บทที่ 190 เธอเชื่อใจมู่วี่สิง
มหาวิทยาลัยหนานเฉิง
เวินจิ้งมองดูประตูมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคย เป็นเวลาเข้าเรียนพอดี ในเวลานี้เงียบเป็นอย่างมาก
“ฉันเข้าไปเองก็พอแล้วค่ะ” ในขณะที่เวินจิ้งพูด ก็ผลักประตูเดินลงจากรถไป
มู่วี่สิงนั่งอยู่ในรถ มองดูแผ่นหลังของเวินจิ้ง คิ้วและดวงตาที่ล้ำลึกค่อยๆขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นมา
มาถึงฝ่ายวิชาการ เวินจิ้งหาอาจารย์ที่ปรึกษาเจอ ตอนนี้เขาได้เป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการแล้ว พอเห็นเวินจิ้ง สีหน้าของเขาก็บึ้งตึงลงมา
“รู้ว่าใบปริญญาสำคัญ ตอนนั้นยังกล้าปลอมแปลงวิทยานิพนธ์!” อาจารย์ที่ปรึกษาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“อาจารย์คะ ในปีนั้นหนูกล้ารับประกัน วิทยานิพนธ์ของหนูไม่ได้ทำการคัดลอกมาอย่างแน่นอน”
“ผมได้ฟังคำรับประกันมามากมายแล้ว เรื่องของคุณในปีนั้นผมจำได้อย่างชัดเจนมาก ชื่อเสียงของเอกเราถูกคุณทำลายไปหมดแล้ว ตอนนี้คุณยังมีหน้ามาถามหาเอาใบปริญญาจากผม? คุณธรรมกับศีลธรรมของคุณไม่ผ่านเกณฑ์ ใบปริญญานั้นไม่สามารถที่จะมอบให้ได้” อาจารย์ที่ปรึกษาใบหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา
“หากหนูสามารถหาหลักฐานได้ล่ะคะ ในปีนั้นวิทยานิพนธ์ของหนูเป็นหนูที่เขียนเองจริงๆ ไม่มีการคัดลอกและการเทียบเคียงใดๆ”
“คุณยังคิดจะเล่นลิ้นอยู่อีก!มีหลักฐานค่อยว่ากัน ผมก็ไม่อยากเข้าใจนักเรียนของผมผิด แต่เวินจิ้ง คุณยังคิดที่จะตรวจสอบยังไง?” อาจารย์ที่ปรึกษาขมวดคิ้วขึ้น
ในปีนั้นคะแนนของเวินจิ้งมีชื่อเป็นอันดับต้นๆในชั้นเรียน เขาก็มีความหวังที่สูงมากต่อเธอเช่นเดียวกัน เพียงแต่คิดยังไงก็คิดไม่ถึงเลยว่าตอนที่จบการศึกษาจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้
“หนูอยากจะเอาวิทยานิพนธ์ที่ยื่นส่งให้ปีนั้นกลับคืนมา หนูสงสัยว่าวิทยานิพนธ์ของหนูจะถูกสับเปลี่ยนในตอนที่ยื่นส่ง!” เวินจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น
นี่เป็นเรื่องที่ในปีนั้นเธอก็เคยคิดเอาไว้ เพียงแต่ตอนนั้นเรื่องราวได้สร้างปัญหาจนใหญ่มาก คำอธิบายทั้งหมดของเธอต่างก็ถูกคิดว่าเป็นการปิดบังความจริง ไม่มีใครยอมที่จะเปิดประตูบานนี้ให้กับเธอ
“เป็นไปไม่ได้ วิทยานิพนธ์ถูกล็อคเอาไว้ที่ห้องสมุดตั้งนานแล้ว ผมก็ไม่มีทางที่จะหาออกมาได้” อาจารย์ที่ปรึกษาส่ายศีรษะ
สีหน้าของเวินจิ้งซีดเผือด
“อาจารย์คะ เรื่องนี้หนูเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ ปีนี้หนูจะสอบปริญญาโท ใบปริญญาฉบับนี้สำคัญมาก”
“สอบปริญญาโท? เวินจิ้ง แฟ้มประวัติของเธอมีจุดด่างพร้อยมาตั้งนานแล้ว สอบปริญญาโทเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ยอมแพ้ซะเถอะ”
เวินจิ้งไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากมหาวิทยาลัยได้ยังไง ในสมองเต็มไปด้วยคำพูดของอาจารย์ที่ปรึกษา :ยอมแพ้ซะเถอะ
สามปีก่อนเธอก็เคยยอมแพ้แล้ว ตอนนี้ยังต้องยอมแพ้อีกหรอ?
ด้านนอกประตู มู่วี่สิงรอเธออยู่ มองดูสีหน้าที่สิ้นหวังของเวินจิ้ง เขาก็ยกขาเดินเข้าไป
“สามารถเอาวิทยานิพนธ์ออกมาได้ไหม?” เขาเอ่ยถาม
เวินจิ้งส่ายศีรษะ นั่งเข้ามาในรถ เธอมองออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างเงียบงัน เดิมทีนึกว่าผ่านไปสามปีแล้ว เรื่องนี้จะเปลี่ยนเป็นง่ายขึ้นหน่อน แต่เปล่า
คนที่ไม่เชื่อเธอ ก็ยังคงไม่เช่ือเธอ
“ต้องการให้ผมช่วยเหลือไหม?” มู่วี่สิงถามขึ้นอย่างกะทันหัน
เรื่องของเธอต่างก็ไม่เคยพูดกับเขามาก่อน ในใจของเขาท้ายที่สุดก็ไม่ค่อยจะสบายนัก
เธอไม่พึ่งพาเขา
มู่วี่สิงบีบคางของเธอเอาไว้ เวินจิ้งจำเป็นต้องประสานเข้ากับสายตาที่เยือกเย็นของเขา
“ไม่ต้องแล้วค่ะ คุณก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้สักหน่อย” เวินจิ้งส่ายศีรษะ
“เวินจิ้ง ผมคือสามีของคุณ คุณขอความช่วยเหลือจากผมได้” มู่วี่สิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เวินจิ้งประสานเข้ากับดวงตาดำขลับที่ล้ำลึกของเขา ผ่านไปเป็นเวลานาน ไม่มีเสียงอะไรออกมา
“คุณสามารถช่วยอะไรฉันได้คะ?” เธอถามขึ้นอย่างจิตใจกระสับกระส่าย
“คุณจะพิสูจน์ว่าวิทยานิพนธ์ของตนเองไม่ได้ทำการคัดลอก วิทยานิพนธ์ที่คุณยื่นส่งในปีนั้นได้เคยมีการตรวจสอบอัตราการซ้ำ มีบันทึกเอาไว้อย่างแน่นอน”
“แต่ว่า ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว…” เธอไม่มีความหวังตั้งนานแล้ว
“ขอเพียงแค่คุณอยากตรวจสอบ ขอเพียงแค่ คุณต้องการความช่วยเหลือจากผม” มู่วี่สิงโน้มสายตาลงต่ำ ประชิดเข้ามาใกล้เธอ
เวินจิ้งใจเต้นไม่เป็นจังหวะเล็กน้อย เธอกลับไม่อยากให้มู่วี่สิงแทรกมือ นี่คือเรื่องของเธอเอง
เพียงแต่ ในเวลานี้กลับดันหวั่นไหวแล้ว
สำหรับผู้ชายคนนี้ เธอรู้ว่าอำนาจของเขาทะลุฟ้า เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่คุณหมอคนนึง และก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ประธานของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป เบื้องหลังของเขา บางทีอาจจะเป็นความลับที่ซับซ้อนมากกว่านี้
“มู่วี่สิง คุณเชื่อฉัน?” เวินจิ้งเอ่ยถามเขา
ทำไมเขาถึงไม่สงสัยเลยว่า บางทีเธออาจจะคัดลอกจริงๆ?
“คุณคือคุณนายมู่ ผมเชื่อคุณนายมู่” มู่วี่สิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ความผิดหวังค่อยๆปรากฏขึ้นภายในจิตใจของเวินจิ้ง เพียงแค่เพราะว่าเธอคือคุณนายมู่
ไม่ใช่เพราะว่า เธอคือเวินจิ้ง
เธอรู้ ว่าคนที่มู่วี่สิงแคร์มาโดยตลอดคือคุณนายมู่ และไม่ว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งนี้จะเป็นใคร
“เรื่องนี้ส่งมอบให้กับผม” มู่วี่สิงได้ช่วยเธอทำการตัดสินใจ
“ขอบคุณค่ะ” เวินจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังหนักแน่น
สีหน้าของมู่วี่สิงบึ้งตึงลงมา “ผมไม่ต้องการคำขอบคุณ คุณต้องจำสถานะของตนเองเอาไว้ หลายๆเรื่องไม่จำเป็นต้องให้คุณออกหน้าด้วยตัวเอง”
เวินจิ้งกลับไม่ได้ฟังเข้าไปข้างใน เพียงแต่ในเวลานี้ กลับวางใจลงไปไม่น้อย
เธอเชื่อใจมู่วี่สิง
…
วันต่อมา เวินจิ้งกลับไปทำงานที่บริษัทการผลิตยาเทียนอี เพราะว่าอั้ยเถียนลาออกไปแล้ว งานที่อยู่ในมือของเธอได้โอนมาให้กับเวินจิ้งทั้งหมด ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ทุกร้านของเหม่ยทงต่างก็มีเธอเป็นผู้รับผิดชอบและติดตาม
พลังคำพูดที่มู่วี่สิงเอ่ยขึ้นต่อหน้านักข่าวเมื่อวานได้กอบกู้ชื่อเสียงของเหม่ยทงให้กลับคืนมา ตอนนี้มีร้านค้าปลีกจะมาร่วมธุรกิจกับบริษัทการผลิตยาเทียนอีอย่างไม่ขาดสาย เวินจิ้งยุ่งมาตลอดจนถึงตอนเย็น แต่เรื่องนี้ก็ยังคงเยอะมากจนจัดการได้ไม่หมด
อีกทั้งตามกำหนดการของแต่ละวัน อีกสองวันเธอจะต้องไปเจรจาความร่วมมืออีกขั้นหนึ่งกับบริษัทโป๋ทงกรุ๊ป เป็นการออกไปทำงานนอกสถานที่อีกหนึ่งสัปดาห์
ในออฟฟิศ เรื่องเกี่ยวกับการลาออกอย่างกะทันหันของอั้ยเถียนได้กลายเป็นเรื่องซุบซิบยามพักผ่อนดื่มชาของเพื่อนร่วมงานทั้งหลายอย่างขาดไม่ได้ เวินจิ้งสนิทกับเธอ ตอนที่อยู่ภายในห้องน้ำชาก็ถูกซักถามขึ้น
“เวินจิ้ง อั้ยเถียนลาออกกะทันหันขนาดนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณเสี้ยงใช่หรือเปล่า?”
เวินจิ้งขมวดคิ้วขึ้น “ฉันไม่แน่ใจ”
“จะเป็นไปได้ยังไง ฉันว่าก็เพราะในวันนั้นมีคนพูดในกลุ่มว่าคุณเสี้ยงมีคู่หมั้นแล้ว อั้ยเถียนคงเสียใจแล้วล่ะมั้ง!”
“ไม่ต้องพูดมั่วๆแล้ว อั้ยเถียนเพียงแค่กลับบ้านก็เท่านั้นเอง” เวินจิ้งอธิบาย
เพียงแต่ ไม่มีใครเชื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองวันนี้เสี้ยวหงก็ไม่อยู่ ยิ่งดึงดูดให้คนคาดเดาเข้าไปกันใหญ่
ไม่มีอั้ยเถียนอยู่ข้างกายแล้ว งานของเวินจิ้งก็ไม่ราบรื่น อีกทั้งเธอต่างก็ทำงานที่เป็นหน้าที่ทั่วไปมาโดยตลอด ตอนนี้อยู่ๆจะให้เธอรับผิดชอบงานที่เป็นแกนหลักของฝ่ายขาย ความกดดันต่างๆทยอยมาอย่างไม่ขาดสาย
จนถึงสี่ทุ่ม เวินจิ้งมองดูสัญญาที่อยู่บนคอมพิวเตอร์ อีเมล์ยังเขียนไม่เสร็จก็มือพลาดกดส่งออกไป
เธอขมวดใบหน้าเล็กๆเข้าหากันอย่างอารมณ์เสีย กล่องอีเมล์ของบริษัทก็ดันไม่มีฟังก์ชั่นเรียกกลับคืนมา พรุ่งนี้ก็ต้องถูกฝ่ายกฎหมายทางนั้นตำหนิอีกแล้ว
เวินจิ้งพิงไปบนพนักเก้าอี้ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดเบอร์ของอั้ยเถียน ในเวลานี้อยากพูดคุยกับเธอมาก
ดูเหมือนจะใจตรงกัน สายเรียกเข้าจากอั้ยเถียนดังขึ้น!
เวินจิ้งรีบกดรับสายขึ้นมาในทันที “ในที่สุดเธอก็ติดต่อกับฉันแล้ว”
“ขอโทษ หลายวันก่อนฉันไปทำจิตใจให้สบายที่ต่างประเทศ ไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ” อั้ยเถียนเอ่ยขอโทษ
“ฉันเข้าใจ แต่ว่าเธอไปอย่างรีบร้อนขนาดนั้น ไม่ได้บอกลาฉันสักคำ”
“ฉันก็แค่กลัวว่าบอกลาจะน้ำตาไหล จิ้งจิ้ง ฉันไม่คิดที่จะกลับไปแล้ว”
หลายวันมานี้เธอคิดเยอะมาก ออกมาจากเมืองหนานเฉิง ก็ไม่ใช่เพียงแค่เพราะจะออกมาให้ไกลจากเสี้ยวหง ยังมีเหตุผลของทางบ้าน
หลายปีมานี้เธอแทบจะไม่เคยกลับบ้าน แต่ที่บ้านก็เร่งว่าจะจัดงานหมั้นให้กับเธอตั้งนานแล้ว
เธอควรจะยอมอ่อนข้อได้แล้วล่ะมั้ง
อั้ยเถียนหัวเราะเล็กน้อยอย่างขื่นขม “ไม่แน่พวกเราพบกับคราวหน้า ฉันก็อาจจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็ได้”
เวินจิ้งไม่ได้พูดอะไรออกไป ในเวลานี้ฟังความปวดใจและความจำใจในคำพูดของอั้ยเถียนออกอย่างชัดเจน