ลู่เซิ่นไม่เคนคิดว่าเขาจะเห็นสายตาแบบนี้บนใบหน้าของฉินซี
ความรู้สึกสิ้นหวัง ตำหนิตัวเอง น้อยใจ และเสียใจ กลับมีความโกรธที่ไม่สามารถบรรยายได้แฝงอยู่ด้วยเล็กน้อย
น้ำตาของเธอหยดลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ฉินซีกลับดูเหมือนจะไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังร้องไห้อยู่ เธอปล่อยให้น้ำตาหยุดใหญ่ไหลลงมา โดยไม่เช็ดออกเลย
ความจริงแล้วเรื่องใช้มือข้างหนึ่งของตัวเองแลกกับเสรีภาพของฉินซีนี้ เขาวางแผนเอาไว้นานแล้ว
นับตั้งแต่ที่เขารู้มาจากถังย่าว่าปกติแล้วเมื่อคนขององค์กรจะออกจากองค์กรจะต้องตัดมือข้างหนึ่ง เขาก็เลยเกิดความคิดขึ้นมา
นี่คือไพ่ตายใบสุดท้ายของเขา และก็เป็นวิธีสุดท้ายที่จะถอนตัวออกไปได้
เขาปฏิบัติการอย่างรอบคอบทุกฝีก้าว ติดตั้งกับดักทีละอันๆ แล้วในที่สุดเขาก็ทำให้จ้านเซินเข้าไปในกับดักของเขาได้ และเมื่อทำกลอุบายของเขาให้สำเร็จได้ในที่สุด เขาก็โล่งอกแล้ว
ดังนั้นตอนที่เขายกมือขึ้นมาตัดข้อมือขวาของตัวเองเขาจึงไม่มีความลังเลเลย ในใจของเขาผ่อนคลายมาก ถึงขั้นที่ว่ายังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขาอีกด้วย
เพราะว่าเขาคิดถึงชีวิตที่ได้อยู่ด้วยกันกับฉินซีในอนาคต
ไม่มีสิ่งกีดขวางที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจ ไม่มีใครเข้ามาก่อกวนแยกพวกเขาสองคนออกจากกัน ไม่มีความรู้สึกไม่สบายที่ต้องหลบซ่อน พวกเขาสามารถจับมือกันและกอดภายใต้แสงอาทิตย์ได้อย่างมีความสุข และชดเชยเรื่องที่พวกเขาไม่มีโอกาสได้ทำมาก่อนหน้านี้
เมื่อเขาตัดสินใจไปแล้ว และเมื่อเขาได้ทำมัน เขาไม่เคยเสียใจเลยสักนิด
แต่ในเวลานี้ เมื่อได้เห็นสายตาของฉินซี เขากลับรู้สึกเสียใจเมื่อสำนึกได้ในภายหลัง
……ทำไมฉินซีถึงดูเศร้าโศกเสียใจขนาดนี้ด้วยล่ะ?
ลู่เซิ่นอยากจะยกมือขึ้นมาโอบกอดเธอ อยากจะมีรอยยิ้มปรากฏออกมาบนใบหน้า แล้วบอกเธอว่าความจริงแล้วทุกอย่างเรียบร้อยดี เธอไม่จำเป็นต้องเศร้าโศกเสียใจและสิ้นหวังขนาดนี้แล้ว
พวกเขากำลังจะต้อนรับชีวิตใหม่เข้ามาแล้ว จะต้องดีใจหน่อย
แต่เพราะว่าเสียเลือดมากเกินไป ทำให้ตอนนี้ลู่เซิ่นอ่อนแอมาก เขาอยากจะยกมือขึ้นมา แต่ในความเป็นจริงมันสามารถขยับได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น เขาอยากจะยิ้มให้ฉินซี แต่ในตอนนี้บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด รอยยิ้มนั้นจึงไม่สะดุดตามากเท่าไหร่
ทันใดนั้นลู่เซิ่นก็รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรง
เหมือนกับว่าเขาไม่เคยนอนหลับฝันดีมานานมากๆแล้วอย่างไรอย่างนั้น ความเหน็ดเหนื่อยก็เหมือนกระแสน้ำในเขื่อนกั้นน้ำที่พุ่งทะลักขึ้นมาจนเกือบจะท่วมเขาแล้ว
“ฉินซี……อย่าร้องไห้……”
เขาพึมพำออกมา แต่กลับไม่ได้ตระหนักเลยว่าเสียงของตัวเองเบามาก
เขากะพริบตาช้าๆ ราวกับว่าบนหนังตาของเขามีภูเขาสามพันลูกกดทับให้ลดต่ำลงมา เขาจะต้องรวบรวมสมาธิทั้งหมดให้ได้ จึงจะสามารถประคองดวงตาที่เปิดอยู่ไม่ให้ปิดลง
ในหัวใจของลู่เซิ่นรู้อย่างชัดเจนเป็นอย่างดีว่า ความเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้คือผลที่เกิดจากการเสียเลือดมากเกินไป เขาไม่สามารถนอนหลับหรือหลับตาได้ไม่เช่นนั้น เขาก็อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย…
อย่างไรก็ตาม แม้ในหัวใจของลู่เซิ่นจะรู้อย่างชัดเจนเป็นอย่างดี แต่ความอ่อนล้าทางกายแทบจะทับถมเขาจนพังทลายไปแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองพยายามจนถึงที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางยืนให้ตรงได้เลย
ตอนที่เห็นลู่เซิ่นยืนไม่มั่นคงสีหน้าของฉินซีก็เปลี่ยนไปแล้ว
บริเวณโดยรอบอึกทึกครึกโครมเกินไป เธอจึงไม่ได้ยินว่าลู่เซิ่นขยับปากพูดพึมพำอะไร แต่กลับเห็นร่างกายของเขาค่อยๆล้มไปด้านหลัง และดวงตาก็ปิดลงอย่างช้าๆ
เธอกับลู่เซิ่นเข้าใจอย่างชัดเจนไม่ต่างกัน ว่าปฏิกิริยาเหล่านี้ของลู่เซิ่นในขณะนี้ เป็นอาการของการสูญเสียเลือดมากเกินไป
จะให้เขานอนหลับไม่ได้!
ฉินซีสาวเท้าก้าวพรวดๆกลับไปอยู่ข้างๆลู่เซิ่น แล้วยื่นมือออกไปพยุงลู่เซิ่นที่กำลังจะล้มลงมาเอาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงที่แหบแห้งและสะอึกสะอื้นเล็กน้อยว่า “อย่าหลับนะ……ลู่เซิ่น ขอร้องล่ะ……อย่าหลับนะ……เรากำลังลงเขาแล้ว……กำลังลงไปแล้ว……”
เธอแทบจะเกลียดตัวเองไปแล้วเล็กน้อย เมื่อคืนวานจะมาดูดาวโดยไม่มีสาเหตุทำไมกันนะ ถ้าตอนนี้พวกเขาอยู่ข้างล่างภูเขา อย่างน้อยการเดินทางไปโรงพยาบาลยังใกล้ขึ้นมาอีกสักนิด!
ลู่เซิ่นลืมตาโดยใช้แรงเยอะมาก แต่หนังตาของเขายังคงปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง และริมฝีปากก็ขยับไปมา ราวกับว่าเขาต้องการจะพูดอะไร แต่เสียงลมที่อยู่รอบๆตัวเขานั้นดังเกินไป ฉินซีก็อยู่ข้างๆเขาแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ยินอะไรเลย
ในหัวใจของฉินซีรู้สึกเป็นกังวลมาก
ลู่เซิ่นกำลังพูดอะไรอยู่?
ทำไมเสียงลมถึงได้ดังขนาดนี้นะ? แล้วลมที่แรงขนาดนี้มาจากที่ไหนกันเนี่ย!
เมื่อกี้…มีลมแรงแบบนี้ไหม?
ฉินซีชะงักไปชั่วครู่
……ดูเหมือนว่า จะไม่มีเลยนะ
งั้นเสียงลมที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ มาจากไหนกัน?
ราวกับว่าเธอมีโทรจิตอย่างไรอย่างนั้น ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
——บนท้องฟ้าอันไกลโพ้น ดูเหมือนว่าจะมีจุดสีดำๆจุดหนึ่งกำลังใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ
ฉินซีมีสติรู้ตื่นและเข้าใจขึ้นมาในชั่วพริบตาว่า
——นี่ไม่ใช่ลมที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติแต่อย่างใด แต่เป็นเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังใกล้เข้ามา
แต่การรับรู้นี้ไม่ได้ทำให้เธอวางใจลงไปได้เลย แต่กลับยิ่งทำให้เธอต้องคว้าเสื้อของลู่เซิ่นเอาไว้ด้วยความประหม่ามากขึ้น
ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่เป็นที่ทราบว่า เฮลิคอปเตอร์ที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยลำนี้ แท้จริงแล้วเป็นคนของพวกเขา หรือว่า….ทางหนีทีไล่ที่จ้านเซินเหลือเอาไว้?
ฉินซีไม่มีความมั่นใจ หัวสมองของเธอจึงทำการคำนวณขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ลู่เซินค่อยๆตกอยู่ในอาการโคม่าไม่ได้สติ แม้ว่าตัวฉินซีเองจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้าลำพังเธอคนเดียวพาเขาไปส่งที่โรงพยาบาลที่อยู่ข้างล่างภูเขา แน่นอนว่าจะต้องล่าช้าเสียเวลาไปไม่น้อย
ถึงเวลานั้นจะเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้น……เธอไม่อยากจะคิดเลย
ตอนนี้จ้านเซินไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกรงว่าจะเขาเพียงแค่ถูกการกระทำที่ตัดขาดไมตรีของลู่เซิ่นเมื่อสักครู่นี้ทำให้สงบนิ่งอยู่เท่านั้น เธอรู้จักจ้านเซินดี เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะถูกสัญญาที่เขาไม่ได้สนใจไยดีเหล่านี้รั้งเอาไว้ได้
พอเขามีสติกลับมา เกรงว่าเขาจะทำอะไรบางอย่างกับตัวเองและลู่เซิ่นอีก
ตอนนี้ลู่เซิ่นมีแค่เธอเท่านั้น แต่ในฝั่งของจ้านเซินนั้น นอกจากถังย่าแล้ว ยังมีมืออันธพาลที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์อยู่อีกสองคน
เพียงแต่ในที่แห่งนี้มีคนมากมายขนาดนี้ ถ้าจ้านเซินมีความคิดว่าจะขัดขาของพวกเขาให้ล้มลง จะถอนตัวออกไปคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากเสียแล้ว
ถ้าในเฮลิคอปเตอร์ที่มายังคงเป็นคนขององค์กร เกรงว่าเธอกับลู่เซิ่นคงไม่มีโอกาสได้ถอนตัวออกไปแล้วจริงๆ
ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ……
รอยยิ้มที่เฉียบขาดปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของฉินซีแล้ว
งั้นเธอก็จากโลกใบนี้ไปพร้อมกับลู่เซิ่น
ก่อนที่เธอจะขึ้นไปอยู่บนเขา เพราะว่าเธอไม่รู้การตัดสินใจของลู่เซิ่นเลย ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดลงไปว่า ถ้าไม่สามารถถอนตัวได้ เธอก็จะตายไปซะ
คิดไม่ถึงเลยว่าเส้นทางบนยอดเขาที่คดเคี้ยววกวน สุดท้ายก็ยังเดินอยู่บนถนนเส้นนี้อยู่ดี
แต่เนื่องจากเธอวางแผนนี้ไว้นานแล้ว และมันมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนี้จริงๆ เธอจึงไม่รู้สึกกลัวเลย
เธอก็แค่เสียดายอยู่นิดเดียวเท่านั้น
เสียดายที่พวกเขายังมีเวลาตั้งหลายสิบปีที่จะได้อยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่กลับไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว
ชาติหน้า……พวกเขาก็จะขอเป็นแค่คนธรรมดาๆสองคนก็แล้วกัน ได้รักกันและอยู่ด้วยกันอย่างปกติสุข ใช้ชีวิตด้วยสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีพ จึงจะสามารถชดเชยความเสียใจทั้งหมดที่ได้รับในชาตินี้ได้
แต่ฉินซีกลับนึกไม่ออกว่าใครจะขับเฮลิคอปเตอร์และมาปรากฏตัวที่นี่ได้
คนที่มาคือคนที่มาช่วยพวกเขา อัตราความเป็นไปได้ของเรื่องแบบนี้มีน้อยมาก จนถึงขั้นที่ว่าเธอไม่กล้าไปป่าวประกาศความหวังนี้เลย
เพียงแต่สายตาของเธอได้เหลือบมองไปเห็นจ้านเซินกับถังย่าเข้า ดูเหมือนว่าพวกเขาก็กำลังจ้องมองเฮลิคอปเตอร์เช่นกัน สีหน้าที่อยู่บนใบหน้า…..ก็ดูเหมือนว่าจะประหลาดใจมากเช่นกัน
หรือว่านี่จะไม่ใช่เครื่องบินขององค์กรจริงๆ?
ฉินซีมีข้อสงสัยบางอย่าง แต่เครื่องบินกลับค่อยๆเข้ามาใกล้ และลงจอดอย่างช้าๆแล้ว
มองจากภายนอกอย่างเดียว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เครื่องบินเหล่านั้นขององค์กรจริงๆ
แต่ฉินซียังไม่กล้าปล่อยวางหัวใจที่ระแวดระวังลงไป เธอจึงขยับตัวเล็กน้อย แล้วเอาลู่เซิ่นไปบังไว้ข้างหลังของตัวเอง ในขณะที่กำลังมองดูประตูเครื่องบินเปิดออกด้วยสีหน้าที่ระแวดระวัง