ตอนที่ 280 ไม่อยากปล่อยเธอไปจริงๆ
“หลิงอี้ นี่อะไรกัน”
เวินจิ้งคาดไม่ถึงว่ารถที่คุณตาจัดให้มารับเธอนั้น ก็มารับหลิงอี้ไปด้วยเช่นกัน
และก็มีปลายทางเดียวกัน
“ก็ตาของคุณ เชิญผมให้ไปเป็นแขกที่บ้านคุณ คุณคงยังไม่รู้สินะ ตอนเด็กๆผมเคยอยู่ที่ตระกูลหลินอยู่ช่วงหนึ่ง ตาของคุณหวังมาตลอดว่าอยากมีหลานสาว อย่างนั้นผมก็แต่งานกับเขาได้”
“เหลวไหล!” เวินจิ้งขัดจังหวะเขา
เธอไม่เชื่อหลิงอี้
แต่หน้าตาของหลิงอี้ที่แสดงออกมาไม่เหมือนคนโกหกเลย
“เวินจิ้ง เธอต้องเชื่อสิ วาสนาของพวกเราถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
หลิงอี้ยกริมฝีปาก
“ฉันแต่งงานแล้ว” เวินจิ้งพูดอย่างบริสุทธิ์ใจ
“ใครจะไปรู้เรื่องในอนาคตหละ เวินจิ้ง ฉันไม่รังเกียจผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหรอกนะ”
เวินจิ้ง………………
“ตอนนี้ครอบครัวของฉันก็มีความสุขดี คุณหลิง โปรดรักษาระยะห่างให้เหมาะสมด้วย!”
หลิงอี้หรี่ตา “พวกเรายังใกล้ชิดกันไม่มากพอ”
เวินจิ้งเปิดประตูลงจากรถ โดยไม่ได้สนใจเขา
เมื่อเปรียบเทียบกับความหรูหราของปราสาทตระกูลหลินที่หนานเฉิง บ้านตระกูลหลินที่ประเทศ B มีบรรยากาศแบบสวนยุโรป ให้ความรู้สึกดูลึกลับ
หลินเวยออกมาจากห้องนั่งเล่น “เสี่ยวจิ้ง เธอมาแล้วเหรอ หลิงอี้ก็มาด้วยเหรอ”
“อื้ม ผมมีเรื่องจะคุยกับปู่ ช่วงนี้ เกรงว่าจะต้องรบกวนอยู่ที่นี่สักพัก” หลิงอี้พูดอย่างสุภาพ
หลินเวยพยักหน้า “ฉันจะให้คนไปเตรียมห้องให้เธอ”
หลิงอี้เดินไปยังห้องหนังสืออย่างคุ้นเคย เวินจิ้งมองไปยังเบื้องหลังของเขา ไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่เขาเพิ่งจะพูดมานั้นจะเป็นเรื่องจริง
“เสี่ยวจิ้ง เธอกับหลิงอี้มาเที่ยวบินเดียวกันเหรอ”
“อื้ม” สีหน้าของเวินจิ้งเรียบเฉย เมื่อคิดถึงช่วงเวลานี้ที่มีหลิงอี้อยู่ที่นี่ด้วย เธอรู้สึกอึดอัดไปหมด
เหมือนจะรู้อารมณ์ของเวินจิ้ง หลินเวยตบไหล่เธอเบาๆ “พ่อแม่ของหลิงอี้กับคุณตาสนิทกันมาก ดังนั้น เจ้าเด็กคนนั้นเลยมาตระกูลหลินบ่อยๆ จนคุณตารับเขาเป็นลูกหลาน”
เวินจิ้งไม่สนใจอะไรกับเรื่องของหลิงอี้ สีหน้าของเธอไม่แยแสใดๆ
ขึ้นไปยังห้องพักของตนเอง คาดไม่ถึงว่าหลิงอี้จะพักอยู่ห้องตรงข้ามกับเธอ
เวินจิ้งไม่ได้สนใจอะไรเขา
หลิงอี้ก้าวไปหยุดตรงข้างหน้า เขาถามออกไป “คืนนี้ผมจะเข้าครัว คุณอยากกินอะไรเหรอ”
“แล้วแต่”
“หื้ม คุณช่วยมีท่าทีดีๆกับผมหน่อย ผมมีเวลาอยู่ที่นี่ไม่นาน คุณจะมาทำสีหน้าเย็นชาใส่ผมไม่ได้นะ”
เวินจิ้งลดหน้าลง มองไปยังหลิงอี้ “ดังนั้น พวกเราก็ไม่ควรก้าวก่าย/รบกวนกันและกัน”
“คนใจร้าย พวกเราจะเป็นเพื่อนกันดีๆไม่ได้เลยเหรอ”
“คุณหลิง คุณคงขาดแคลนเพื่อนสินะ” เวินจิ้งพูดอย่างไม่พอใจ
“อื้ม ขาดมาก”
“น่าเบื่อ” เวินจิ้งเดินเข้าห้อง “ปัง” เสียงปิดประตูดังขึ้น
ใบหน้าของหลิงอี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อได้หยอกล้อผู้หญิงคนนี้ เขารู้สึกสนุกจริงๆ
หลินเวยขึ้นมาพอดี จึงได้พบกับหลิงอี้อยู่ที่หน้าประตูห้องของเวินจิ้ง สีหน้าเขาก็นิ่งลง
“คุณป้าหลิน” เมื่อได้เห็นหลินเวย เขาจึงทักทายอย่างสุภาพ
“ทำไมพ่อของฉันดันให้เธอมาตอนนี้ได้” หลินเวยขมวดคิ้ว
เธอนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้หลินเจิ้นไม่ค่อยชอบให้เวินจิ้งและหลิงอี้อยู่ด้วยกัน
หลินเจิ้นเคยพูดว่าถ้าเขามีหลานสาว ลูกเขยที่เหมาะสมที่สุดต้องเป็นหลิงอี้
และเรื่องของตระกูลหลิง ตระกูลหลินเองก็รู้อย่างลึกซึ้ง
แต่อย่างไรก็ตาม เวินจิ้งแต่งงานไปแล้ว ในฐานะที่เธอเป็นแม่ ก็ไม่ต้องการให้เรื่องยุ่งยากขึ้นไปอีก
แต่ดูเหมือนหลินเวยจะไม่ได้คิดแบบนั้น
“เรื่องธุรกิจ” หลิงอี้ขมวดคิ้ว
……….
ในตอนเย็น เวินจิ้งสัญญากับคุณตาไว้ ว่าจะลงไปช่วยในครัว
แต่คิดไม่ถึงว่าหลิงอี้จะเข้าครัวด้วยตัวเองจริงๆ
เขาเป็นคุณชายในบ้านเศรษฐีมาตลอด ไม่คิดเลยว่าเมื่อมาเข้าครัวทำอาหารก็ดูทะมัดทะแมง
เธอไม่อยากจะเสียเวลาอยู่กับเขา เวินจิ้งจึงหันหลังเดินกลับไป
หลิงอี้เรียกเธอไว้ “เวินจิ้ง มาช่วยผมหน่อยเถอะ”
“ฉันไม่ว่าง” เวินจิ้งเพิกเฉย
“ไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าจะได้กินข้าวกันเมื่อไร” หลิงอี้ยกริมฝีปากอย่างเย็นชา
เวินจิ้งขมวดคิ้ว “แม่บ้านหละ”
“ตอนนี้มีแต่คุณที่ช่วยผมได้”
พูดจบ หลิงอี้ยื่นจานใบหนึ่งให้เธอ ในจานมีผักสดอยู่บนนั้น
“ผัดผักสิ”
เวินจิ้ง……………
เธอรับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วเดินเข้าไปในครัว
เขากอดอก เอนหลังพิงกำแพง และจ้องมองเธออย่างสบายๆ
เวินจิ้งรู้สึกไม่ปกติ ที่ถูกจ้องมองอยู่จากด้านหลัง เธอจึงอยากจะรีบๆทำให้เสร็จ
เธอหยิบเครื่องปรุงที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา หลิงอี้เอามือยื่นเข้ามา ส่งเครื่องปรุงอีกอย่างให้เธอ “นี่ต่างหากเกลือ”
“อ่า” เวินจิ้งอุทานออกมาอย่างเรียบเฉย
“ดูเหมือนว่าปกติจะเข้าครัวนะ” หลิงอี้พูดว่า
“อื้ม”
หลิงอี้ไม่ได้โกรธ เรื่องที่ถูกเวินจิ้งเมินเฉย มุมปากก็ค่อยๆปรากฏรอยยิ้ม
เมื่อเวินจิ้งทำผัดผักเสร็จ เขาก็ให้เธอช่วยทำอย่างอื่นต่อ
“หลิงอี้ นี่คุณจงใจหนิ!” เวินจิ้งหงุดหงิด
ถ้าไม่ใช้เพราะเพื่อให้ทุกคนได้รับประทานอาหาร เธอก็คงจะวางมือทิ้งไปแล้วจริงๆ
“แน่นอน ฉันก็แค่อยากมีเวลาได้ทะนุถนอมและอยู่กับคุณตามลำพัง”
“คุณยังไม่ได้รับอนุญาตให้พูด” เวินจิ้งจ้องไปยังเขา
คำพูดนี้ถ้ามีใครได้ยินเข้า อาจทำให้เข้าใจผิดได้
“ได้ ฟังคุณก็ได้” หลิงอี้เชื่อฟังและปิดปากสนิท
จากนั้น หลิงอี้ก็เงียบไปจริงๆ จดจ่ออยู่กับการเข้าครัว
เมื่อหลินเวยได้ประคองหลินเจิ้นลงมาถึง เวินจิ้งก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ
“เสี่ยวจิ้ง ทำไมเธอต้องมาเข้าครัวด้วย” หลินเวยไม่พอใจเล็กน้อย
“ช่วงนี้ฉันให้แม่บ้านหยุดพักผ่อน ให้พวกเขาหนุ่มๆสาวๆทำเถอะ” หลินเจิ้นกล่าว
“คุณปู่ ผมมีความสุขมาก”
เวินจิ้งนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องไปยังเวินจิ้งและหลิงอี้
“เย็นนี้ต้องให้หลิงอี้เข้าครัว ลำบากเธอแล้วหละ” หลินเวยพูดกับหลิงอี้อย่างเกรงใจ
“มีเวินจิ้งคอยช่วย สบายครับ”
เวินจิ้งลดสายตาลง ไม่พูดอะไรสักคำ
เห็นได้ชัดว่าหลินเจิ้นและหลิงอี้มีความสัมพันธ์ที่ดีมาก แม้ว่าการพูดคุยกันส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของธุรกิจ แต่ตระกูลหลินและตระกูลหลิง ทั้งสองเป็นเพื่อนกัน มีความร่วมมือที่แน่นแฟ้นกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว หลิงอี้จึงรู้จักนิสัยและความชอบของหลินเจิ้นเป็นอย่างดี บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นวันนี้ จึงมีความสนิทสนมกลมกลืน
“เสี่ยวจิ้ง โครงการนี้ ปู่ยกให้เธอ เธอจะว่ายังไง”
เวินจิ้งหยุดนิ่งไป ไม่สนใจฟังคำพูดของทั้งสองคน
เธอเงยหน้าขึ้น มองหลิงอี้ด้วยความสงสัย
หลิงอี้จึงพูดขึ้น “ไม่นานมานี้ ผมคิดว่าจะผลิตยาตัวใหม่ เวินจิ้ง เธอมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน และก็ยังเป็นคนของตระกูลหลิน คุณปู่ก็การให้เธอรับผิดชอบในการวิจัยพัฒนานี้”
เวินจิ้งยิ่งสงสัย แต่เธออยู่ที่ประเทศ B แค่สามเดือน
และการวิจัยและพัฒนา ต้องใช้เวลามากแน่นอน
“ฉัน…..”
“หลานเอ้ย ตามีเวลาไม่มากแล้ว กิจการมากมายในบริษัทหลินซื่อ ก็ล้วนแต่ได้หลิงอี้ช่วยดูให้ แต่ สุดท้ายก็จะต้องยกให้เธอทั้งหมด เธอลองรับไปลองดูนะ”
น้ำเสียงของหลินเจิ้นแฝงไปด้วยคำสั่ง
“พ่อ เวินจิ้งยังต้องไปเรียนต่อนะ ความกดดันของเธอจะมากเกินไปหรือเปล่า” หลินเวยขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“เธอไม่ได้เด็กแล้วนะ ทำงานมาสามปีแล้ว” หลินเจิ้นพูดอย่างหนักแน่น
“เวินจิ้ง เธอคิดยังไง” หลิงอี้มองไปยังเวินจิ้ง
เวินจิ้งเม้มปาก แม้ว่าก่อนหน้านี้คุณตาจะเคยพูดกับเธอเรื่องการรับช่วงต่อบริษัทหลินซื่อ แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่พร้อม
และก็ไม่ค่อยจะยินยอม