เรื่องของจ้านเซินเป็นเรื่องที่ห้ามพูดกันเรื่องหนึ่งในองค์กรมาแต่ไหนแต่ไร
ไม่เพียงแต่เป็นเพราะว่านี่คือข้อพิสูจน์ที่ว่าพ่อของลู่เซิ่นได้เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ขององค์กรและมีความสัมพันธ์กับสมาชิกในองค์กรอย่างโจ่งแจ้ง และยังเป็นเพราะว่า……เธอได้จากไปอย่างน่าเศร้าเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าเดิมทีคนที่รู้ว่าเธอเป็นแม่ของจ้านเซินมีไม่มาก สิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้ก็คือเธอเป็นสมาชิกขององค์กรที่กระโดดตึกเสียชีวิตคนนั้นเมื่อหลายปีก่อน
จ้านเซินไม่เคยเอ่ยถึงและก็ไม่เคยถามมาก่อนเช่นกัน จนทำให้ข้อเท็จจริงในการเสียชีวิตของเธอถึงกับถูกบิดเบือนไปแล้ว และถือเป็นตำราเรียนที่เสื่อมทรามที่มีอยู่ในหลักสูตรล้างสมองเหล่านั้นขององค์กร แล้วถูกนำออกมาสอนครั้งแล้วครั้งเล่า “ผู้หญิงคนนี้ได้ตกหลุมรักเป้าหมายในภารกิจเข้า หลังจากที่ภารกิจสำเร็จเธอก็รู้สึกเสียใจและสำนึกผิด ดังนั้นเธอจึงคิดไม่ตกแล้วกระโดดตึกลงไป”
คนที่รู้จะไม่พูดถึง แล้วก็ไม่กล้าพูดถึงด้วย ดังนั้นนี่จึงเกือบจะเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดถึงเธออย่างเปิดเผยหลังจากที่แม่ของเขาได้จากไปแล้ว
แต่หลายปีมานี้ ฉินซีก็เป็นคนที่พูดคำว่า “แม่ของคุณ”มาอ้างอิงในตอนที่พูดถึงเธอน้อยมากเช่นกัน
ดังนั้นความประหลาดใจบนใบหน้าของจ้านเซินจึงผสมปนเปไปด้วยความโกรธ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นไปตามหลักเหตุผลเช่นเดียวกัน
ในตอนนี้ฉินซีกลับมองข้ามความโกรธแค้นที่เห็นได้ชัดของจ้านเซินไปแล้วโดยสมบูรณ์ และพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบเยือกเย็นต่อไปว่า “ประโยคสุดท้ายทีเธอพูดกับฉันคือ หนีออกไปจากที่นี่ซะฉินซี”
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกไป แม้แต่ถังย่าก็แสดงสีหน้าท่าทางที่ประหลาดใจเล็กน้อยออกมา
ฉินซียังคงพูดต่อไปท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นยะเยือกรอบๆตัวว่า “ฉันไม่เคยบอกรายละเอียดการจากไปของเธอให้คุณฟัง เพราะตอนนั้นคุณเองก็เศร้าเสียใจอยู่ และฉันไม่อยากเปิดเผยรอยแผลเป็นของคุณอีกครั้ง แต่ถึงตอนนี้แล้ว ต่อให้พูดเรื่องเหล่านี้ออกมาดูเหมือนว่าคงจะไม่เป็นไรแล้ว”
ฉินซีพูดคำนี้อย่างสงบจิตสงบใจ แต่กลับมีการเยาะเย้ยถากถางแฝงอยู่ด้วย
อะไรที่เรียกว่าตอนนี้คงไม่เป็นไรแล้ว? ไม่มีอะไรมากไปกว่าการรู้สึกว่าจ้านเซินลืมการตายของแม่ของเขาไปหมดสิ้นแล้ว
มือของจ้านเซินบีบด้ามมีดแน่นโดยไม่รู้ตัว
ฉินซียกเปลือกตาขึ้นและเหลือบมองจ้านเซิน ในสายตาก็เต็มไปด้วยความเฉยเมย “เธอบอกกับฉันเรื่องอดีตของเธอกับพ่อของคุณแล้ว ถือเกิดของคุณเป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ เธอเตือนว่าอย่าเป็นเหมือนเธอเด็ดขาด พอถึงตอนที่ไม่มีหนทางถอนตัวออกมาได้มันจะเสียใจภายหลัง”
แล้วบนใบหน้าไร้อารมณ์มาแต่ไหนแต่ไรของจ้านเซินก็มีความเจ็บปวดรวดร้าวที่ชัดเจนแว็บผ่านขึ้นมา
นับตั้งแต่ในขณะนั้นที่เขาเกิดมา เขาก็ถูกปลูกฝังให้เป็นทายาทขององค์กร และได้รับการฝึกฝนที่เข้มงวดทารุณที่สุดมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายของเขาดื้อต่อยาที่พบเห็นได้ทั่วไปหลายชนิด เขามีความสามารถในการรักษาตัวเองที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บก็เลยไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่รุนแรงอะไรมาก
พูดไม่ได้ว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแรงแน่นหนาเหมือนกับกำแพงเหล็ก แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นร่างกายที่แข็งแกร่งประดุจเหล็กอยู่ครึ่งหนึ่งแล้ว
แต่ในเวลานี้คำพูดที่เรียบง่ายของฉินซีกลับเป็นเหมือนกับลูกกระสุนที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งเจาะทะลุหัวใจของเขาอย่างโหดเหี้ยม
ไม่มีใครเกิดมาแล้วจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีความรู้สึกหรอก ในความทรงจำที่เลือนรางของจ้านเซิน ตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาก็เคยอยากจะเป็นเหมือนเด็กทั่วๆไป เขารู้สึกเบื่อหน่ายที่จะอยู่เคียงข้างแม่ และเฝ้าปรารถนาอ้อมกอดที่อบอุ่น
นี่แทบจะเป็นความทรงจำอันอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในหัวใจของจ้านเซิน
แต่ตอนนี้ฉินซีกลับฉีกความอบอุ่นนี้ออกเป็นชิ้นๆด้วยคำพูดที่เรียบง่ายไม่กี่คำ
เขาเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่า แท้ที่จริงแล้วคำพูดจึงเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้ เงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง แต่กลับสามารถฆ่าคนได้โดยที่ไม่มีตัวตน
แล้วมือที่กำลังถือมีดอยู่ขิงจ้านเซินก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาสักครู่หนึ่ง
แต่ฉินซีกลับเพิกเฉยและมองไม่เห็นความเจ็บปวดของเขา เธอยิ้มให้ตัวเองและพูดต่อว่า “ฉันอยากจะออกไป ในตอนแรกมันไม่เกี่ยวกับลู่เซิ่นเลย เป็นเพราะตัวองค์กรเองและการตายของแม่คุณต่างหากที่กำลังบีบรัดฉันอยู่ ทำให้ฉันสุดที่จะทนแบกรับมันจนอยากจะหนีออกไป คุณไม่มีวันที่จะจินตนาการออกหรอก ในสองสามวันที่ผ่านมานั้น เพียงแค่หลับตาลง ฉันก็ได้ยินแต่คำพูดนั้นที่แม่ของคุณพูดกับฉันว่า รีบหนีไป ฉินซี แล้วต่อมาฉันก็ได้พบกับลู่เซิ่น ซึ่งเขาก็เป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องออกไปจากองค์กร จ้านเซิน ที่ฉันไม่ได้อยู่กับคุณไม่ใช่เพราะว่าฉันมีลู่เซิ่น แต่เป็นเพราะฉันไม่ได้รักคุณเลย และที่ฉันไม่ยอมกลับไปที่องค์กรก็ไม่ใช่เพราะลู่เซิ่น แต่ฉันไม่สามารถอดทนกับองค์กรได้อีกต่อไปแล้ว”
จ้านเซินหลับตาลง จึงจะทำให้เสียงของตัวเองฟังดูแล้วเหมือนกับเสียงปกติและจะได้ฟังออกว่าเขามีอารมณ์แบบไหน “แต่เมื่อก่อนทุกอย่างก็ดีไปเสียทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะลู่เซิ่น จะเกิดเหตุเภทภัยมากมายขนาดนั้นได้ยังไง……”
เสียงของเขาไม่หนักแน่นขนาดนั้นเหมือนแต่ก่อนเลย ฉินซีก็ได้ออกได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นฉินซีจึงขัดจังหวะเขาอย่างไม่ลังเลด้วยการพูดคำพูดที่แทบจะเรียกได้ว่าโหดเหี้ยมออกมาว่า “ตอนที่คุณตัดสินใจสะกดจิตให้ฉันลืมทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเราก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว”
ในขณะที่ถังย่ากำลังฟังพวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันไปมาอยู่ด้านข้าง จิตใจก็รู้สึกอกสั่นขวัญหายทุกวินาทีเหมือนกับกำลังนั่งรถไฟเหาะอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ฉินซีไม่รู้สภาพจิตใจของจ้านเซินเลย แต่เธอกลับรู้สึกได้ว่าไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้ว แรกเริ่มเดิมทีจ้านเซินก็มีความรู้สึกลุ่มหลงมัวเมาชนิดที่เรียกได้ว่าคลั่งไคล้ต่อฉินซีมากเลยทีเดียว แต่ในเวลานี้เพราะว่าได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ดวงตาของเขาจึงมืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆรายละเอียดล้วนแล้วแต่กำลังสะท้อนออกมาให้เห็น และอีกประเดี๋ยวเดียวเขาก็จะถึงขอบเขตที่จะระเบิดมันออกมาแล้ว
แต่ฉินซีกลับยังคงแกว่งเท้าเข้าหาเสี้ยนด้วยการยั่วอารมณ์เขาอยู่อย่างนี้
มือของถังย่าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ หัวใจก็เลื่อนขึ้นมาอยู่ตรงลำคอ เธอเตรียมรับมือกับความบ้าคลั่งที่จ้านเซินระเบิดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา
เส้นเสือดสีเขียวที่อยู่ตรงขมับของจ้านเซินได้ระเบิดออกมาทั้งหมดแล้ว แต่สาเหตุอาจจะเป็นเพราะว่าฉินซีอยู่ตรงหน้า เขาจึงไม่ได้สูญเสียการควบคุมเหมือนในคราวก่อนเลย เพียงแต่กัดฟันแน่น แล้วบีบเค้นคำพูดสองสามประโยคออกมาจากซอกฟันว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราทุกคนจบสิ้นกันตรงนี้ก็จะไม่มีอะไรต้องเสียดาย และก็ยังถือได้ว่าเป็นการตายเพื่อบูชาความรักก็แล้วกัน”
แต่ฉินซีกลับไม่ได้ถูกเขายั่วให้โกรธ เธอเพียงแต่ส่ายหน้าไปมา แล้วพูดว่า “จ้านเซิน ลู่เซิ่นไม่พูดคุยกับคุณ แต่ฉันกลับอยากจะลองพูดคุยกับคุณดูดีดี ตอนที่แม่ของคุณแยกทางจากฉันไป เธอได้ให้ไดอารี่ของเธอเล่มหนึ่งกับฉัน และยังมีจดหมายที่เธอเขียนให้ฉันฉบับหนึ่งด้วย แน่นอนว่าฉันให้จดหมายคุณไม่ได้อยู่แล้ว แต่กลับไม่ได้บอกไว้ว่าฉันจะมอบไดอารี่ให้คุณไม่ได้ ถ้าคุณปล่อยพวกเราไป ฉันจะให้ไดอารี่กับคุณ”
จ้านเซินตกตะลึงไปหนึ่งวินาที
เธอ…คิดไม่ถึงเลยว่าเธอเก็บไดอารี่เอาไว้ กลับไม่ได้มอบให้ตัวเอง แต่เอาไปมอบให้ฉินซี
จะเห็นได้ว่าฉินซีไม่ได้พูดผิดจริงๆ แม่……ถือว่าเขาคือความผิดพลาดจริงๆ จนถึงท้ายที่สุด เธอก็ขอมอบของให้กับคนอื่นดีกว่า เขียนจดหมายถึงคนอื่นหนึ่งฉบับ แล้วก็ไม่ได้ทิ้งคำพูดเล็กๆน้อยๆให้กับตัวเองเลยสักคำ
ฉินซีก็ไม่ได้พูดผิดอะไร ความจริงเวลาผ่านไปแล้วหลายปี ฉากการตายของแม่ของเขาก็ค่อยๆลืมเลือนไปจากภายในหัวใจของจ้านเซินแล้ว แต่การจากไปอย่างกะทันหันของแม่ของเขายังคงประทับอยู่ภายในหัวใจที่แทบจะไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วของจ้านเซิน
แม่ทิ้งของไว้ในองค์กรน้อยมาก เสื้อผ้าและของใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ใช้ตามมาตรฐานขององค์กร แทบจะไม่หลงเหลือร่องรอยของความเป็นส่วนตัวใดๆเลย
ดังนั้นหลังจากที่ศพของเธอถูกเผา จ้านเซินจึงแทบจะไม่พบหลักฐานใดๆที่จะมายืนยันเลยว่าเธอเคยมีอยู่ นอกจากเถ้ากระดูกแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดใดที่จะสามารถไว้อาลัยถึงเธอได้เลย
ทันใดนั้นไดอารี่ก็ตกลงมาจากท้องฟ้า ถ้าจะพูดว่าไม่ใจสั่นเลยก็คงจะไม่ได้
แต่ว่า……ในเมื่อฉินซีคิดว่านี่คือการเจรจาพูดคุย เช่นนั้นจ้านเซินก็จะต้องทำจิตใจให้ฮึกเหิมและปฏิบัติตนอย่างเอาจริงเอาจังเช่นกัน
เขากำลังบังคับตัวเอง โดยไม่แสดงสีหน้าท่าทางของความเฝ้าปรารถนาใดๆออกมา แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “ไดอารี่หนึ่งเล่มแลกกับหนึ่งชีวิต ข้อตกลงนี้ผมอาจจะเสียเปรียบมากเกินไปหน่อยนะ หรือจะบอกว่า……ในใจของคุณหนึ่งชีวิตของลู่เซิ่นก็มีค่าแค่นี้เหมือนกัน?”
จนถึงเวลานี้ เขายังไม่ลืมที่จะยุยงให้พวกเขาสองคนแตกแยกกันเลยสักครั้ง