บทที่ 269 ใส่ใจเธอขนาดนี้
“แล้วทำไมจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่มีหลาน” มูเฉิงจงใจทำหน้าเคร่งใส่
เวินจิ้งมองลงไปข้างล่าง ใบหน้าแอบแดงเล็กน้อย
“คุณปู่คะ หนูกับมู่วี่สิงยังไม่มีแผนนี้ค่ะ” เวินจิ้งบังคับตัวเองพูด
มูเฉิงขมวดคิ้วเข้ม ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
“ฉันก็ไม่บังคับพวกเธอแล้ว ฉันรู้ว่าช่วงนี้หนูวางแผนไว้ว่าจะไปเรียนหนังสือ เรื่องที่หนานเฉิงฉันรู้หมดแหละ แต่หนูจะไว้นะ บ้านตระกูลมู่เป็นที่พึ่งของหนูตลอดไป” มูเฉิงพูดอย่างลึกซึ้ง
บ้านตระกูลมู่
ความจริงมู่วี่สิงก็สนับสนุนเธอมาตลอด
หัวใจของเวินจิ้งรู้สึกอบอุ่นมาก
มู่วี่สิงกลับมาตอนดึกๆ ขณะนี้ มู่เฟิงก็กลับมาแล้วเหมือนกัน
สีหน้าของมู่วี่สิงมืดลงมาทันที
บนโต๊ะอาหาร เวินจิ้งนั่งอยู่ข้างมู่วี่สิง ส่วนคนที่อยู่ข้างหน้ามู่วี่สิงก็คือมู่เฟิง
เขาไม่มองคุณพ่อตัวเองแม้แต่แวบเดียว
ตอนมู่เฟิงคุยกับคุณปู่ ก็ไม่เคยพูดถึงมู่วี่สิงเลยสักครั้ง
เวินจิ้งก้มหน้าลง บรรยากาศอันอึดอัดนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายมาก
หลังจากทานข้าวเสร็จ มู่วี่สิงถูกคุณปู่เรียกไปที่ห้องอ่านหนังสือ เวินจิ้งไม่มีอะไรทำก็ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้
แต่พอเพิ่งได้เดินผ่านจากภูเขาปลอม เสียงของมู่เฟิงก็ได้ดังมา
เวินจิ้งหยุดก้าวเท้าต่อโดยอัตโนมัติ
“คุณมาได้ไงอ่ะ ผมให้คุณอยู่ในโรงแรมดีๆ ไม่ใช่หรอ!”
“ก็ฉันคิดถึงคุณแล้วนิ แล้วอีกอย่างคุณจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราเมื่อไหร่”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา แต่ผมก็คิดถึงคุณแล้วเหมือนกัน ที่รัก…”
“ไม่เอา…คุณอย่า…”
แก้มของเวินจิ้งแดงมาก ไม่คิดว่าจะเจอสถานการณ์แบบนี้ได้ รีบหันหลังกลับอยากจะไปจากตรงนี้
แต่กลับเหยียบโดนหินกรวดที่อยู่ตรงพื้น
มู่เฟิงรีบหันหน้าไปอย่างระมัดระวัง “ใคร?”
เวินจิ้งขนหัวลุกเลย ไม่หยุดก้าวเท้าต่อ รีบเดินเร็วไปยังตึกหลักของวิลล่า
มู่เฟิงอยากจะมาตาม แต่กลับถูกผู้หญิงดึงไว้ “ไหนคุณบอกว่าพ่อและลูกชายของคุณอยู่ในห้องอ่านหนังสือไม่ใช่หรอ น่าจะเป็นแค่คนใช้แหละ”
“อืม ที่รัก งั้นเราต่อนะ–”
เสียงทุเรศนั้นทำเอาเวินจิ้งสั่นทั้งตัว จู่ๆ ก็ชนเข้าไปยังหน้าอกอันแข็งแน่น มู่วี่สิงกอดเธอไว้อย่างมั่นคง
เวินจิ้งตะลึง ลมหายใจที่คุ้นเคยลอยมา เธอจึงจะถอนหายใจออกโดยอัตโนมัติ
มู่วี่สิงหรี่ตาลงอย่างเย็นชา ถึงจะไม่ได้เดินไป เขาก็รู้ดีว่าฝั่งนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เรากลับไปเถอะ” เขากุมมือเวินจิ้งไว้
เวินจิ้งพยักหน้า คิดดูอายุของมู่เฟิงก็เกินห้าสิบแล้ว แต่ผู้หญิงคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นหุ่น หน้าตาหรือว่าเสียง มากสุดก็แค่ยี่สิบกว่าปี
“กลัวหรอ” เห็นเวินจิ้งเงียบตลอดทาง มู่วี่สิงถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ใช่” เวินจิ้งส่ายหัว
มู่วี่สิงกอดหัวของเธอไว้ จูบลงมาที่หน้าแกของเธอ “มู่เฟิงสันดานเจ้าชู้ วันหลังอย่าไปเข้าใกล้เขา”
“ฉันรู้แล้ว” เวินจิ้งกอดมู่วี่สิงไว้ ปลอบใจเขา และก็ปลอบใจตัวเองด้วย
ทันใดนั้นก็ได้เข้าใจอะไรแล้วบ้าง มู่วี่สิงเติบโตมาในครอบครัวแบบไหน
…
สามวันผ่านไป เวินจิ้งได้รับจดหมายแจ้งการรับสมัครของมหาวิทยาลัยหลินไห่แล้ว
นั่งอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ เธอตั้งใจอย่างละเอียด เพื่อแน่ใจว่าทุกอย่างนี้เป็นเรื่องจริง
รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา เวินจิ้งรีบนำข่าวนี้ไปบอกมู่วี่สิงทันที
เหมือนมู่วี่สิงจะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ ยิ้มพูดว่า “คุณหญิงมู่ ยินดีด้วยนะ”
“อืม คอมเมนต์ที่ศาสตราจารย์ไป๋สือมีต่อฉันถือว่าดีมากเลยนะ ฉันเป็นนักศึกษาปริญญาโทเพียงคนเดียวที่เขารับในปีนี้ ฉันต้องตั้งใจกว่านี้แล้ว”
“ผมเชื่อมาตลอดว่าคุณหญิงมู่ของผมคือดีที่สุด”
“คุณอย่าชมฉันอีกแล้ว ฉันคิดว่านี่มีส่วนของดวงด้วย” เวินจิ้งพูด
แต่คนที่เธอขอบคุณที่ก็ยังเป็นมู่วี่สิงอยู่ดี
เพราะเขาแนะนำเธอให้กับศาสตราจารย์ไป๋สือ เธอจึงได้โอกาสนี้มา
“มู่วี่สิง ขอบคุณนะ”
“อืม จะขอบคุณผม ก็ต้องปฏิบัติออกมาสิ”
ความหมายแฝงในคำพูดนี้ทำเอาเวินจิ้งหน้าแดงขึ้นเลย
“คืนนี้ฉันทำอาหารดีๆ ให้คุณ?”
“อืม แล้วอะไรอีก”
“แล้วก็…”
“แล้วก็อะไรอีกหรอ” เธอทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“อาบน้ำให้สะอาดเสร็จแล้วไปนอนที่บนเตียง” น้ำเสียงของมู่วี่สิงเข้มลึก น่าหลงใหล
เวินจิ้ง: …
“ฉันจะไปซื้อผักแล้ว ไม่พูดมั่วกับคุณแล้ว” เวินจิ้งพูดอย่างเขินๆ
“เดี๋ยวตอนบ่ายผมก็กลับไปแล้ว”
พอวางสายลง เสียงมือถือของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น คุณปู่เป็นคนโทรมา
“แกไม่ให้หวั่นหวั่นกลับมาหรอ” เสียงของมูเฉิงมีความไม่พอใจเล็กน้อย
“อืม” มู่วี่สิงตอบอย่างเฉยชา
“ฉันดูออกว่าเธอคิดกับแกยังไง แต่ตอนนี้เธอก็แต่งงานแล้ว วี่สิง ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย”
ช่วงนี้ลู่หวั่นบอกความโหดร้ายของมู่วี่สิงให้เขาฟังไม่น้อยเลย เธอไม่สามารถกลับมาหนานเฉิงอีกต่อไปแล้วจริงๆ
มูเฉิงเอ็นดูเธอ ก็เลยใจอ่อน
“คุณปู่ครับ เธอทำร้ายคุณหญิงมู่ ก็คือขัดกับผมอย่างเปิดเผย”
“เกิดอะไรขึ้นแล้ว” สีหน้าของมูเฉิงตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“คุณปู่ครับ ให้เธออยู่ข้างๆ อานฉิงดีๆ ท่านก็ไม่ต้องยุ่งอีกแล้ว” มู่วี่สิงไม่ได้พูดอะไรมาก
มูเฉิงอยากจะสืบก็ไม่ยาก แต่ตอนนี้หนานเฉิงเต็มไปด้วยอำนาจของมู่วี่สิง เขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ตอนบ่าย มูเฉิงเรียกเวินจิ้งมาหา
เรื่องของงานแต่งกำลังเตรียมอยู่ แต่ตอนนี้ สองครอบครัวก็ควรหาโอกาสมาเจอกันก่อน
ก่อนหน้านี้เวินจิ้งก็มีความคิดแบบนี้แล้ว แต่เพราะคุณปู่ยังไม่ได้กลับมา เลยดองไว้ตลอด
“วี่สิงบอกเรื่องของหนูให้ฉันฟังแล้ว เด็กคนนี้นะ ปู่เอ็นดูหนูจริงๆ เลย” มูเฉิงพูด
“คุณปู่คะ ชีวิตในเมื่อก่อนสำหรับฉันแล้วไม่ลำบากเลย ความจริงก็ไม่มีอะไรค่ะ” เวินจิ้งยิ้ม
ถึงแม้จะอยู่ข้างๆ เจี่ยนอีตั้งแต่เด็ก ไม่ถือว่าร่ำรวย แต่ชีวิตเรียบง่ายมีความสุข
แต่พอมาอยู่บ้านตระกูลหลิน กลับต้องใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ซับซ้อนมากขนาดนี้ เห็นได้ว่าเธอไม่ค่อยไหวเท่าไหร่
“หนูคิดแบบนี้ได้ก็ดีแล้ว แต่ว่า บ้านตระกูลหลินกับบ้านตระกูลฉีมีความเกี่ยวข้องใช่ไหม” มูเฉิงขมวดคิ้ว
“แม่หนูเป็นลูกสะใภ้ของบ้านตระกูลฉี”
สีหน้าของมูเฉิงมืดลงมา
เวินจิ้งก็ได้สังเกตแล้ว ไม่ได้พูดต่ออย่างรู้ตัว
ทันใดนั้น มีเสียงคุ้นเคยดังมาจากประตู คือมู่เฟิง
คนที่กลับมากับเขา ยังมีผู้หญิงที่ดูดีอีกหนึ่งคน
“แกนิ พาซือซือกลับมาทำไม”
เวินจิ้งเหลือบตามอง ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้ามีหน้าตาที่สวยมาก แต่บนใบหน้าที่ขาวใสไม่มีแสงแพรวพราวสักนิดเลย
สวยแต่ไร้วิญญาณ
“คุณปู่คะ งานแต่งของวี่สิง น้องสาวของเขาก็ควรเข้าร่วมนะ”
“คุณปู่คะ หนูก็อยากเข้าร่วมงานแต่งของพี่ชายค่ะ” เสียงอ่อนโยนของมู่ซือซือดังขึ้น
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น สายตาค่อยๆ หันไปทางเวินจิ้ง
“คนนี้ก็คือพี่สะใภ้ใช่ไหม”
เวินจิ้งเดินเข้าไปแนะนำตัวเอง “สวัสดี ฉันคือเวินจิ้ง”
“มู่ซือซือ”
“คุณพ่อคะ ท่านบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับคุณปู่ไม่ใช่หรอ งั้นพี่สะใภ้ออกไปเดินเล่นข้างนอกกับฉันได้ไหม ฉันไม่ได้กลับมาบ้านใหญ่ตระกูลมู่นานมากแล้ว”
เข็นมู่ซือซือออกไป เวินจิ้งเป็นผู้หญิง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหลงหน้าใบนี้ของมู่ซือซือ。
ใบหน้าที่เพอร์เฟคผมสั้นสีแดงไวน์ดูเรียบร้อยและมีความสามารถ แต่ก็มีความสวยแบบอ่อนโยนเปล่งออกมา
แต่ที่น่าเสียดายคือ เหมือนเธอจะไม่มีอารมณ์ใดๆ เลย
“งั้นเราอยู่ตรงนี้เนาะ” เมื่อเดินผ่านศาลาแห่งหนึ่ง เวินจิ้งก็ได้นั่งลง
“ฉันได้ข่าวมาว่าเธอกับพี่ชายฉันแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ คนรอบคอบอย่างเขา ไม่คิดเลยว่าเหมือนจะไม่ค่อยจริงจังกับเรื่องแต่งงานเท่าไหร่” มู่ซือซือพูด
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ไม่ค่อยจริงจัง
เธอหัวเราะออกมาอย่างประชด ถ้าไม่ค่อยจริงจัง แล้วทำไมเขาถึงใส่ใจเธอขนาดนี้