บทที่ 265 คุณอยากอยู่กับเขาขนาดนั้นเลยหรอ
“เธอพูดมั่ว คือเธอนั่นแหละไม่พอใจที่ฉันกับวี่สิงทำการทดลองด้วยกัน เธออิจฉาฉัน”
มู่วี่สิงขมวดคิ้วเข้ม ประคองลู่หวั่นขึ้นมา นัยน์ตานิ่งเงียบ
“ลู่หวั่น คุณไปโรงพยาบาลก่อน”
มู่วี่สิงเห็นผิวกายตรงน่องเล็กของเธอที่ถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วแล้ว นัยน์ตาวาวดำลึกซึ้งมาก
“วี่สิง ขอโทษนะ แต่คุณก็รู้ ฉันแต่งงานแล้วก็จะไม่คิดอย่างอื่นกับคุณอีกแล้ว แล้วเป็นไปได้ไงที่จะไปทำร้ายเวินจิ้งอีกล่ะ” เธอพูดอย่างอ่อนแอ
มู่วี่สิงไม่ได้มองเธอ ห่างกันระยะทางสองเมตร สายตาของเขาตกอยู่ที่เวินจิ้ง
บนพื้นมีของเหลวอันตรายเต็มเลย ถ้าเวินจิ้งจะออกมาก็ต้องเหยียบอยู่บนนั้น
แต่มันอันตรายแน่นอน เธอได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม
ส่วนลู่หวั่นยังคงจับมือมู่วี่สิงไว้แน่นๆ เหมือนเดิม
“ลู่หวั่น ปล่อยมือ” สีหน้าของมู่วี่สิงลึกซึ้งมาก
ลู่หวั่นสะเทือนใจ ปล่อยมือออก เงาร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านหลังก็กอดเธอไว้
อานฉิงมาแล้ว
เห็นแผลสีดำบนน่องขาของเธอ นัยน์ตาของเขาเยือกเย็นขึ้นมา
อุ้มลู่หวั่นขึ้นมา น้ำเสียงอันเย็นชาของเขาดังขึ้น “มู่วี่สิง ถ้าเธอเกิดอะไรขึ้นมา ฉันจะหาเรื่องจนถึงที่สุด”
ก็ไม่รู้ว่ามู่วี่สิงได้ฟังไหม จุดสนใจอยู่ที่เวินจิ้งตลอดเวลา สวมถุงคลุมรองเท้าขึ้น เขาเดินมาทีละก้าวๆ
เมื่อมือของเขาจะสัมผัสเธอ เวินจิ้งผละออกไปแล้ว
จนวินาทีนี้ถึงสังเกตได้ว่าเธอสั่นทั้งตัว เธอกลัวมาก
มู่วี่สิงนั่งชันเข่าลงมา ถุงคลุมรองเท้าอยู่ในมือของเขา เขายกขาของเธอขึ้นมาช้าๆ
เวินจิ้งเม้มปากไว้ ดูใบหน้าที่อยู่ใกล้มากใบนี้ จึงจะค่อยๆ ใจเย็นลงมา
“ไม่เป็นไรแล้วนะคุณหญิงมู่” ฝ่ามืออันอบอุ่นของเขากุมมือเล็กของเธอไว้
ความกังวลในตามิอาจปิดบังไว้ได้ เขาประคองหน้าของเธอไว้ ปลอบใจเธอด้วยการจูบหน้าผากของเธอ
“คุณเชื่อฉันไหม” เวินจิ้งถาม
“คุณหญิงมู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรผมก็เชื่อใจคุณ” มู่วี่สิงมองลงไปข้างล่าง ใบหน้าหล่อแนบกับใบหน้าของเธอ เขาก็ตัวสั่นเหมือนกัน
บนรถ สายตาของมู่วี่สิงอยู่ที่หน้าเวินจิ้งตลอดเวลา
เขามองเวินจิ้งจนเธอรู้สึกแปลกๆ
“คุณ…อย่าจ้องฉันแบบนี้” เวินจิ้งแก้มแดงขึ้นเล็กน้อย
นึกถึงคำพูดของลู่หวั่นในเมื่อกี้ เธอถามเขาว่า “ถ้าฉันถูกเสียโฉมแล้วจริงๆ คุณจะรังเกียจฉันไหม”
“ไม่ คุณไม่มีทางเสียโฉมแน่นอนคุณหญิงมู่ ห้ามพูดแบบนี้” สายตาของมู่วี่สิงลึกซึ้งมาก
“เมื่อกี้ลู่หวั่นบอกว่า คุณจะรังเกียจฉัน คุณกับเธอสนิทกันขนาดนี้ เธอน่าจะรู้จักคุณดี” เวินจิ้งพูดแบบหึงเล็กน้อย
มู่วี่สิงประคองหน้าเธอไว้ กดลงมา เขากักเธอจนหนีไม่พ้น
เขาพูดด้วยเสียงต่ำว่า “คนที่รู้จักกับผมอย่างลึกซึ้ง มีแค่คุณเท่านั้น”
เวินจิ้งนิ่งงันสักพัก ทำไมอยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องพวกนั้นแล้วล่ะ
ยังไม่ทันตั้งสติ จูบของมู่วี่สิงก็กดทับลงมาแล้ว ครอบงำ เผด็จการ ทำให้เธอได้แต่หลงระเริง
…
โรงพยาบาล
ผิวกายที่ข้อศอกของเวินจิ้งถูกสารละลายเผาเปรี้ยงเป็นเวลานานมากแล้ว ถึงแม้จะทำการรักษาแล้วก็ตาม แต่คุณหมอบอกแล้วว่า อาจจะมีแผลเป็นก็ได้
บริเวณนี้ถึงแม้จะไม่ค่อยเห็นได้ชัด แต่ทุกครั้งที่ยกมือก็จะเห็นอยู่ดี
มู่วี่สิงให้เกาเชียนไปซื้อครีมกำจัดรอยแผลเป็นแล้ว พูดเสียงต่ำว่า “ผมไม่ให้คุณมีรอยแผลเป็นหรอก ไม่ต้องห่วงนะ”
เวินจิ้งยิ้มๆ เธอก็เฉยๆ ไม่ค่อยอะไรมาก
แค่นึกถึงลู่หวั่นจงใจทำร้ายเธอ ก็รู้สึกโกรธมากจริงๆ
ตอนกลางคืนกลับไปถึงการ์เด้นมูเจียวาน ค่ำคืนนี้เวินจิ้งกังวลและตกใจมาก มู่วี่สิงนอนเป็นเพื่อนเธอได้สักพัก ในที่สุดจึงนอนหลับได้สักที
แต่มือของเธอกำชุดนอนของเขาไว้แน่นๆ ตลอดเวลา ถึงจะนอนหลับแล้วก็ไม่สงบสักที
มู่วี่สิงลุกขึ้นมาโทรหาเกาเชียน
“ให้แผนกกฎหมายจัดทำสัญญาการเลิกร่วมงานชุดหนึ่ง บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปจะหยุดร่วมงานกับบริษัทการผลิตยาหลินเหอ”
บริษัทการผลิตยาหลินเหอ ก็คือบริษัทใหม่ของลู่หวั่นในตอนนี้
วางสายลงได้ไม่นาน อานฉิงก็โทรมา
มู่วี่สิงสีหน้าเคร่งเครียด
“ประธานมู่ อาการของหวั่นหวั่นไม่เบาเลยนะ ซึ่งคุณหญิงมู่เป็นคนลงมือทำเอง” น้ำเสียงของอานฉิงเต็มไปด้วยการติเตียนโดยไม่มีการปกปิดเลย
“ถ้าฉันจะบอกว่าคุณหญิงมู่ไม่ผิดล่ะ” มู่วี่สิงพูดด้วยเสียงเย็นชา
“ปกติหวั่นหวั่นรักสวยรักงามจะตาย เธอไม่มีทางทำร้ายตัวเองหรอก เธอบอกให้ฉันแล้ว คือคุณหญิงมู่นั่นแหละที่ไม่ปล่อยเธอไป”
“อานฉิง ฉันเอาสารละลายนั้นไปสืบมาแล้ว ของแบบนี้ไม่ได้หาซื้อที่ตลาดทั่วไปง่ายๆ หรอกนะ ลองหาดูสิว่าเป็นของของบ้านตระกูลอานของนายใช่หรือไม่”
อานฉิงเงียบกริบ กำหมัดไว้แน่น
“หวั่นหวั่นคือน้องสาวของนายนะ นายไม่เชื่อเธอหรอ”
“ฉันเชื่อภรรยาของผม อานฉิง ลู่หวั่นก่อเรื่องขึ้น ฉันจะไม่ร่วมงานกับหลินเหออีกต่อไป และจะไม่ให้เธอกลับมาที่หนานเฉิงอีกด้วย”
โรงพยาบาล
อานฉิงฟังเสียงสายไม่ว่างในมือถือ สีหน้าเคร่งเครียด
เขาผลักประตูเข้าไป ลู่หวั่นกำลังกอดอกอย่างกังวลอยู่ น้ำตาคลอเบ้า
“อานฉิง ขาของฉันจะมีรอยแผลเป็นแล้วใช่ไหม…” ลู่หวั่นร้องไห้อยู่
“ผมจะไปหาหมอที่ดีที่สุดมาให้คุณนะ เรากลับไปประเทศB คุณไม่ต้องห่วงนะ”
ลู่หวั่นพูดอย่างอ้างหวังว่า “ไม่มีผลหรอก สารละลายกัดกร่อนผิวหนังแล้ว…”
อานฉิงสวมกอดเธอไว้แน่นๆ “หวั่นหวั่น ผมจะไม่ให้คุณเป็นอะไรหรอกนะ”
“มู่วี่สิง…เขาไม่เชื่อฉันใช่ไหม” ลู่หวั่นถามไปด้วยตัวสั่นไปด้วย
อานฉิงนิ่งเงียบ
วันถัดมา ลู่หวั่นได้รับสัญญาการเลิกร่วมงาน
มือของเธอสั่น จากนั้นก็ฉีกทิ้งทันที
ตอนอานฉิงเข้ามา สีหน้าโกรธเคืองของลู่หวั่นส่องเข้ามาในตาหมด
เขาขมวดคิ้วเข้ม ดูสัญญาที่หล่นลงบนพื้น เก็บขึ้นมา
“ฉันจะไม่ยอมยกเลิกสัญญา”
“มู่วี่สิงก็แค่แจ้งคุณแค่นั้น โครงการหยุดลงแล้ว” อานฉิงบอก
“ดังนั้น ฉันต้องกลับไปงั้นหรอ”
“คุณอยากอยู่กับเขาขนาดนั้นเลยหรอ” อานฉิงบีบปลายคางของเธอไว้ ความโกรธที่อยู่ในตาส่องประกายออกมา
เขาไม่ตกลงให้ลู่หวั่นกับมู่วี่สิงร่วมงานตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เธอไม่ฟังใครเลย เขาจึงทำตามใจเธอ
แต่ตอนนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าใครจะผิดหรือถูก เขาก็ไม่อยากให้ลู่หวั่นอยู่ต่ออีกแล้ว
ยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่เขามีอำนาจอยู่แล้ว
ลู่หวั่นเม้มริมฝีปาก “คุณหมายความว่าอะไร”
“ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่ว่าลู่หวั่น อย่ามาท้าทายขีดจำกัดของผมนะ เพราะผมชอบคุณเลยทำตามใจคุณ แต่คุณจำสถานะของตัวเองไว้ดีๆ ล่ะคุณหญิงอาน” เขาเตือน
“ฉันจำได้ตลอด แต่ว่าโครงการนี้สำคัญมากสำหรับฉัน มีแค่มู่วี่สิงคนเดียวที่สามารถร่วมงานได้” ลู่หวั่นพูดอย่างลึกซึ้ง
นี่คือวิจัยที่เธอกับมู่วี่สิงทำตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้ว สองคนมีแนวคิดทางเดียวกันสูงมากกับยาตัวนี้ หวังว่าจะรีบพัฒนาและผลิตออกมา
นอกจากมู่วี่สิงคนเดียวแล้ว ก็ไม่มีใครมีความสามารถแบบนี้
“ผมรู้ว่านี่คือความปรารถนาของคุณ ผมก็ช่วยคุณได้”
สีหน้าของลู่หวั่นเย็นชา “มีแค่เขาคนเดียว”
ทันใดนั้นอานฉิงก็ปล่อยมือออก สีหน้าโกรธเคืองมาก “คืนนี้กลับประเทศBกับผมทันทีเลย”
“ถ้าฉันไม่กลับล่ะ”
“คุณคิดว่ามู่วี่สิงจะอนุญาตให้คุณอยู่ต่อหรอ” อานฉิงพูดด้วยความเยือกเย็น
สีหน้าของลู่หวั่นซีดลงมา มองสัญญาที่อยู่ข้างๆ เธอกัดริมฝีปากไว้แน่นๆ
…
การ์เด้นมูเจียวาน
หลายวันที่ผ่านมานี้เวินจิ้งไม่ได้ออกจากบ้าน มู่วี่สิงก็ไม่ได้ไปบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป มีแต่เกาเชียนที่มารายงานเรื่องงานให้เขา
ชุดแต่งงานส่งมาแล้ว เวินจิ้งดูหางกระโปรงที่ประดับเต็มเศษเพชร แค่วางไว้ในมือยังรู้สึกเอ็นดูมากเลย
เหมือนกับอยู่ในฝันอย่างนั้น
ในหัวนึกถึงเรื่องราวต่างๆ หลังจากที่แต่งงานกับมู่วี่สิง สำหรับเธอแล้ว งานแต่งงานนี้ก็มีความเห็นแก่ตัวของตัวเองอยู่เล็กน้อย
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าข้างนอกประตูก็ได้ดังขึ้น คือมู่วี่สิงที่วางงานในมือลงแล้วมาหา
“ผมช่วยใส่ให้คุณ”