ลู่เซิ่นเพียงแต่ยิ้มอย่างไม่แยแสต่อความเงียบของจ้านเซิน แล้วก็พูดต่อไปว่า “ในเมื่อคุณบอกว่า ฉินซีให้เพียงสิ่งของชิ้นเดียวกับคุณ แต่กลับอยากจะแลกสองสิ่งกับคุณ คุณรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม งั้นผมก็จะเพิ่มเบี้ยต่อรองอีกหนึ่งชิ้น”
คราวนี้ฉินซีก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน และหันหน้าไปมองเขา
พวกเขาไม่เคยพูดถึงปัญหานี้มาก่อน และเธอไม่รู้เลยว่าลู่เซิ่นจะทำอะไรต่อไป
ลู่เซิ่นยกมือขวาที่เคยถือมีดเอาไว้เมื่อกี้นี้ขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปหาจ้านเซินและพูดว่า “ผมจะตัดมือข้างหนึ่ง แลกกับอิสรภาพของฉินซี เธอให้ไดอารี่เล่มหนึ่งกับคุณ แลกกับการที่ผมกับเธอจะได้อยู่ด้วยกัน ข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนแบบนี้ ยุติธรรมแล้วหรือยัง?”
พอพูดคำนี้ออกมา ทุกคนต่างก็เงียบกันหมด แม้แต่จ้านเซิน ก็แสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมาเล็กน้อย
……ลู่เซิ่นจะตัดแขนข้างหนึ่งของตัวเองเหรอ?
แม้ว่าเดิมทีจ้านเซินจะไม่เข้าใจลู่เซิ่นก็ตาม แต่นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป เขาก็ได้ถูกบังคับให้เข้าใจแล้วเช่นกัน
ลูกชายคนโตของตระกูลลู่ เกิดมาก็เป็นบุตรที่รักและโปรดปรานของสวรรค์ เขาได้รับการศึกษาที่เข้มงวด หลังจากนั้นก็ได้มาคุมบริษัทลู่ซื่อให้ดำเนินกิจการไปอย่างราบรื่นจนถึงปัจจุบัน
แต่ภายในของลู่กลับไม่สงบสุขขนาดนั้นเหมือนกับที่เห็นจากภายนอก แม้ว่าอารองกับอาสามของจ้านเซิ่นจะถูกไล่ออกจากศูนย์กลางของอำนาจแล้วก็ตาม แต่พวกเขายังคงจับจ้องดูทรัพย์สินของบริษัทลู่ซื่อตาเป็นมัน
ลู่เซิ่นจำเป็นต้องรักษาบารมีและความน่าเชื่อถือของตัวเองให้มั่นคง จึงจะสามารถควบคุมบริษัทลู่ซื่อต่อไปได้อย่างมั่นคงแข็งแรง
แต่คนที่ตัดมือไปแล้วข้างหนึ่ง…จะไปเอาบารมีมาจากไหน?
ถ้าเขาทำเรื่องแบบนี้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นพอถูกคนรู้ถึงสาเหตุที่ทำแล้ว แม้ว่าบางคนจะโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟและรู้สึกทอดถอนหายใจด้วยความโมโห แต่ผู้ถือหุ้นคงคิดว่าเขาทำเรื่องที่หุนหันพลันแล่นและจะไม่เอาผลประโยชน์ของบริษัทลู่ซื่อมาเป็นอันดับแรก
นี่คือสิ่งที่ต้องห้ามที่สุดคนที่เป็นประธานรู้ดีอยู่แล้ว
เป็นอย่างนี้ต่อไป รากฐานของบริษัทลู่ซื่อของลู่เซิ่นก็จะต้องสั่นคลอนเป็นแน่
แม้ว่าเจาจะไม่ไปสนใจเรื่องความมั่งคั่งร่ำรวย แต่คนที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์คนหนึ่ง ได้เสียมือข้างหนึ่งและกลายเป็นคนพิการโดยไม่มีสาเหตุไปแล้ว ชีวิตจะยากลำบากมากแค่ไหน ก็เป็นเรื่องยากที่คนปกติจะจินตนาการได้
ดังนั้นจ้านเซินจึงไม่อยากจะเชื่อกับคำที่ลู่เซิ่นพูด
ในความเข้าใจของจ้านเซิน ฉินซีเป็นคนที่สำคัญมาก แต่เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง และสุดท้ายเธอก็เป็นสมบัติของตัวเอง เขาต้องการให้เขาทำร้ายตัวเองเพื่อฉินซี แล้วเอาความมั่งคั่ง สุขภาพ และอนาคตมาแลก มันเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจข้อเสนอของลู่เซิ่น
แต่หลังจากที่ฉินซีกำลังตะลึงงันอยู่ชั่วขณะ ก็หันไปจ้องมองลู่เซิ่นด้วยสายตาถมึงทึง แล้วพูดว่า “ใช้มือขวาของคุณมาแลกกับอิสรภาพของฉันมันหมายความว่าอย่างไร? ลู่เซิ่น คุณอย่าพูดอะไรโง่ๆอย่างนี้นะ!”
แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ได้ตอบอะไรเธอ เขาเพียงแต่เดินไปหาเธอและยิ้มให้เบาๆ แล้วก็หันหน้าไปมองจ้านเซิน และถามอีกครั้งหนึ่งว่า “ข้อตกลงนี้ของผม เป็นอย่างไร?”
จ้านเซินขมวดคิ้วแน่นและมองมาที่เขา
สีหน้าบนใบหน้าของลู่เซิ่นผ่อนคลายมาก ราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองได้พูดออกมามันไม่ใช่คำพูดที่สุดยอดอะไรเลย ในสายตาของเขา ก็ถึงขั้นมีความยั่วยุเล็กน้อยอยู่ในนั้นด้วย
เดิมทีจ้านเซินก็สงสัยและไม่ไว้วางใจข้อเสนอของลู่เซิ่นเป็นอย่างมากอยู่แล้ว พอถูกเขามองด้วยสายตาที่ยั่วยุอย่างนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเพียงแค่ทำตัวเป็นฮีโร่ต่อหน้าฉินซีเท่านั้น ราวกับว่าเขารู้ว่าจ้าเซินไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และจะไม่ไปทำจริงๆโดยสิ้นเชิง
จ้านเซินคิดอะไรออกแล้วเล็กน้อย ความรู้สึกไม่สบอารมณ์นั้นที่อยู่ในใจในที่สุดก็พบคำอธิบายแล้ว สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าของเขาก็เลยผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
เขามองไปที่การแสดงสีหน้าที่ยั่วยุของลู่เซิ่น และยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “โอเค ผมเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้”
เมื่อสิ้นเสียงพูดของเขา ฉินซีก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาทันทีว่า “ไม่ ฉันไม่เห็นด้วย ข้อตกลงนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการกลั่นแกล้งคนชัดๆ จ้านเซิน ฉันต่างหากล่ะที่เป็นคนขององค์กร และฉันก็ไม่ใช่นักฆ่าด้วย ต่อให้ฉันจะอยากจะออกจากองค์กร ก็ไม่จำเป็นต้องตัดมือ คุณเอามือของจ้านเซินมา มันก็ไม่เป็นไปตามกฎน่ะสิ!”
แต่ทว่าเธอยิ่งแก้ต่างให้ลู่เซิ่นด้วยความร้อนใจ จ้านเซินก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลู่เซิ่นจะทำแบบนั้นจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเพียงแต่ยิ้ม แล้วโบกมือไปมาให้ฉินซี และพูดว่า “นี่คือข้อตกลงที่เขาเสนอขึ้นมาเอง และผมก็เห็นด้วยแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนจะเป็นไปตามกฏหรือไม่……ในองค์กรนี้ ถ้าผมพูดและกำหนดแล้ว ก็สามารถทำได้เลย”
เขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งในขณะที่เขาพูด และยังเจียดเวลาพินิจพิเคราะห์ดูลู่เซิ่นสองสามครั้ง แล้วจิตนาการท่าทางที่เสียใจและร้องไห้จนหน้ามูกน้ำตาไหลเหมือนเด็กของเขาสักพัก ในใจก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขขึ้นมา
ฉินซีรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ จึงหันหน้าแล้วไปจับลู่เซิ่นเพื่อขอให้เขากลับคำพูดของตัวเองซะ แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ได้มองเธอเลย เขาเพียงแต่ค่อยๆยอมรับอย่างแน่ชัดกับจ้านเซินไปอีกรอบว่า “คุณพูดแบบนี้ ผมจะเชื่อคุณได้อย่างไร?”
จ้านเซินเห็นว่าเขายังคงพูดอยู่แต่ไม่ดำเนินการ ก็คิดว่าเขาคงหวาดกลัวอยู่ในใจ และกำลังถ่วงเวลา ในใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา เขาจึงพูดขึ้นมาตามใจชอบว่า “ผมไม่ใช่คนที่กลับคำพูดอยู่แล้ว ถ้าหากคุณรู้สึกไม่สบายใจ เราสามารถกำหนดข้อตกลงกันได้นะ วันนี้คุณทิ้งมือขวาของคุณไว้ที่นี่ ฉินซีเอาไดอารี่ของแม่ผมให้กับผม ผมปล่อยพวกคุณให้เป็นอิสระ และจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณอีกต่อไป ในการแลกเปลี่ยน ผมจะเอาอำนาจสาขาเมืองหนานมาเป็นหลักประกัน คุณ……ไม่สู้เอาหุ้นทั้งหมดของบริษัทลู่ซื่อมาด้วยแลกดีกว่าไหมล่ะ ถ้าหากพวกเรามีคนใดคนหนึ่งกลับใจ ก็จะได้เอาของที่เป็นหลักประกันและอำนาจทั้งหมดมามอบให้แก่อีกฝ่ายไง”
ฉินซีรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับมือของลู่เซิ่นอยู่ในใจ เธอจึงไม่สนใจข้อเสนอของจ้านเซินเลย แต่เธอกลับห้ามไม่ให้ลู่เซิ่นพูดออกมาได้ “บริษัทลู่เซิ่นแลกกับสาขาเมืองหนาน……มันจะไม่เสียเปรียบกันไปหน่อยเหรอ หรือว่าคุณรู้สึกไม่มั่นใจอะไร และทำอะไรไม่ได้ ก็เลยไม่กล้าเอาของมาแลกให้มันเยอะกว่านี้?”
ในตอนนี้จ้านเซินไม่ได้คิดเลยว่าลู่เซิ่นกำลังยั่วอารมณ์เขาอยู่ เขาเพียงแต่คิดว่าเขากำลังถ่วงเวลาอีกแล้ว ในใจจึงมีความรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ก็เลยเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “งั้นคุณต้องการอะไร?”
ลู่เซิ่นยักไหล่ไปมา แล้วพูดว่า “ไม่สู้……ผมเอาหุ้นในมือของผมออกมาทั้งหมด นอกจากบริษัทลู่ซื่อแล้ว ยังมีบริษัทอื่นๆอีกมากมายด้วย แล้วคุณล่ะ……งั้นคุณก็เองโฉนดที่ดินของสำนักงานใหญ่ของพวกคุณมาสิ”
จ้านเซินขมวดคิ้ว
เขารู้ดีว่าสำหรับคนอย่างลู่เซิ่นนี้ หุ้นของบริษัทลู่ซื่อกับความมั่งคั่งเป็นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของทรัพย์สินอันมหาศาลของพวกเราเท่านั้น หุ้นทั้งหมดของเขา……แน่นอนว่ารวมถึงองค์กรของจ้านเซินและอุตสาหกรรมจำนวนมากที่อยากจะเข้ามาแต่กลับไม่มีช่องทาง
แน่นอนว่าเขาเกิดอารมณ์หวั่นไหวแล้ว
แต่ทว่า……การที่เอาโฉนดที่ดินของสำนักงานใหญ่ไปแลก จะมีความเสี่ยงบ้างหรือเปล่านะ?
สำนักงานใหญ่คือสถานที่ที่เป็นศูนย์กลางและเป็นหัวใจขององค์กร นับตั้งแต่บรรพบุรุษของจ้านเซินซื้อเกาะนี้จากประเทศอื่น พวกเขาก็ได้ก่อร่างสร้างตัวอยู่บนเกาะนี้อย่างต่อเนื่อง คนที่มีความสามารถที่สุดและเครื่องมือที่ล้ำสมัยที่สุดในองค์กร ล้วนอยู่บนเกาะนี้ทั้งหมด และคนอื่นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ตั้งของเกาะนี้อยู่ที่ไหน
จะนำออกไปจริงๆน่ะเหรอ……
ทำไมจู่ๆลู่เซิ่นถึงได้เปิดเบี้ยต่อรองที่ใหญ่ขนาดนี้ล่ะ……
ในท้ายที่สุดจ้านเซินก็ยังคงลังเลใจอยู่
เขาขมวดคิ้วขณะที่กำลังมองดูลู่เซิ่น เขาต้องการหาเบาะแสในการแสดงออกของเขาสักหน่อย แต่กลับพบว่าเขากำลังมองดูตัวเองอยู่ตลอดเวลาและไม่ได้เหลือบไปมองฉินซีเลย
ในสายตาของเขา……มีความประหม่า และยังมีความมั่นใจอีกด้วย
ทันใดนั้นจ้านเซินก็เลยยิ้มในทันที
ลู่เซิ่นไม่กล้าที่จะมองฉินซี เป็นเพราะว่าแท้จริงแล้วเขาไม่กล้าที่จะตัดมือของตัวเองให้ขาด พอถึงเวลาที่เขาเสียใจในภายหลัง เขาจะต้องถูกฉินซีเมินเฉยและตีตัวออกห่างอย่างแน่นอน
แล้วทำไมจู่ๆเขาถึงได้ก็วางเบี้ยต่อรองที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่มั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตัวเองจะเอาโฉนดที่ดินของสำนักงานใหญ่มาเป็นของเดิมพันได้ ด้วยเหตุนี้ เขาก็เลยมีข้ออ้างที่จะปฏิเสธการตัดมือของเขาอย่างถูกจังหวะพอดี และเหตุผลก็ยังฟังดูสวยหรูมาก ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าจ้านเซินไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะรักษาสัญญาได้ แน่นอนว่าฉันก็ไม่ต้องตัดมือแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ จ้านเซินก็รู้สึกเพียงว่าทุกอย่างล้วนชัดเจนแล้ว
ว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ลู่เซิ่นบรรลุวัตถุประสงค์ได้
ลู่เซิ่นเพียงแต่ยิ้มอย่างไม่แยแสต่อความเงียบของจ้านเซิน แล้วก็พูดต่อไปว่า “ในเมื่อคุณบอกว่า ฉินซีให้เพียงสิ่งของชิ้นเดียวกับคุณ แต่กลับอยากจะแลกสองสิ่งกับคุณ คุณรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม งั้นผมก็จะเพิ่มเบี้ยต่อรองอีกหนึ่งชิ้น”
คราวนี้ฉินซีก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน และหันหน้าไปมองเขา
พวกเขาไม่เคยพูดถึงปัญหานี้มาก่อน และเธอไม่รู้เลยว่าลู่เซิ่นจะทำอะไรต่อไป
ลู่เซิ่นยกมือขวาที่เคยถือมีดเอาไว้เมื่อกี้นี้ขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปหาจ้านเซินและพูดว่า “ผมจะตัดมือข้างหนึ่ง แลกกับอิสรภาพของฉินซี เธอให้ไดอารี่เล่มหนึ่งกับคุณ แลกกับการที่ผมกับเธอจะได้อยู่ด้วยกัน ข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนแบบนี้ ยุติธรรมแล้วหรือยัง?”
พอพูดคำนี้ออกมา ทุกคนต่างก็เงียบกันหมด แม้แต่จ้านเซิน ก็แสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมาเล็กน้อย
……ลู่เซิ่นจะตัดแขนข้างหนึ่งของตัวเองเหรอ?
แม้ว่าเดิมทีจ้านเซินจะไม่เข้าใจลู่เซิ่นก็ตาม แต่นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป เขาก็ได้ถูกบังคับให้เข้าใจแล้วเช่นกัน
ลูกชายคนโตของตระกูลลู่ เกิดมาก็เป็นบุตรที่รักและโปรดปรานของสวรรค์ เขาได้รับการศึกษาที่เข้มงวด หลังจากนั้นก็ได้มาคุมบริษัทลู่ซื่อให้ดำเนินกิจการไปอย่างราบรื่นจนถึงปัจจุบัน
แต่ภายในของลู่กลับไม่สงบสุขขนาดนั้นเหมือนกับที่เห็นจากภายนอก แม้ว่าอารองกับอาสามของจ้านเซิ่นจะถูกไล่ออกจากศูนย์กลางของอำนาจแล้วก็ตาม แต่พวกเขายังคงจับจ้องดูทรัพย์สินของบริษัทลู่ซื่อตาเป็นมัน
ลู่เซิ่นจำเป็นต้องรักษาบารมีและความน่าเชื่อถือของตัวเองให้มั่นคง จึงจะสามารถควบคุมบริษัทลู่ซื่อต่อไปได้อย่างมั่นคงแข็งแรง
แต่คนที่ตัดมือไปแล้วข้างหนึ่ง…จะไปเอาบารมีมาจากไหน?
ถ้าเขาทำเรื่องแบบนี้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นพอถูกคนรู้ถึงสาเหตุที่ทำแล้ว แม้ว่าบางคนจะโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟและรู้สึกทอดถอนหายใจด้วยความโมโห แต่ผู้ถือหุ้นคงคิดว่าเขาทำเรื่องที่หุนหันพลันแล่นและจะไม่เอาผลประโยชน์ของบริษัทลู่ซื่อมาเป็นอันดับแรก
นี่คือสิ่งที่ต้องห้ามที่สุดคนที่เป็นประธานรู้ดีอยู่แล้ว
เป็นอย่างนี้ต่อไป รากฐานของบริษัทลู่ซื่อของลู่เซิ่นก็จะต้องสั่นคลอนเป็นแน่
แม้ว่าเจาจะไม่ไปสนใจเรื่องความมั่งคั่งร่ำรวย แต่คนที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์คนหนึ่ง ได้เสียมือข้างหนึ่งและกลายเป็นคนพิการโดยไม่มีสาเหตุไปแล้ว ชีวิตจะยากลำบากมากแค่ไหน ก็เป็นเรื่องยากที่คนปกติจะจินตนาการได้
ดังนั้นจ้านเซินจึงไม่อยากจะเชื่อกับคำที่ลู่เซิ่นพูด
ในความเข้าใจของจ้านเซิน ฉินซีเป็นคนที่สำคัญมาก แต่เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง และสุดท้ายเธอก็เป็นสมบัติของตัวเอง เขาต้องการให้เขาทำร้ายตัวเองเพื่อฉินซี แล้วเอาความมั่งคั่ง สุขภาพ และอนาคตมาแลก มันเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจข้อเสนอของลู่เซิ่น
แต่หลังจากที่ฉินซีกำลังตะลึงงันอยู่ชั่วขณะ ก็หันไปจ้องมองลู่เซิ่นด้วยสายตาถมึงทึง แล้วพูดว่า “ใช้มือขวาของคุณมาแลกกับอิสรภาพของฉันมันหมายความว่าอย่างไร? ลู่เซิ่น คุณอย่าพูดอะไรโง่ๆอย่างนี้นะ!”
แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ได้ตอบอะไรเธอ เขาเพียงแต่เดินไปหาเธอและยิ้มให้เบาๆ แล้วก็หันหน้าไปมองจ้านเซิน และถามอีกครั้งหนึ่งว่า “ข้อตกลงนี้ของผม เป็นอย่างไร?”
จ้านเซินขมวดคิ้วแน่นและมองมาที่เขา
สีหน้าบนใบหน้าของลู่เซิ่นผ่อนคลายมาก ราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองได้พูดออกมามันไม่ใช่คำพูดที่สุดยอดอะไรเลย ในสายตาของเขา ก็ถึงขั้นมีความยั่วยุเล็กน้อยอยู่ในนั้นด้วย
เดิมทีจ้านเซินก็สงสัยและไม่ไว้วางใจข้อเสนอของลู่เซิ่นเป็นอย่างมากอยู่แล้ว พอถูกเขามองด้วยสายตาที่ยั่วยุอย่างนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเพียงแค่ทำตัวเป็นฮีโร่ต่อหน้าฉินซีเท่านั้น ราวกับว่าเขารู้ว่าจ้าเซินไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และจะไม่ไปทำจริงๆโดยสิ้นเชิง
จ้านเซินคิดอะไรออกแล้วเล็กน้อย ความรู้สึกไม่สบอารมณ์นั้นที่อยู่ในใจในที่สุดก็พบคำอธิบายแล้ว สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าของเขาก็เลยผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
เขามองไปที่การแสดงสีหน้าที่ยั่วยุของลู่เซิ่น และยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “โอเค ผมเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้”
เมื่อสิ้นเสียงพูดของเขา ฉินซีก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาทันทีว่า “ไม่ ฉันไม่เห็นด้วย ข้อตกลงนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการกลั่นแกล้งคนชัดๆ จ้านเซิน ฉันต่างหากล่ะที่เป็นคนขององค์กร และฉันก็ไม่ใช่นักฆ่าด้วย ต่อให้ฉันจะอยากจะออกจากองค์กร ก็ไม่จำเป็นต้องตัดมือ คุณเอามือของจ้านเซินมา มันก็ไม่เป็นไปตามกฎน่ะสิ!”
แต่ทว่าเธอยิ่งแก้ต่างให้ลู่เซิ่นด้วยความร้อนใจ จ้านเซินก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลู่เซิ่นจะทำแบบนั้นจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเพียงแต่ยิ้ม แล้วโบกมือไปมาให้ฉินซี และพูดว่า “นี่คือข้อตกลงที่เขาเสนอขึ้นมาเอง และผมก็เห็นด้วยแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนจะเป็นไปตามกฏหรือไม่……ในองค์กรนี้ ถ้าผมพูดและกำหนดแล้ว ก็สามารถทำได้เลย”
เขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งในขณะที่เขาพูด และยังเจียดเวลาพินิจพิเคราะห์ดูลู่เซิ่นสองสามครั้ง แล้วจิตนาการท่าทางที่เสียใจและร้องไห้จนหน้ามูกน้ำตาไหลเหมือนเด็กของเขาสักพัก ในใจก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขขึ้นมา
ฉินซีรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ จึงหันหน้าแล้วไปจับลู่เซิ่นเพื่อขอให้เขากลับคำพูดของตัวเองซะ แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ได้มองเธอเลย เขาเพียงแต่ค่อยๆยอมรับอย่างแน่ชัดกับจ้านเซินไปอีกรอบว่า “คุณพูดแบบนี้ ผมจะเชื่อคุณได้อย่างไร?”
จ้านเซินเห็นว่าเขายังคงพูดอยู่แต่ไม่ดำเนินการ ก็คิดว่าเขาคงหวาดกลัวอยู่ในใจ และกำลังถ่วงเวลา ในใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา เขาจึงพูดขึ้นมาตามใจชอบว่า “ผมไม่ใช่คนที่กลับคำพูดอยู่แล้ว ถ้าหากคุณรู้สึกไม่สบายใจ เราสามารถกำหนดข้อตกลงกันได้นะ วันนี้คุณทิ้งมือขวาของคุณไว้ที่นี่ ฉินซีเอาไดอารี่ของแม่ผมให้กับผม ผมปล่อยพวกคุณให้เป็นอิสระ และจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณอีกต่อไป ในการแลกเปลี่ยน ผมจะเอาอำนาจสาขาเมืองหนานมาเป็นหลักประกัน คุณ……ไม่สู้เอาหุ้นทั้งหมดของบริษัทลู่ซื่อมาด้วยแลกดีกว่าไหมล่ะ ถ้าหากพวกเรามีคนใดคนหนึ่งกลับใจ ก็จะได้เอาของที่เป็นหลักประกันและอำนาจทั้งหมดมามอบให้แก่อีกฝ่ายไง”
ฉินซีรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับมือของลู่เซิ่นอยู่ในใจ เธอจึงไม่สนใจข้อเสนอของจ้านเซินเลย แต่เธอกลับห้ามไม่ให้ลู่เซิ่นพูดออกมาได้ “บริษัทลู่เซิ่นแลกกับสาขาเมืองหนาน……มันจะไม่เสียเปรียบกันไปหน่อยเหรอ หรือว่าคุณรู้สึกไม่มั่นใจอะไร และทำอะไรไม่ได้ ก็เลยไม่กล้าเอาของมาแลกให้มันเยอะกว่านี้?”
ในตอนนี้จ้านเซินไม่ได้คิดเลยว่าลู่เซิ่นกำลังยั่วอารมณ์เขาอยู่ เขาเพียงแต่คิดว่าเขากำลังถ่วงเวลาอีกแล้ว ในใจจึงมีความรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ก็เลยเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “งั้นคุณต้องการอะไร?”
ลู่เซิ่นยักไหล่ไปมา แล้วพูดว่า “ไม่สู้……ผมเอาหุ้นในมือของผมออกมาทั้งหมด นอกจากบริษัทลู่ซื่อแล้ว ยังมีบริษัทอื่นๆอีกมากมายด้วย แล้วคุณล่ะ……งั้นคุณก็เองโฉนดที่ดินของสำนักงานใหญ่ของพวกคุณมาสิ”
จ้านเซินขมวดคิ้ว
เขารู้ดีว่าสำหรับคนอย่างลู่เซิ่นนี้ หุ้นของบริษัทลู่ซื่อกับความมั่งคั่งเป็นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของทรัพย์สินอันมหาศาลของพวกเราเท่านั้น หุ้นทั้งหมดของเขา……แน่นอนว่ารวมถึงองค์กรของจ้านเซินและอุตสาหกรรมจำนวนมากที่อยากจะเข้ามาแต่กลับไม่มีช่องทาง
แน่นอนว่าเขาเกิดอารมณ์หวั่นไหวแล้ว
แต่ทว่า……การที่เอาโฉนดที่ดินของสำนักงานใหญ่ไปแลก จะมีความเสี่ยงบ้างหรือเปล่านะ?
สำนักงานใหญ่คือสถานที่ที่เป็นศูนย์กลางและเป็นหัวใจขององค์กร นับตั้งแต่บรรพบุรุษของจ้านเซินซื้อเกาะนี้จากประเทศอื่น พวกเขาก็ได้ก่อร่างสร้างตัวอยู่บนเกาะนี้อย่างต่อเนื่อง คนที่มีความสามารถที่สุดและเครื่องมือที่ล้ำสมัยที่สุดในองค์กร ล้วนอยู่บนเกาะนี้ทั้งหมด และคนอื่นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ตั้งของเกาะนี้อยู่ที่ไหน
จะนำออกไปจริงๆน่ะเหรอ……
ทำไมจู่ๆลู่เซิ่นถึงได้เปิดเบี้ยต่อรองที่ใหญ่ขนาดนี้ล่ะ……
ในท้ายที่สุดจ้านเซินก็ยังคงลังเลใจอยู่
เขาขมวดคิ้วขณะที่กำลังมองดูลู่เซิ่น เขาต้องการหาเบาะแสในการแสดงออกของเขาสักหน่อย แต่กลับพบว่าเขากำลังมองดูตัวเองอยู่ตลอดเวลาและไม่ได้เหลือบไปมองฉินซีเลย
ในสายตาของเขา……มีความประหม่า และยังมีความมั่นใจอีกด้วย
ทันใดนั้นจ้านเซินก็เลยยิ้มในทันที
ลู่เซิ่นไม่กล้าที่จะมองฉินซี เป็นเพราะว่าแท้จริงแล้วเขาไม่กล้าที่จะตัดมือของตัวเองให้ขาด พอถึงเวลาที่เขาเสียใจในภายหลัง เขาจะต้องถูกฉินซีเมินเฉยและตีตัวออกห่างอย่างแน่นอน
แล้วทำไมจู่ๆเขาถึงได้ก็วางเบี้ยต่อรองที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่มั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตัวเองจะเอาโฉนดที่ดินของสำนักงานใหญ่มาเป็นของเดิมพันได้ ด้วยเหตุนี้ เขาก็เลยมีข้ออ้างที่จะปฏิเสธการตัดมือของเขาอย่างถูกจังหวะพอดี และเหตุผลก็ยังฟังดูสวยหรูมาก ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าจ้านเซินไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะรักษาสัญญาได้ แน่นอนว่าฉันก็ไม่ต้องตัดมือแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ จ้านเซินก็รู้สึกเพียงว่าทุกอย่างล้วนชัดเจนแล้ว
ว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ลู่เซิ่นบรรลุวัตถุประสงค์ได้