมุ่งหน้าขึ้นไปปะทะกับเขาแทน ในขณะที่กำลังใช้ความเร็วที่รวดเร็วมากจนคนอื่นมองไม่เห็นอยู่นั้น เขาก็ชักมีดอีกเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออีกข้างหนึ่ง แล้วโบกมือจะไปฟันที่ลำคอของจ้านเซิน
แต่จ้านเซินเป็นคนที่ร้ายกาจมาก เขาเกือบจะรู้ความประสงค์ของลู่เซิ่นแล้วในทันที เขาคว้ามือที่ลู่เซิ่นกวัดแกว่งมาที่ร่างกายของเขาเอาไว้ในทันที พร้อมกับโก้งโค้งเอวลง ใช้รัศมีแห่งความคล่องแคล่วและยืดหยุ่นจนน่าเหลือเชื่อของมือซ้ายไปหยิบมีดเล่มนั้นที่ถูกเขาตีจนตกลงบนพื้นในตอนที่ลู่เซิ่นโจมตีเขาครั้งแรกขึ้นมา แล้วแทงไปบนร่างกายของลู่เซิ่นโดยไม่ทันได้กะพริบตา
แต่ลู่เซิ่นกลับไม่หลบหลีกเลย เขาเพียงแค่หมุนหักมุมเล็กน้อย เพื่อที่จะทำให้มีดเล่มนี้ของจ้านเซินไม่สามารถเอาชีวิตของตัวเองได้ แต่ร่างกายส่วนบนของเขากลับยังคงยืดไปข้างหน้าต่อไป จนกว่าเขาจะสามารถเอามีดของตัวเองไปจี้บนลำคอของจ้านเซินได้
จ้านเซินคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ เขาไม่ทันได้เตรียมป้องกันในชั่วขณะหนึ่ง ลำคอก็ถูกมีดของลู่เซิ่นบาดไปที่ผิวหนังเล็กน้อยเสียแล้ว ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา และทำให้การเคลื่อนไหวของเขาหยุดชะงักลงเช่นกัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นมาในชั่วพริบตา ฉินซีมาทันเวลาเพียงแค่ได้ตะโกนเสียงหลงออกมาว่า“ลู่เซิน” และเมื่อจ้องมองไปอีกครั้ง ทั้งสองคนต่างก็อยู่ในสภาพที่เข้าตาจนกันแล้ว
มีดที่อยู่ในมือของจ้านเซินได้แทงทะลุเข้าไปที่บริเวณหน้าท้องของลู่เซิ่นแล้ว ไม่รู้ว่าบาดเจ็บจนถึงส่วนไหน แต่พอสังเกตดูก็จะเห็นได้ว่ามีเลือดสดๆกำลังหยดลงมาไม่หยุด และมีดที่อยู่ในมือของลู่เซิ่นก็จี้อยู่บนลำคอของจ้านเซิน เพียงแค่ออกแรงเล็กน้อย ก็จะสามารถปลิดชีวิตของจ้านเซินได้แล้ว
ในขณะที่ฉินซีกำลังมองดูเลือดสดๆที่แผ่กระจายออกไปเป็นบริเวณกว้างนั้น บนใบหน้าของเธอก็ไม่มีสีของเลือดฝาดแล้ว ราวกับว่าคนที่กำลังเลือดไหลออกมานั้นไม่ใช่ลู่เซิ่น แต่เป็นเธอ
“ลู่เซิ่น……” พอเธอเดินไปทางลู่เซิ่นสองก้าว จ้านเซินกลับกดมีดเข้าไปอีกหนึ่งเซนติเมตรตามการเคลื่อนไหวของเธอ
“อย่า!” ฉินซีกรีดร้องอย่างไม่เป็นผู้เป็นคน แล้วพูดจาสะเปะสะปะออกมาว่า “คุณอย่าขยับนะ ฉันจะถอยกลับไป ถอยกลับไปแล้ว!”
เธอยกมือขึ้นทั้งสองข้างเหมือนกับยอมจำนน แล้วถอยหลังไปสองก้าวใหญ่ๆ
ถังย่าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าลู่เซิ่นจะใช้วิธีการจู่โจมในรูปแบบของการฆ่าตัวตายเช่นนี้เพื่อให้ได้รับความเท่าเทียมกันในเวลาอันสั้นในสนมประลองนี้ เดิมทีเธอคิดว่าการที่จ้านเซินได้รับชัยชนะจะต้องเป็นเรื่องที่แน่นอนและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นเธอก็เลยไม่รู้สึกกังวลใจสักเท่าไหร่ แต่พอได้เห็นรอยเลือดที่ไหลซึมอยู่บนคอนั้นในตอนนี้ ภายในหัวใจก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในที่สุด
แม้จะรู้มานานแล้วว่า ภายในหัวใจของฉินซีไม่มีที่ว่างสำหรับตัวเองเลย แต่พอได้ยินฉินซีเรียกเพียงชื่อของลู่เซิ่นคนเดียวเท่านั้นในสถานการณ์แบบนี้ในตอนนี้ ภายในหัวใจของจ้านเซินก็ว่างเปล่าอย่างควบคุมไม่ได้ไปพักหนึ่ง และแน่นอนว่าพละกำลังที่อยู่ในมือ ก็ไม่มีหนทางที่จะควบคุมได้เช่นกัน
ลู่เซิ่นน่าจะเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะที่สุดในสี่คนนี้
จิตใจของเขาไม่ได้รับผลกระทบจากความเจ็บปวดที่แพร่กระจายออกมาจากบริเวณช่องท้องเลย แต่กลับยิ่งสงบเยือกเย็นลงมา
เขารู้ดีว่า ผลการประลองที่เสมอกันของเขากับจ้านเซินในขณะนี้เป็นเพียงผลชั่วคราวเท่านั้น แม้ว่ามีดของจ้านเซินน่าจะไม่ได้ทำร้ายไปถึงม้ามของเขาก็ตาม แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้เขากำลังเสียเลือดอย่างรวดเร็ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นาน ตัวเองก็จะรู้สึกเวียนหัวตาลายเพราะเสียเลือดเป็นแน่ และถ้าเกิดจ้านเซินรู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ต่อให้มีดของตัวเองกำลังจี้อยู่ข้างลำคอของเขา เขาก็ต้องมีหนทางสลัดหลุดไปได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องทำในตอนนี้ ก็คือต้องต่อสู้ให้รวดเร็วฉับไวที่สุด หากยังหาทางออกไม่ได้อย่างนี้ต่อไป เขาจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างอย่างแน่นอน
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่เซิ่นก็เริ่มพูดออกมาว่า “จ้านเซิน ยังอยากจะสู้ต่อไหม?”
สีหน้าของจ้านเซินไม่สู้ดีเลย พละกำลังที่อยู่ในมือก็ไม่ได้ผ่อนคลายลงไปเลย แต่เขายังคงเหลือบมองลู่เซิ่นเบาๆ และพูดว่า “แล้วประธานลู่มีความคิดใหม่ๆบ้างหรือเปล่าล่ะ?”
สีหน้าและน้ำเสียงของลู่เซิ่นล้วนแล้วแต่เฉยเมยมาก ราวกับว่าเขากำลังนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะเจรจาในห้องประชุมของบริษัทลู่ซื่อและไม่ได้ถูกคนแทงที่ท้องอย่างไรอย่างนั้น “เราสามารถลองพูดคุยกันก่อนได้นะ”
จ้านเซินหัวเราะเยาะ “ประธานลู่ พวกเราไม่สามารถพูดคุยกันได้เลย คุณต้องการฉินซี ผมก็เช่นกัน แต่เธอมีเพียงคนเดียว และเธอจะต้องเลือกเพียงตัวเลือกเดียวระหว่างเราสองคนอยู่ดี”
สีหน้าของลู่เซิ่นกลับไม่ได้หวั่นไหวอะไร เขาเพียงแต่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “จ้านเซิน ที่คุณยึดติดกับฉินซี เป็นเพราะว่าเธอคือฉินซี หรือเป็นเพราะ……คุณยังไม่ได้ครอบครองเธอกันแน่?”
คิ้วของจ้านเซินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยถามคำถามเช่นนี้กับตัวเอง
ฉินซีสำคัญมากจริงๆ แล้วก็พิเศษสำหรับเขามากจริงๆเช่นกัน แต่…เธอพิเศษจริงๆจนถึงขั้นที่ตัวเองจะต้องคลั่งไคล้ขนาดนี้เลยเหรอ?
หรือว่าตัวเองแค่รู้สึกไม่พอใจที่ไม่ได้ครอบครองเธอเท่านั้น?
แต่ในหัวสมองของจ้านเซินไม่มีกลไกจัดการทางอารมณ์ที่สามารถจัดการได้อย่างหนักแน่นอยู่เลย คำถามเหล่านี้จึงซับซ้อนเกินไป เมื่อเขานึกขึ้นมาได้ก็รู้สึกรำคาญใจ และไม่ไปสืบสาวราวเรื่องอะไรอีกเลย
ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้ว มันก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย ท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม คือเขาต้องการให้ฉินซีอยู่เคียงข้างตัวเอง
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกลู่เซิ่นแทงในเวลานี้
ดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นการสั่นไหวของเขาแล้ว ลู่เซิ่นจึงหัวเราะขึ้นมา แล้วพูดต่อไปว่า “สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดในโต๊ะเจรจาคือการแสดงไพ่ตายให้อีกฝ่ายได้ดู แต่ผมไม่ถือว่านี่เป็นการเจรจาเลย ดังนั้นผมจึงไม่กลัวที่จะบอกคุณหมดทุกอย่าง จ้านเซิน ถ้าวันนี้ผมไม่ได้พาฉินซีกลับไปด้วย ผมคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่คนเดียวได้ ขอเพียงแค่ฉินซีอยู่ด้วยกันกับผม ผมจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
เมื่อสิ้นเสียงพูดของเขา บนใบหน้าของทุกคนก็ปรากฏสีหน้าที่ตื่นตระหนกตกใจออกมา แม้แต่ฉินซีก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าลู่เซิ่นจะกำลังโอบกอดความคิดเช่นนี้อยู่