บทที่ 227 ควรจะคิดเกี่ยวกับการมีลูกได้แล้ว
รถเพิ่งออกจากตระกูลฉี เวินจิ้งก็รับโทรศัพท์ของฉีเซิน หลินเวยโรคกำเริบเป็นลมไป
เวินจิ้งหันมาสนใจแม่ทันที เห็นแม่ดูเหมือนเหนื่อย สั่งให้คนขับพาเธอกลับบ้านก่อน
“เวินจิ้ง อยู่เป็นเพื่อนเธอนานๆ” เจี่ยนอีขอร้อง
เวินจิ้งไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้าทันที
เจี่ยนอีมองดูร่างของลูกสาว น้ำตาไหลออกมาทันที ทำเช่นนี้ เป็นเรื่องถูกหรือผิด……..
……
หลินเวยถูกส่งไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เวินจิ้งเพิ่งรู้ว่าหลินเวยมีภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรง
ไม่นานมานี้เธอได้รับการวินิจฉัยว่าประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม้ว่าตอนนี้จะสามารถควบคุมได้แล้ว อาการจะจะกำเริบบ่อยขึ้น
เวินจิ้งมองไฟสีแดงในห้องฉุกเฉิน ความกังวลบนใบหน้าของเขาไม่สามารถปกปิดได้
ฉีเซินยืนอยู่ที่ปลายสุดของทางเดิน ก้นบุหรี่กองอยู่ข้างเท้า สายตาเย็นชา
ในขณะที่ เขาเดินมา “ตอนนี้ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ส่ายหัว
ไม่ใช่เพียงเพราะคำแนะนำของเจี่ยนอี เธอก็เป็นห่วงคุณนายฉีเหมือนกัน
“คุณไม่ใช่คนของตระกูลฉี จะกังวลอะไร” ฉีเซินน้ำเสียงไม่ดี
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาการของหลินเวยกำเริบ แต่สถานการณ์เมื่อครู่อาการหนักมาก
ทำให้คิดถึงอาการที่ผิดปกติของแม่ในช่วงนี้ ฉีเซินหงุดหงิดมาก
“และ เรื่องที่แม่ของฉันจะรับคุณเป็นลูกบุญธรรม คุณก็ปฏิเสธแล้วนี่” ฉีเซินประชดประชัน
จากที่เขาสังเกต เวินจิ้งไม่มีสิทธิ์มาเป็นห่วงหรือดูแลหลินเวย
“รอคุณนายฉีพ้นขีดอันตรายแล้ว ฉันก็จะไป” เวินจิ้งไม่อยากเถียงกับเขา
เธอเข้าใจความรู้สึกของฉีเซินในตอนนี้ เพราะคนที่เกิดเรื่องเป็นแม่ของเขา
แต่ว่า เธอก็กังวลใจไม่แพ้กัน
ฉีเซินหรี่ตา สายตาที่คมมองไปที่เวินจิ้ง ความนุ่มนวลของสายตาค่อยๆหายไป
มีแค่ Nicotineที่สามารถทำให้เขาอารมณ์สงบลงได้
ณ ตอนนี้ โทรศัพท์ของเวินจิ้งก็ดังขึ้น เป็นมู่วี่สิงโทรมา
เธอเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกเขาว่าเธอมาที่โรงพยาบาล
รับสายโทรศัพท์ เสียงที่มู่วี่สิงคุ้นเคยดังขึ้น “ยังอยู่ที่ตระกูลฉีเหรอ อืม”
“คุณนายฉีอาการกำเริบ ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล”
“รอฉัน ฉันกำลังจะไป”
วางสายโทรศัพท์ ไฟห้องฉุกเฉินดับลง เวินจิ้งเดินไปอย่างรวดเร็ว
คุณหมอถอดหน้ากากอนามัยออก กล่าวว่า “คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ต้องรออีกสักครู่จึงจะตื่น”
“ขอบคุณคุณหมอ”
หลินเวยถูกย้ายไปที่หอผู้ป่วยทั่วไป เวินจิ้งจะเข้าไป แต่ถูกฉีเซินกันไว้
“มู่วี่สิงมารับคุณแล้วไม่ใช่หรือ กลับไปสิ” ฉีเซินสีหน้าเคร่งเครียด
เวินจิ้งเหลือบมอง มองข้ามจากหน้าต่างเห็นคุณนายฉีกำลังนอนพัก ค่อยๆหมุนตัวกลับ
“คุณนายฉีไม่สบาย รบกวนรีบแจ้งฉันด้วย”
“อืม” ฉีเซินตอบรับอย่างเฉยเมย
เดินออกจากโรงพยาบาล มู่วี่สิงมาถึงตั้งนานแล้ว เวินจิ้งขึ้นรถอย่างสงบ แต่ยังมีความกังวลเป็นห่วงหลินเวย
มู่วี่สิงกุมมือเธอไว้ เขาขมวดคิ้ว “สำหรับคนตระกูลฉี คุณดูห่วงใยเป็นพิเศษ”
เวินจิ้งเงียบ
อารมณ์เช่นนี้ เธอเองก็ไม่เข้าใจ
เห็นได้ชัดว่าสามารถเฉยเมยต่อฉีเซิน แต่กับคุณนายฉี สำหรับความเมตตาและความอ่อนโยนของเธอทำให้ไม่สามารถปฏิเสธได้
“คุณอารมณ์เสียใช่ไหม” เวินจิ้งลืมตาขึ้น ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของมู่วี่สิงไม่สามารถปกปิดได้
“อืม” มู่วี่สิงยอมรับ
เขาไม่ชอบให้เวินจิ้งยุ่งเกี่ยวกับคนตระกูลฉี
เวินจิ้งรู้สึกอึดอัดแล้วขมวดคิ้ว อย่างน้อยในช่วงที่คุณนายฉีอยู่โรงพยาบาล เธอยังคงจะมาเยี่ยมอีก
และตอนนี้ตระกูลฉีมาอยู่ที่หนานเฉิงจะบอกว่าจะไม่มีการติดต่อเลย คงจะเป็นไปไม่ได้
……
กรณีการติดสินบนของมหาวิทยาลัยหนานเฉิงยังอยู่ระหว่างการสอบสวน ตอนนี้ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่กรณีนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนไม่น้อย จะตรวจสอบก็ค่อนข้างยากพอสมควร
แต่เนื่องจากมีหลักฐานเพียงพอ รวมกับที่ฉินเฟยยอมยอมจำนน เฉิยหยีรับผิด ปัจจุบันทั้งสองถูกควบคุมตัว ฉืออี้เหิงถูกฉินเฟยรายงาน นอกจากนี้ยังมีรายชื่ออยู่ในรายการผู้ต้องสงสัย
สื่อยังคงอัปเดตความคืบหน้าล่าสุดของคดีนี้ทุกวัน หลังจากเรื่องอื้อฉาวของฉินเฟยกับฉืออี้เหิงออกมา ชื่อเสียงของคนสองคนนี้ได้ก็จมลง และฉีเซินยังมายกเลิกงานแต่งงาน ในสายตาของนักข่าวมันเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด
เวินจิ้งดูรายงาน ช่วงนี้เพื่อนร่วมงานรอบตัวกำลังพูดคุยเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็จะได้ยินผู้คนพูดถึง
อั้ยเถียนเพิ่งกลับมาจากดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ รู้ว่าเรื่องของเวินจิ้งสามารถตรวจสอบได้ รู้สึกดีใจแทนเธอ
“ฉินเฟยกับฉืออี้เหิงควรจะได้รับโทษในคุกตลอดชีวิต ทำเกินไปจริงๆ” อั้ยเถียนกล่าวด้วยความโกรธ
“คงจะไม่ร้ายแรงขนาดนั้น ฉินเฟยยอมจำนนเอง ส่วนฉืออี้เหิงจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้หรือไม่ยังตรวจสอบอยู่ แต่คณบดีคนนั้น เธอเป็นคนร้ายที่สับเปลี่ยนวิทยานิพนธ์ของฉัน”
“แต่เธอก็รับคำสั่งมาจากฉินเฟย เวลาผู้หญิงหึงน่ากลัวจริงๆ”
ฉินเฟยชอยฉืออี้เหิงเขารู้กันทั้งมหาวิทยาลัย แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะจิตใจโหดร้ายขนาดนี้
“ตอนนี้ความจริงเปิดเผยแล้วก็ไม่น่ากลัวแล้ว แต่สายไปห้าปี” เวินจิ้งมอง ที่โชคดีคือมีมู่วี่สิงอยู่ข้างๆ
“อย่างไรก็ถือว่าโชคดีที่มาเจอหมอมู่ ไม่เสียเปล่า” อั้ยเถียนล้อเล่น
เวินจิ้งยกมุมปาก “พูดอะไรอย่างนั้น”
“ฉันหมายถึงอะไรคุณรู้ดี พวกคุณแต่งงานกันมาหนึ่งปีแล้ว น่าจะคิดเรื่องมีลูกได้แล้วนะ ฉันอยากได้ลูกบุญธรรม”
ฉันกกับหมอมู่แต่งงานเพราะผลประโยชน์ ไม่คิดเรื่องลูกหรอก” เวินจิ้งพูดเสียงเบา
และเธอกำลังจะศึกษาต่อ คงไม่สะดวกที่จะมีลูก
สิ่งที่สำคัญคือ…… เธอมักจะคิดเสมอว่าตัวเองกับมู่วี่สิงเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น
เกือบจะเลิกงานตอนเย็น วันนี้มู่วี่สิงมีนัดทานข้าวเย็น เวินจิ้งวางแผนจะไปเยี่ยมหลินเวย
มาถึงโรงพยาบาล ฉีเซินไม่อยู่ พยาบาลกำลังปรับสายน้ำเกลือให้หลินเวย
เห็นเวินจิ้ง หลินเวยกวักมือให้กับเธอ
“เด็กคนนี้ ทำให้เธอกังวลแล้วใช่ไหม” หลินเวยกล่าวอย่างอ่อนโยน
เวินจิ้งยิ้ม “คุณนายฉี วันนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
“วันนี้ดีขึ้นมากแล้ว หมอเปลี่ยนยาให้แล้ว โรคของฉัน ต้องค่อยๆรักษา”
“ต้องดีขึ้นแน่นอน”
“ฉันก็อายุมากแล้ว หัวใจมีปัญหาตลอด หลายๆเรื่องฉันก็ปลงแล้ว” หลินเวยพูดแล้วก็ยิ้ม
ไม่ได้เป็นกังวลและกลัวเหมือนผู้ป่วยรายอื่น
เวินจิ้งรู้สึกไม่วางใจ หยิบสมุดบันทึกเวชระเบียนขึ้นมา เธอเรียนแพทย์มาก่อน สำหรับพยาธิวิทยาทั่วไปก็พอจะเข้าใจบ้าง
หลินเวยเป็นภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง อาการไม่ร้ายแรงมาก แต่จะต้องใช้ยาเพื่อรักษาตลอด สภาพจิตใจไม่ควรได้รับอะไรที่กระทบจิตใจมากเกิน
“คุณนายฉี ฉันอยากดูยาที่คุณหมอสั่งให้” เวินจิ้งขมวดคิ้ว
เธอเปิดลิ้นชักข้างๆ เทเม็ดยาออกมาบางส่วน ตั้งใจจะนำกลับไปถามมู่วี่สิง
“มีอะไรหรือ” ดูการเคลื่อนไหวของเวินจิ้งอย่างสงสัย
“ความเจ็บป่วยของคุณในครั้งนี้ดูไม่ปกติ ฉันคิดว่าอาจจะเป็นปัญหาที่ยา ถึงแม้คุณหมอจะเปลี่ยนยาแล้วก็ตาม แต่ฉันต้องการยืนยันอีกครั้ง สามีของฉันเป็นอาจารย์ด้านประสาทวิทยา เคยวิจัยเกี่ยวกับด้านนี้บ้าง” เวินจิ้งกล่าว
“ก็ใช่ ฉันรู้จักชื่อเสียงของมู่วี่สิงบ้าง แต่ฉันก็รักษาที่โรงพยาบาลนี้มานานพอสมควรแล้ว คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
หลินเวยขมวดคิ้ว พูดถึงมู่วี่สิง สีหน้าเธอไม่ค่อยดี
เวินจิ้งไม่สังเกตเห็น ออกจากโรงพยาบาล เธอโทรหามู่วี่สิง