บทที่ 220 เธอควรตอบแทนยังไง
ข้างๆ มู่วี่สิงยังมีดอกเตอร์หลายคนที่เรียนแพทย์เหมือนกัน ล้วนแสดงมุมมองของตัวเองออกมา
หน้าของหัวหน้าฝ่ายวิชาการอายจนแทบจะอยู่ไม่ได้แล้ว อยากจะปฏิเสธ แต่ทั้งผู้อำนวยการและผู้จัดการมหาวิทยาลัยก็ยังอยู่ๆ ในห้องเรียนเงียบลงมาทันที
สุดท้ายยังเป็นผู้อำนวยการที่เดินมาหา “เวินจิ้ง วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ของเธอผมอ่านแล้ว ผมคิดว่าไม่มีปัญหาทุกด้านเลย ให้ผ่านก็ไม่มีปัญหา”
เวินจิ้งอึ้งไปครู่หนึ่ง ยังไม่ได้กลับมาจากภวังค์
เธอดูไปทางมู่วี่สิงโดยการผ่านฝูงคน เขามาได้ไง…
เมื่อกี้ที่ครูเหล่านั้นถามคำถามออกมาเธอก็เข้าใจแล้วว่า คนเหล่านี้ตั้งใจจะไม่ให้เธอผ่าน โดยเฉาะหัวหน้าฝ่ายวิชาการ แต่เธอไม่เคยมีเรื่องกับเธอเลย ทำไมเธอถึงทำแบบนี้กับเธอ
เธอเขียนอะไรบ้างในวิทยานิพนธ์เธอชัดเจนมาก แต่การหาเรื่องชัดเจนแบบนี้ก็ทำให้เธอไม่อยากยอมเหมือนกัน
การเจาะจงที่เหมือนเดิมสุดท้ายก็เกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว
“พวกคุณคิดว่ายังไง” ทันใดนั้น ผู้อำนวยการก็มองไปที่ครูที่สอบวิทยานิพนธ์
“ท่านผู้อำนวยการคะ ความจริงพวกเราก็รู้สึกว่าวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ดีมากเลย คือพวกเราความรู้มีน้อยเองค่ะ…”
ผู้อำนวยการหรี่ตาลง กวาดสายตาในห้องเรียนรอบหนึ่ง สุดท้ายตกอยู่ที่หัวหน้าฝ่ายวิชาการ
“หัวหน้าเฉิน คุณไม่มีสถานะของการประเมิน แต่กลับสงสัยนักศึกษาที่สอบวิทยานิพนธ์ตั้งหลายครั้ง ทำไม ไม่เชื่อครูมหาวิทยาลัยหนานเฉิงของเราอย่างนั้นหรอ”
เสียงของผู้อำนวยการเพิ่งหยุดลง หัวหน้าฝ่ายวิชาการก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นมา ตามข้อกำหนดปกติแล้ว ความจริงเธอไม่ควรเข้าร่วมการประเมิน
แต่เธอมาถึงแล้ว พวกครูก็จะให้หน้าเธอ ส่วนใหญ่ก็จะฟังความคิดเห็นของเธอด้วย
“ท่านผู้อำนวยการคะ ฉันก็แค่แสดงความคิดเห็นของตัวเองเท่านั้นค่ะ”
“ความคิดเห็นของของคุณผมได้ยินแล้ว แต่ว่า สงสัยความรู้ของคุณยังไม่เท่านักศึกษาที่สอบวิทยานิพนธ์เลย ผมผิดหวังมากนะ”
โดนวิจารณ์ต่อหน้าผู้คนแบบนี้ หน้าของหัวหน้าฝ่ายวิชาการยังจะอยู่ได้ซะที่ไหน แต่ก็เนื่องจากว่าตรงนี้มีแต่คนฐานะสูงๆ ไม่กล้าพูดสักคำ
วันนี้เย่หย่าก็มาแล้วเหมือนกัน ตอนนั้นเธอเป็นครูผู้สอนวิทยานิพนธ์ของเวินจิ้งเอง ถ้ามีปัญหาเยอะขนาดนี้จริงๆ เธอก็แก้ไขให้เธอตั้งนานแล้ว จะไม่ถึงขั้นให้เธอไม่สามารถสำเร็จการศึกษาหรอก
“ท่านผู้อำนวยการคะ เรื่องนี้ก็ยังต้องสืบให้ชัดเจนนะคะ” เย่หย่าเอ่ยปากพูด
“สืบอะไร ครั้งนี้ฉันเป็นคนผิด ฉันเข้มงวดเกินไปแล้ว” หัวหน้าฝ่ายวิชาการพูดขัดเธอ
“เข้มงวด? นี่เกี่ยวกับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยของเราเลยนะ คุณเนี่ยไม่ใช่เข้มงวด แต่คุณอ่ะจงใจต่างหาก” ผู้อำนวยการพูดอย่างเยือกเย็น “พวกคุณมาออฟฟิศกับผมทั้งหมดเลย!”
ไม่นาน ห้องเรียนก็ค่อยๆ เงียบลงมา เวินจิ้งถูกแจ้งว่าการสอบวิทยานิพนธ์ผ่านแล้ว
เย่หย่าเดินมา “เวินจิ้ง เรื่องนี้ต้องขอบคุณคุณมู่ที่สืบมาให้เธอเลยนะ ห้าปีก่อนฉันประมาทเกินไปแล้ว น่าจะออกมาชี้แจงให้เธอ ขอโทษนะ”
เวินจิ้งยิ้ม ถ้าตอนนั้นคนเหล่านั้นจะใส่ร้ายเธอจริงๆ ถึงเย่หย่าจะอธิบายให้เธอแล้ว ผลที่ออกมาก็น่าจะไม่ดีเหมือนกัน
“ฉันเองควรเป็นคนที่ขอบคุณครู ที่ตอนนี้ยังยอมกลับมาช่วยฉัน”
“เด็กอย่างเธอเนี่ยตอนนั้นก็มีพรสวรรค์มากแล้ว เธอควรจะไปเรียนแพทย์” เย่หย่าบอกเธอ
เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เวินจิ้งกำลังทำอะไรอยู่ แต่ว่าไม่มีใบจบ เธอก็น่าจะไม่สามารถทำอาชีพที่เกี่ยวข้องได้
เวินจิ้งยิ้ม เส้นทางนี้น่าจะยังอีกยาวไกล
มู่วี่สิงยังคงนั่งที่หลังสุดเหมือนเดิม มีนักศึกษาหลายคนที่รู้ว่ามู่วี่สิงมา ล้วนล้อมรอบเขาเพื่อที่จะถามเรื่องความรู้เฉพาะต่างๆ นานา
เขาเป็นผู้จัดการของมหาวิทยาลัย และยังเป็นอาจารย์ประสาทวิทยาที่โด่งดังของหนานเฉิง ในวงการแพทย์นั้นไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของเขา
“ขออภัยนะครับ ตอนนี้เวลาดึกมากแล้ว ทุกคนกลับไปได้แล้วครับ” มู่วี่สิงพูดจบ เดินออกจากฝูงคนไปหาเวินจิ้ง
เวินจิ้งมองผู้ชายที่ใส่เสื้อขาวกางเกงดำ ใบหน้าของเขาหล่อเหลา เสน่ห์สง่าสูงส่ง อยู่ในฝูงคนแล้วเขายังคงดูโดดเด่นมาก ทำให้คนละสายตาออกจากเขาไม่ได้เลย
มู่วี่สิงจับมือของเธอพาเธอออกไป
เวินจิ้งยังคงอยู่ในภวังค์อยู่ เนิ่นนานกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ “ทำไมคุณมากับผู้อำนวยการอ่ะ”
“มหาวิทยาลัยหนานเฉิงกำลังสืบเรื่องครูรับสินบนอยู่ ผมมาเอาหลักฐานให้ผู้อำนวยการ เดินผ่านพอดี” น้ำเสียงของมู่วี่สิงเรียบเฉย
“รับสินบน? คือเรื่องอะไรหรอ”
“ห้าปีก่อนวิทยานิพนธ์ของคุณถูกคนเปลี่ยน ต้องเกี่ยวกับหัวหน้าฝ่ายวิชาการแน่นอน ผมก็ตามหลักฐานที่คุณเอาให้ผมไปสืบ เธอเป็นคนในครอบครัวตระกูลฉิน”
“ฉินเฟย…” เวินจิ้งพูดพึมพำ เดาออกได้ตั้งนานแล้ว แต่พอแน่ใจว่าเป็นเธอจริงๆ ก็ยังรู้สึกเสียใจเล็กน้อยอยู่
“รอเรื่องนี้สืบให้ชัดเจนแล้วทางมหาวิทยาลัยจะแจ้งตำรวจอีกที คุณก็ตั้งใจเตรียมสอบ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้ว” มู่วี่สิงปลอบใจและกอดเธอไว้
แน่นอนว่าเวินจิ้งสบายใจ เพราะว่ามู่วี่สิงจัดการเรื่องทุกอย่างให้เธอแล้ว
สิ่งที่เขาทำเพื่อเธอ เธอควรตอบแทนยังไง
เวินจิ้งมองผู้ชายที่อยู่ข้างกายตัวเอง ไม่พูดไม่จาสักคำ
“หืม?” มู่วี่สิงมองเธอ
“มู่วี่สิง สิ่งที่ฉันติดคุณมันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” เวินจิ้งพูดเสียงเบา
แต่เธอสามารถทำอะไรให้เขาได้บ้าง
“คุณคือคุณนายมู่ ระหว่างเราสองคนไม่มีใครติดใครอะไรทั้งนั้น เรื่องของคุณก็คือเรื่องของผม” น้ำเสียงของมู่วี่สิงเย็นลง
เขารู้ว่าเวินจิ้งรู้สึกผิด แต่เขาไม่อยากให้เธอมีอารมณ์แบบนี้
“เฮ้อ แต่ฉันอยากจะตอบแทนคุณ” แบบนี้ เธอถึงจะสบายใจได้บ้าง
มู่วี่สิงยักคิ้ว นิ้วยาวหยิบปลายคางของเธอ พูดเสียงต่ำว่า “งั้นก็พยายามหน่อยตอนบางเวลานะ”
เวินจิ้ง: ??
งงงันสักพัก เธอก็เข้าใจความหมายในคำพูดของมู่วี่สิงทันที แก้มแดงขึ้นมาก
ทรุดอยู่ในอ้อมกอดของเขา เธออดไม่ได้ที่จะตีเขา “คุณพูดมั่วอะไรเนี่ย!”
“ไม่ได้พูดมั่ว มันคือเรื่องจริง”
เวินจิ้งกัดฟัน โดยปกติแล้วด้านนั้นเธอจะถูกมู่วี่สิงควบคุมตลอด เขามีพลังงานเยอะมาก ส่วนเธอคงอยู่ได้ไม่นานก็ไม่ไหวแล้ว แต่กลับโดนมู่วี่สิงบังคับให้ต้องรับไว้ให้ได้
เธอก็ถือได้ว่าพยายามมากแล้ว…
…
เรื่องมหาวิทยาลัยหนานเฉิงสืบสวนเรื่องครูรับสินบนไม่นานก็เป็นข่าวในโทรทัศน์แล้ว ครั้งนี้ครูและนักศึกษาที่เกี่ยวข้องมีจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว ทุกคนในหาวิทยาลัยล้วนกังวลไปหมด
ความสัมพันธ์เป็นญาติกันของฉินเฟยและหัวหน้าฝ่ายวิชาการเฉิยหยีถูกสืบออกมา ไม่นานก็ถูกพาไปสถานีตำรวจสอบสวนแล้ว นอกจากเรื่องที่วิทยานิพนธ์ของเวินจิ้งถูกเปลี่ยนเมื่อห้าปีก่อนแล้ว ก็ยังมีนักศึกษาอีกหลายๆ คนที่ออกมาแจ้ง มหาวิทยาลัยสืบส่วนใหญ่โดยที่ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย
บ้านตระกูลฉี
ฉีเซินได้รับสายทนายความของฉินเฟย ขอให้เขาไปประกันตัว
มาถึงสถานีตำรวจ มีนักข่าวหลายคนที่เฝ้าอยู่ตรงประตูตั้งแต่เช้าแล้ว บอดี้การ์ดกั้นคนไว้ ฉีเซินเดินเข้าไปหน้ามืด
เรื่องของเวินจิ้งเขาก็กำลังหาคนสืบอยู่เหมือนกัน แค่นึกไม่ถึงว่ามู่วี่สิงจะเร็วกว่าเขา และการสืบสวนครั้งนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับหลายๆ คนอีกด้วย
ฉินเฟยถูกประกันตัวออกมา คือเธออยากจะโยนความผิดทั้งหมดไปให้เฉิยหยี แต่เรื่องนี้ต้องการความช่วยเหลือจากฉีเซิน
แต่สีหน้าของเขาเยือกเย็นมาก ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
ฉินเฟยเดินไปหาอย่างตื่นเต้น “คุณมาแล้วหรอ”
“เรื่องนี้ ผมจะไม่ช่วยคุณ” ดูความคิดของฉินเฟยออก น้ำเสียงของฉีเซินเรียบเฉย
“เรื่องของเวินจิ้งฉันไม่ได้เป็นคนสั่งให้ทำนะ” ฉินเฟยแก้ตัว
“คุณคิดว่าผมจะเชื่อคุณหรอ”
“ฉีเซิน คุณคือคู่หมั้นของฉันนะ”
“ผมจะบอกเลิกสัญญาหมั้นเอง” ฉีเซินยังคงทำหน้าเย็นชา