บทที่ 174 ดึงให้คุณมาอยู่ข้างกายผม
เวินจิ้งไหนเลยจะกล้าพูดออกไป ถึงแม้ว่าจะเป็นความคิดที่อยู่ในใจของเธอ แต่จะให้เธอออกปากพูด นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย!
เธอหลับตาลง ไม่กล้าแม้แต่มองหน้ามู่วี่สิง
“มู่วี่สิง ฉันผิดไปแล้ว คุณรีบไปทำงานเถอะ” เธอรู้สึกว่าคืนนี้อาจจะถูกทำให้ทรมานเป็นแน่……
ความเจ้าเล่ห์ของมู่วี่สิงบังเกิด เขาเริ่มกัดที่ใบหูของเธอ เธอไม่อาจหลบหนีเขาได้อีก “สายไปแล้วหล่ะ แต่เป็นเพราะคุณเองที่เป็นคนจุดไฟในตัวผมน่ะ คุณนายมู่……”
……
มองดูหญิงสาวที่นอนหลับใหลอยู่ในอ้อมอกเขา มู่วี่สิงจูบลงที่คิ้วของเธอ หันหลังเดินออกไปที่ห้องหนังสือ
เขาโทรหาเกาเชียน “เช็คได้เรื่องถึงไหนแล้ว?”
“ประธานมู่ คุณลู่หวั่นเป็นคนสั่งให้บริกรของโรงแรมล็อคสองประตูทางออกฉุกเฉินครับ”
สีหน้าของมู่วี่สิงเริ่มครุ่นคิด “อานฉิงทางนั้นนายจัดการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หลังจากนี้สามวันคุณลู่หวั่นจะเดินทางไปประเทศBเพียงลำพัง ตอนนี้อานฉิงได้กลับไปแล้วครับ”
“อืม”
วันต่อมา เวินจิ้งต้องออกเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ ตื่นนอนก็รีบร้อนเตรียมเสื้อผ้าเข้ากระเป๋า มู่วี่สิงเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ เห็นท่าทีของเธอ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็เริ่มขุ่นมัวขึ้น
“จะไปไหนหรือ?” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำลงฟังแล้วน่ากลัว
“เดินทางไปทำงานนอกสถานที่ค่ะ อาจจะต้องไปหนึ่งสัปดาห์นะ” เวินจิ้งตอบกลับ เธอเงยหน้าสบสายตาอันแข็งกร้าวของมู่วี่สิง
ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เธอจะไม่ได้บอกเขาก่อน……
“ดูไปแล้วคุณนายมู่ยังไม่รู้สึกตัวเองนะ?” เขาเดินเข้ามาใกล้ขึ้น ช่วงบนของเขายังไม่ได้สวมเสื้อ เผยให้เห็นหน้าอกอันกำยำงดงามของเขา ช่างน่าดึงดูดยิ่งนัก
สายตาของเวินจิ้งหยุดลงที่หน้าอกของเขา ใบหน้าเธอเริ่มแดงขึ้น
“ฉันเองก็เพิ่งรู้เมื่อวันก่อนนี้เองค่ะ คุณคงจะไม่โกรธที่ฉันเพิ่งมาบอกคุณตอนนี้ใช่ไหม?” เวินจิ้งถามเขา
มู่วี่สิงฮึมเสียง แน่หล่ะ
เขาก็ควรจะโกรธอย่างมาก
เขามักจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องของเวินจิ้ง
เขากดที่คิ้วตัวเอง พร้อมกับเก็บกลั้นอารมณ์โกรธที่จะระเบิดออกจากอก
“คุณว่า ผมจะดึงให้คุณมาอยู่ข้างกายผมดีไหม?” น้ำเสียงที่ดูเป็นคำบอกเล่า แต่กลับแฝงไปด้วยคำสั่ง
เวินจิ้งมือเริ่มสั่น ตอนนี้เธออยู่ที่บริษัทการผลิตยาเทียนอีก็ดีอยู่แล้ว หากว่าต้องมาอยู่ข้างกายมู่วี่สิง……
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้สึกปฏิเสธ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนในอดีตที่ได้ทำงานพัฒนายาร่วมกันกับมู่วี่สิงแบบนั้นในห้องแล็บอีก
“ตอนนี้ฉันก็ทำอยู่ดีแล้ว คุณอย่าเปลี่ยนแปลงให้วุ่นวายเลย” เวินจิ้งเตือนเขา
มู่วี่สิงหรี่ตาลง ริมฝีปากอันเรียวบางฉีกยิ้มเล็กน้อย
อาหารเช้ามู่วี่สิงเป็นคนทำเสร็จแต่เช้า ตอนนี้เขาจะตื่นนอนก่อนเวินจิ้งหนึ่งชั่วโมง มาออกกำลังกาย ทำอาหารเช้า การดำเนินชีวิตที่เป็นระเบียบ อีกทั้งหลังจากที่เวินจิ้งตื่นนอกขึ้นมาก็จะสามารถทานอาหารเช้าได้พอดี
จังหวะการใช้ชีวิตแบบนี้ พอดีเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกชอบ
พอมาคิดว่าอีกหนึ่งสัปดาห์จะไม่เห็นหน้ามู่วี่สิง ไม่รู้เพราะอะไร ในใจรู้สึกไม่เป็นสุข
มองดูชายหนุ่มรูปงาม เวินจิ้งจ้องมองที่เขาจนเผลอไป
“เดี๋ยวจะไปสนามบินใช่มั้ย?” มู่วี่สิงมองขึ้น
เวินจิ้งเรียกสติคืน พร้อมส่ายหน้า “จะไปสถานีรถไฟความเร็วสูง เดินทางไปเมืองB เร็วมากเลยหล่ะ”
เมื่อมู่วี่สิงขับรถมาส่งเธอที่สถานีรถไฟความเร็วสูง ก็เห็นว่าอั้ยเถียนมาถึงแล้ว
มองเห็นมู่วี่สิงมาส่งเวินจิ้งถึงในสถานีด้วยตัวเอง น้ำเสียงอั้ยเถียนก็เย้าแหย่ “แหมๆ ความรักมันอบอวลไปหมดแล้วเนี่ยะ!”
เวินจิ้งได้แต่อมยิ้ม กั้นมู่วี่สิงไว้ “ส่งฉันแค่ตรงนี้ก็พอแล้วหล่ะ ขอบคุณคุณมากนะ”
“คุณนายมู่ ผมไม่อนุญาตให้คุณพูดขอบคุณกับผม” สีหน้าของมู่วี่สิงเข้มขึ้น เขาไม่ชอบให้เวินจิ้งรู้สึกเกรงใจเขา
เวินจิ้งแลบลิ้นของเธอออกมา จากนั้นมองผู้คนเข้าๆออกๆที่อยู่รอบกาย แล้วกอดที่มู่วี่สิง เธอเขย่งปลายเท้าขึ้นพร้อมกับจุ๊บที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ
ในตามู่วี่สิงเกิดรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้น ได้โอบที่หลังศีรษะเธอไว้ บรรจงจูบลงที่เธออย่างลึกซึ้ง
ไปจนถึงเวลาเสียงเตือนให้เข้าประตูด้านในดังขึ้น มู่วี่สิงถึงจะปล่อยเธอ
“นี่คุณ……เกินไปแล้วนะ! ในนี้คนเยอะมาก……” น้ำเสียงของเวินจิ้งแสดงความเขินอายออกมา
ผู้ชายคนนี้ทุกครั้งที่จูบเธอมักจะทำให้เธอหายใจไม่ออก
“อืม? ยังไม่พอหล่ะสิ” มู่วี่สิงพูดไป ตาก็มองเหมือนจะจูบต่อ เวินจิ้งรีบผลักเขาออก
“มู่วี่สิง ฉันจะต้องไปแล้วจริงๆนะ” เวินจิ้งแจ้งเตือนเขาอีกครั้ง
มู่วี่สิงถึงยอมปล่อยมือเธอ เวินจิ้งไม่อยากจะหันหลังจากเขา ฝีเท้าก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆ
ยังคงเป็นอั้ยเถียนที่คอยลากเธอเข้ารถไฟฟ้าความเร็วสูง เวินจิ้งก้มศีรษะลง ในใจค่อยๆเริ่มรู้สึกปั่นป่วน
ยิ่งบอกตัวเองไม่ให้ถลำลึก ยิ่งกลายเป็นทำให้ตัวเองถลำลึกลงกว่าเดิม
“ดูเธอสิ สรุปแล้วว่าชอบคุณหมอมู่มากขนาดไหนเนี่ยะ! ยังมาบอกฉันว่าไม่มีทางแต่งก่อนแล้วมารักกันทีหลังได้ แล้วนี่ไม่เรียกว่าหลงรักเขาแล้วหรอ?” อั้ยเถียนมองไปยังเธอพร้อมกับกระเซ้าเย้าแหย่
แก้มของเวินจิ้งเริ่มแดง “แต่เมื่อคืนวานเธอก็เห็น ผู้หญิงที่สามารถอยู่ข้างกายเขา น่าจะเป็นลู่หวั่น ไม่ใช่หรอ?”
“เมื่อวานฉันได้ยินว่ามู่วี่สิงจะให้หล่อนแต่งงานกับผู้นำของประเทศB เกรงว่าต่อไปก็จะไม่กลับมาที่เมืองหนานเฉิงอีก”
“เอ๋?” เวินจิ้งรู้สึกประหลาดใจ ในงานเลี้ยงเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นเธอก็ยังไม่รู้ การที่มู่วี่สิงพาลู่หวั่นออกงานเลี้ยง เธอกลับคิดเองว่ามู่วี่สิงจะเปิดตัวลู่หวั่น
“ฉันเองก็คิดไม่ถึง ก็ได้ยินจากที่เสี้ยงหงพูด ลู่หวั่นแต่เล็กก็หมั้นไว้แล้วกับอานฉิงผู้นำของประเทศB เมื่อคืนวานมู่วี่สิงก็เชิญเขามา เพื่อจับคู่เขากับลู่หวั่น อีกไม่นานพวกเขาก็จะแต่งงานกันแล้ว”
เวินจิ้งรู้สึกตะลึง ที่แท้การที่มู่วี่สิงพาลู่หวั่นออกงานสาเหตุก็เพราะแบบนี้เองหรือ?
เมื่อคืนเป็นเพราะเรื่องนี้เธอจึงโกรธเขา กลับเข้าใจผิดมู่วี่สิงเสียแล้วหรือ?
……
เดินทางมาถึงเมืองB ก็กลางวันแล้ว เสี้ยงหงเตรียมคนมารับพวกเธอ เหม่ยทงเป็นยาตัวใหม่ที่บริษัทการผลิตยาเทียนอีได้คิดค้นหลักขึ้นมาในปีนี้ ต้องเริ่มออกจำหน่ายภายในเดือนนี้ อั้ยเถียนเป็นผู้จัดการแผนกการตลาด จำเป็นจะต้องจำหน่ายให้ได้ตามยอดที่กำหนดไว้
พอตกบ่ายก็ได้พบเจอผู้ค้าปลีกหลายคน เดิมทีพอตกเย็นทั้งสองคนก็น่าจะได้พักผ่อนแล้ว แต่ก็มีการประชุมวิจัยเรื่องยาเข้ามากะทันหัน อั้ยเถียนยังต้องเตรียมงานของวันพรุ่งนี้ เวินจิ้งจึงไปก่อนคนเดียว
ห้องจัดประชุมคือลานจัดแสดงที่อยู่ใกล้กับโรงแรม พอเธอเริ่มนั่งลงเสียงมือถือก็ดังขึ้น มู่วี่สิงโทรเข้ามา
มุมปากเธองุ้มขึ้น “ฉันยังประชุมอยู่ค่ะ”
“วันนี้ยุ่งอะไรบ้างหรอ?” เสียงของมู่วี่สิงทั้งอบอุ่นและทุ้มต่ำ
“วิ่งเข้าหลายบริษัทเลยกับอั้ยเถียน เข้าไปแนะนำยาตัวใหม่ของบริษัทการผลิตยาเทียนอี ตอนนี้ก็ได้คุยกับผู้จัดจำหน่ายอยู่หลายเจ้าค่ะ” เวินจิ้งรายงานความคืบหน้าต่อมู่วี่สิงราวกับรายงานผู้บังคับบัญชา
มู่วี่สิงหลังพิงกับพนักเก้าอี้ สายตากำลังมองไปที่แสงดาวด้านนอกหน้าต่าง ในหัวกลับมีแต่ใบหน้าของเวินจิ้งปรากฏ
“ดูไปแล้วคุณนายมู่หลังจากเปลี่ยนตำแหน่งก็นับว่าปรับตัวได้แล้ว?” มู่วี่สิงยิ้มเบา
“ก็ยังดีกว่าที่ทำงานแบบขั้นแบบตอนในอดีตน่ะ แต่ว่าปีหน้าฉันวางแผนว่าจะสอบเรียนปริญญาโท ถ้าหากว่างานยุ่งมาก ฉันคงจะพิจารณาลาออกหน่ะ”
“ต้องการให้ผมช่วยก็บอกน่ะ รู้มั้ย?”
“รู้แล้วค่ะ คุณมู่”
หลังวางสายไป เวินจิ้งเงยหน้าขึ้น มีสายตาคู่หนึ่งไม่ไกลกำลังจ้องมองมาที่เธอ
เธอขมวดคิ้ว เห็นสายตาของฉีเซิน ก็รีบหลบตา
“เวินจิ้งของคุณอยู่ตรงนั้น” ฉินเฟยปล่อยมือที่จับมือของฉีเซินไว้
บนหน้าฉีเซินไม่ได้แสดงอาการอะไร กลับเดินตรงไปที่เธอ แล้วนั่งลงด้านข้างเวินจิ้ง
เวินจิ้งมีสีหน้าไม่พอใจในทันที “ประธานฉี ที่นั่งของคุณน่าจะอยู่ที่แถวหนึ่งนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมนั่งตรงไหนก็ได้” ฉีเซินงุ้มริมฝีปากของเขา