บทที่ 270 ไม่มีที่ติเลย
“เธอไม่ปฏิเสธหรอ” มู่ซือซือเหลือบตามอง
“อืม ก็ไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่ สงสัยในสายตาเขาแล้ว คุณหญิงมู่ก็เหมือนกันหมด” เวินจิ้งพูดอย่างเรียบเฉย
“ท่าทางเธอจะไม่ค่อยอยากแต่งงานกับพี่ชายฉันเท่าไหร่?”
“ไม่ใช่หรอก ไม่ว่าฐานะหรือการปฏิบัติตนของมู่วี่สิง ไม่มีที่ติเลยสักเรื่อง”
“มันก็เป็นความจริง เพราะฉะนั้นผู้หญิงที่ชอบเธอมีเยอะมากมาตลอด” มู่ซือซือพูดอย่างเรียบเฉย
เสน่ห์ของเธอ ก็มีความคล้ายกับเวินจิ้งเล็กน้อย
“เหมือนฉันจะพูดมากเกินไปแล้ว อยู่คนเดียวนานเกินไป นานๆ ทีจะได้ออกมา ฉันก็ผ่อนคลายออกมาแล้ว” มู่ซือซือพูด “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับห้องก่อนนะ”
เวินจิ้งมองด้านหลังของเธอ สายตาไปยังด้านล่าง คือขาของเธอ
ถึงแม้จะใส่กระโปรง แต่ที่อยู่บนขาคือขาเทียม
อายุเธอแค่ยี่สิบต้นๆ แต่ในระหว่างคำพูด กลับไม่มีความสดใสที่ควรมีในอายุนี้
ตอนกลางเย็นคุณปู่ให้เวินจิ้งอยู่ทานข้าวที่บ้านใหญ่ มู่วี่สิงมีงาน จะมารับเธอตอนดึกๆ หน่อย
รู้ว่ามู่เฟิงไม่อยู่ เวินจิ้งสบายใจขึ้นเยอะ ถึงแม้จะไม่ได้กลัว แต่เธอก็ไม่ค่อยอยากติดต่อกับเขาสักเท่าไหร่
มู่วี่สิงมาตอนดึกๆ หน่อย รู้ว่ามู่ซือซือกลับมาแล้ว เขาขึ้นไปที่ห้องของเธอ
“ทำอะไรเนี่ย” ความโกรธในตาของเขาเห็นได้ชัดเจนมาก
มู่ซือซือเหลือบตามอง เห็นพี่ชายที่คุ้นเคย นานๆ ทีริมฝีปากเล็กจะโค้งรอยยิ้มขึ้นมา “พี่ชาย ในที่สุดหนูก็ได้เจอพี่แล้ว”
“กลับมาทำไม” สีหน้าของมู่วี่สิงยังคงเคร่งเครียดเหมือนเดิม
มู่ซือซือถามเขา “พี่ไม่อยากเจอหนูหรอ”
มู่วี่สิงเงียบกริบ ความเอ็นดูในตาส่องประกายออกมาแวบหนึ่ง
“หนูรู้ว่าพี่กังวลอะไรอยู่ แต่หนูไม่จำเป็นต้องหลบเขาตลอด ไม่ใช่หรอ”
“พี่เป็นห่วง” สีหน้าของมู่วี่สิงเคร่งเครียดมาก
กลับเป็นมู่ซือซือที่ยิ้ม “เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ยังมีอะไรน่าเป็นห่วงล่ะ หนูก็แค่อยากจะมาเข้าร่วมงานแต่งของพี่แค่นั้นเอง เขาไม่อยู่หรอก”
“เขาอยู่” มู่วี่สิงกลับพูดแบบนี้
สีหน้าของมู่ซือซือเปลี่ยนแปลงโดยไม่ให้เขาเห็น
“หนูจะไม่ให้ตัวเองเกิดเรื่องอีก”
“ซือซือ”
“พี่ ให้หนูอยู่ร่วมเป็นสักขีพยานงานแต่งของพี่ ได้ไหม”
“งานแต่งจบลง เธอก็ต้องรีบกลับไป” มู่วี่สิงพูดแบบไม่ให้เธอมีความเห็นอีก
มู่ซือซือมองลงไปข้างล่าง พยักหน้าช้าๆ
ตอนกลับไป สีหน้าของมู่วี่สิงเคร่งเครียดตลอดทาง
เวินจิ้งดูเขา เหมือนตั้งแต่ที่เขาไปเจอมู่ซือซือ อารมณ์ของเขาก็ไม่ดีมาก
“เป็นไรหรอ”
มู่วี่สิงไม่พูดไม่จาสักคำ เหยียบคันเร่งลงไป รถเก๋งขับเกินความเร็วขีดจำกัดแล้ว
เวินจิ้งจับมือจับประตูไว้ กลับถึงการ์เด้นมูเจียวานแบบนี้ตลอดทาง เธอตกใจจนหน้าซีดหน้าขาว
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นมู่วี่สิงซิ่งรถ
ถึงแม้สกิลการขับรถจะดีมาก แต่สำหรับเวินจิ้งแล้ว มันตื่นเต้นเกินแล้ว…
เธอรับเปิดประตูลงจากรถ มู่วี่สิงเพิ่งตั้งสติกลับมาได้ เข้ามากอดเวินจิ้งไว้
“ขอโทษ” อารมณ์เสียตาของมู่วี่สิงทอประกายออกมาแวบหนึ่ง
“บอกฉันมาได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เวินจิ้งมองเขา
มู่วี่สิงมองลงไปข้างล่าง สายตาลึกซึ้ง
“พอเห็นซือซือ ผมก็แค่รู้สึกว่าเอ็นดูเธอ”
“ทำไม่ขาของเธอถึง”
“สามปีก่อนเธอเคยอยากจะฆ่าตัวตาย หลังจากนั้นรอดแล้ว แต่ช่วงล่างอัมพาตตลอดชีวิต” มู่วี่สิงพูดออกมาทีละคำๆ ความยากเย็นในคำพูดไหลออกมาเรื่อยๆ
เวินจิ้งตกใจ ฆ่าตัวตาย…
เธอดูรอยแผลเป็นที่อยู่ข้อมือตัวเอง เธอสามารถเข้าใจได้
“เธอต้องดีขึ้นแน่นอน” เวินจิ้งปลอบ
“การบาดเจ็บทางจิตใจ มันจะมีอยู่ตลอดชีวิต” มู่วี่สิงพูดด้วยเสียงต่ำ
“ดังนั้น ที่คุณไม่อยากให้เธอกลับมาหนานเฉิง ก็เพราะว่าเมื่อก่อนเธออยู่หนานเฉิง ใช่ไหม” เวินจิ้งคาดเดา
มู่วี่สิงไม่ได้ตอบ แสดงว่ายอมรับแล้ว
เธอไม่ได้ถามต่อ แสดงว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่ทำร้ายมู่ซือซือแค่คนเดียว และยังทำให้มู่วี่สิงโกรธแค้นมากอีกด้วย
…
วันหยุดสุดสัปดาห์ เวินจิ้งไปที่ปราสาทของตระกูลหลินตั้งแต่เช้า
เนื่องจากเรื่องสุขภาพคุณตาไม่ค่อยสะดวกออกบ้านเท่าไหร่ เวินจิ้งอยู่พูดคุยกับเขาได้สักพัก ก็ไปที่โรงแรมกับคุณแม่เลย
แต่นึกไม่ถึงเลยว่า ฉีเซินก็มาแล้ว
เวินจิ้งลงจากรถ ฝั่งตรงข้าม ฉีเซินกำลังเดินมา
ความไม่พอใจลอยขึ้นมาจากบนใบหน้าของเวินจิ้ง “นายมาทำไม”
“พี่สาว กินเลี้ยงครอบครัวทำไมไม่ชวนผมด้วยล่ะ” ฉีเซินโค้งริมฝีปากบางขึ้นยิ้มแบบร้ายกาจ
“ฉีเซิน แกกลับไป” น้ำเสียงของหลินเวยเข้มขึ้น
แต่เหมือนฉีเซิน จะไม่ได้สังเกต “แม่ครับ ท่านอย่าลำเอียงนะครับ ผมก็เป็นลูกชายของคุณนะ”
“แกทำได้แค่สร้างปัญหา”
“ผมสัญญาว่าจะไม่ทำครับ”
และในขณะนี้ คนของบ้านตระกูลมู่ก็มาถึงแล้วเหมือนกัน
มู่วี่สิงเข็นมู่ซือซือเดินมา พอเห็นฉีเซิน หน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ส่วนมู่ซือซือ หน้ายิ่งซีดลงกว่าใครอีก
หลินเวยดูมู่ซือซือ สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ตรงประตูโรงแรม ความคิดของแต่ละต่างไม่เหมือนกันสักคน
“เรากลับไป” มู่วี่สิงหันหลังกลับ อยากจะรีบเข็นมู่ซือซือไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
มูเฉิงขมวดคิ้ว ตกลงเหมือนกัน
“หลานสะใภ้อ่ะ หลานสาวของฉันไม่สบาย ข้าวเย็นมื้อนี้ก็ไม่กินแล้วนะ”
ท่าทีของมูเฉิงโกรธเหมือนกัน
ปกติเธอจะรู้สึกว่าคุณปู่เป็นคนอ่อนโยนและเมตตา นี่คือครั้งแรกที่เวินจิ้งเห็นเขาโกรธมากขนาดนี้
เธออดไม่ได้ที่จะมองไปยังฉีเซิน
หรือจะเป็นเพราะเขา
“เสี่ยวจิ้ง ให้เธอต้องเสียเวลาแล้ว เธอกลับไปก่อนนะ”
เห็นเสี่ยวจิ้งขึ้นรถแล้ว หลินเวยจึงหันหลังไป
“แกจงใจใช่ไหม” หลินเวยถามอย่างเย็นชา
“ผมไม่รู้ว่าเธออยู่” ฉีเซินขมวดคิ้วเข้ม
มู่ซือซือ คนของบ้านตระกูลมู่ไม่มีทางให้เธอกลับมาหนานเฉิงง่ายๆ หรอก
“ฉันไม่สนว่าแกจะรู้หรือไม่รู้เรื่อง เรื่องของบ้านตระกูลหลิน แกอย่าเข้ามายุ่ง”
“แม่ ท่านลองพูดสิ ตกลงผมเป็นลูกแท้ๆ ของท่านหรือไม่ ตั้งแต่เวินจิ้งกลับมา ผมรู้สึกว่าผมกลายเป็นคนนอกไปเลยอ่ะ” ฉีเซินพูดอย่างเยือกเย็น
หลินเวยเปลี่ยนสีหน้า “อย่าพูดไปเรื่อย ยังไงมู่ซือซือกลับมาแล้ว แกก็อยู่ดีๆ ให้ฉันหน่อยเลยนะ”
“เรื่องของตอนนั้น ผมไม่ได้เป็นคนผิด”
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่แก เรื่องของบ้านตระกูลหลินและบ้านตระกูลมู่ แกอย่าเข้ามายุ่งอีก!”
“ถ้าผมจะยุ่งล่ะ” ฉีเซินยักคิ้ว ริมฝีปากบางเผยยิ้มอันร้ายกาจออกมา
“ฉันจะไม่ให้นายอยู่หนานเฉิงอีก”
“สงสัยเพื่อลูกสาวสุดที่รักของท่านแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรท่านก็ทำได้ลงคอหมดเลยนะ”
“ฉีเซิน ตอนนี้หนานเฉิงสันติสุขแล้ว ฉันไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก”
“แม่ คนของบ้านตระกูลมู่ยังคงจดจำเรื่องตอนนั้นไว้อยู่ตลอดเลย อย่าลืมนะ พวกเขายังอยากจะให้ท่านตายอีกด้วย” น้ำเสียงของฉีเซินมืดมนขึ้นมา
สีหน้าของหลินเวยซีดลง ยาที่เธอรับในโรงพยาบาลคราวก่อนมีปัญหา ตามสืบมานานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีวี่แววเลย แต่ก็ยกเว้นไม่ได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบ้านตระกูลมู่
“ท่านคิดแบบนี้ แต่คนบ้านตระกูลมู่ไม่ใช่นะ”
“แกอยากทำอะไร”
“แค่มู่วี่สิงไม่ทำอะไร ผมก็จะไม่ทำอะไรแน่นอน”
“อย่าทำร้ายเวินจิ้งเลยนะ” เนิ่นนาน หลินเวยถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ยังไงก็เป็นพี่สาวของผม ผมเอ็นดูเธอจะตาย”
พอได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของหลินเวยยิ่งดูแย่ลงกว่าเดิมแล้ว
ถูกหลินเจิ้นเรียกกลับไปที่ปราสาทของตระกูลหลินหลินเวยยิ่งยังคงไม่สบายใจอยู่ดี
“เกิดอะไรขึ้น ไหนบอกว่าสองครอบครัวจะพบปะกินข้าวกันไม่ใช่หรอ”
“มู่ซือซือกลับมาแล้ว ฉีเซินเด็กคนนี้ก็ไปแล้วเหมือนกัน” หลินเวยพูดอย่างเสียใจ
เรื่องนี้เธอไม่ได้วางแผนไว้ก่อน
แต่ไม่มีใครนึกถึงเลยว่า มู่ซือซือกลับมาแล้ว