บทที่ 283 ถอยออกมา
ดูเหมือนว่าจะมองทะลุเห็นถึงความกังวลของเวินจิ้ง หลินเจิ้นพูดด้วยเสียงต่ำ “คนข้างกายที่ฉันไว้ใจมากที่สุดตอนนี้คือเธอนะ เธอมีประสบการณ์ด้านนี้ ยาตัวนี้เป็นยาสำคัญของบริษัทหลินซื่อเมื่อปีที่แล้ว ห้ามมีข้อผิดพลาดเด็ดขาด”
“คุณตาคะ แต่ว่า……”
“ไม่มีแต่ เวลาสามเดือน เพียงพอแล้ว” น้ำเสียงของหลินเจิ้นยากที่จะปฏิเสธได้ เขาพูดต่อว่า “ตอนบ่ายเธอไปหาหลิงอี้ เขาจะพาเธอไปที่ห้องทดลอง”
“แต่ว่าคุณตาคะ หนูอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณตา”
ที่ผ่านมา เธอมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อเรื่องของบริษัทหลินซื่อ
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่า ความตั้งใจของคุณตาอยู่ที่บริษัทหลินซื่อ
“ถ้าเธออยากให้ตาไปดูห้องทดลองด้วยตัวเอง งั้นเธอก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งแล้ว กลายเป็นว่าตาก็อยู่ได้อีกไม่กี่วัน คิดไม่ถึงยังจะต้องมาวิ่งวุ่นเพื่อเรื่องบริษัทหลินซื่ออีก” น้ำเสียงหลินเจิ้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง
เวินจิ้งปวดใจ ทั้งที่รู้ว่าคุณตาใช้วิธีนี้หว่านล้อมเธอ แต่เธอก็ใจอ่อน
“คุณตา หนูไปค่ะ”
“อืม มีเธอช่วยฉัน คอยดูยาตัวนี้ ฉันก็สบายใจแล้ว”
เดินออกจากห้อง สีหน้าเวินจิ้งไม่ค่อยดีนัก
เมื่อกี้ฟังความหมายของหลินเจิ้นแล้ว ชัดเจนเลยว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอหลิงอี้ได้
เธอรู้ตอนนี้ในส่วนอุตสาหกรรมการผลิตของบริษัทหลินซื่ออยู่ในมือของหลินเวย อีกส่วนที่เหลือก็ถูกหลินเจิ้นควบคุมไว้ในกำมือ
แต่ว่าหลินเจิ้นเชื่อใจหลิงอี้มาก ตามด้วยอายุที่ยิ่งมากขึ้น ก็ยิ่งเอางานอุตสาหกรรมการผลิตมอบให้หลิงอี้จัดการชั่วคราว
ถ้าหากมู่วี่สิงรู้ว่าเธอต้องใกล้ชิดหลิงอี้ ต้องโกรธแน่นอน
แต่เธอไม่สามารถปิดบังได้
ไม่มีการลังเล เธอโทรหามู่วี่สิง
ข้างหู เสียงที่น่าดึงดูดของผู้ชายแว่วมา “คิดถึงผม? หืม?”
“มู่วี่สิง ฉันมีเรื่องจริงจัง” เวินจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ยาตัวใหม่ของบริษัทหลินซื่อทางนั้นมีปัญหา คุณตาเลยหวังให้ฉันไปช่วยทำการทดลอง”
“อืม คุณเลยคิดว่าผมจะไม่เห็นด้วย?” มู่วี่สิงฟังน้ำเสียงเธอออก
“ถ้าหาก หลิงอี้ก็อยู่ล่ะ?” เวินจิ้งกระวนกระวาย
“ผมก็ห้ามไม่ได้ ไม่ใช่หรอ?” น้ำเสียงของมู่วี่สิงกลับอ่อนโยน
แต่ถ้าฟังดีๆ ยังมีน้ำเสียงที่โกรธอยู่
เวินจิ้งกัดปาก นี่ก็ไม่ใช่เจตนาของเธอ
“ฉันปฏิเสธคุณตาไม่ได้”
“คุณหญิงมู่ ผมเชื่อใจคุณ แต่คุณต้องภาวนาว่า ผมจะสามารถควบคุมตัวเองได้”น้ำเสียงของมู่วี่สิงเคร่งขรึม
“คุณยังจะทำอะไรอีกหรอ?” เวินจิ้งทำปากจู๋
“พาคุณไป” น้ำเสียงมู่วี่สิงไม่ลังเลเลยสักนิด
เวินจิ้งใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอยังคงเชื่อว่ามู่วี่สิงทำจริง
แม้ว่าเขามักจะมีลักษณะที่อบอุ่นและเป็นผู้ใหญ่ แต่ความเผด็จการนั้นเย็นยะเยือกซึมเข้ากระดูก เธอรู้ดี
“คุณอย่าหึงมั่วซั่วนะ”
“ทำไม่ได้คุณหญิงมู่ข้างกายคุณมีผู้ชายอื่น ผมไม่ยอมง่ายๆหรอก”
“งั้นหลังจากเปิดเทอมแล้ว ฉันยังมีเพื่อนนักเรียนชายล่ะ”
ถึงแม้รู้สึกคาดไม่ถึง แต่ในใจเวินจิ้งมีความสุข มุมปากของเธอค่อยๆมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
“ต้องมีคนตาย”
เวินจิ้งหัวเราะเบาๆ “หยุดโวยวายนะ”
ตอนบ่าย เวินจิ้งมาที่บริษัทหลินซื่อ
หลังจากที่ติดต่อกับพนักงานวิจัยและการพัฒนาของฝั่งนี้แล้ว ก็เดินตรงไปที่ห้องทดลอง
แม้ว่าแต่ก่อนเธอเคยเข้าร่วมการวิจัยและพัฒนายามาก่อน แต่ก็ไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบโดยตรง คุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอยังไม่พอ
แต่ยา“ฮาต๋า”ตัวนี้ของบริษัทหลินซื่อ เวินจิ้งเปิดดูรายงาน ถึงได้เห็นชื่อที่คุ้นเคย——ลู่หวั่น
เธอคือนักวิจัยที่สำคัญของยาตัวนี้
ถึงนึกขึ้นได้ ตระกูลอานก็อยู่ใน ประเทศB งั้นลู่หวั่นก็อยู่
พอเข้าประตู ลู่หวั่นก็เดินมาเผชิญหน้า เจอเวินจิ้ง ก็คาดไม่ถึงอย่างเห็นได้ชัด
เธอดึงหน้ากากลง ผู้ช่วยข้างๆก็แนะนำว่า “ศาสตราจารย์ลู่คะ คนนี้คือเวินจิ้ง บริษัทหลินซื่อส่งคนรับผิดชอบมาค่ะ”
“เวินจิ้ง ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่?” ลู่เหวินพูดอย่างเย็นชา
“ คุณไม่ได้ยินที่ผู้ช่วยบอกหรอคะ ตอนนี้ฉันเป็นคนรับผิดชอบของบริษัทหลินซื่อ ในเมื่อยาตัวนี้บริษัทหลินซื่อเป็นผู้วิจัยและพัฒนาออกมา แน่นอนว่าฉันต้องอยู่ที่นี่”
“คุณไม่ได้อยู่ เมืองหนานเฉิงหรอกหรอ?”
มองดูสีหน้าที่ไม่สบายใจของลู่หวั่น เวินจิ้งหัวเราะเย้ย “ฉันอยู่ที่ไหน คิดว่าน่าจะไม่กระทบกับงานของคุณหนูลู่หรอก”
เธอสวมชุดทดลองเข้าไป ไม่ได้สนใจลู่หวั่นอีก
ตามความตั้งใจของคุณตา ภายในสามเดือนจำเป็นต้องหาปัญหาของยาตัวนี้ที่เกิดในช่วงนี้ให้ได้ ทำการทดลองขั้นตอนที่สี่ และภายในปีนี้ต้องรีบเอายาตัวนี้ออกวางตลาด
ลู่หวั่นมองเวินจิ้งอย่างไกลๆ สอบถามผู้ช่วยข้างๆ “เรื่องนี้ ทำไมฉันถึงไม่รู้?”
“ฉันก็พึ่งจะทราบเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ ผู้อำนวยการพึ่งจะแจ้งให้ทราบค่ะ”
“เธอกับบริษัทหลินซื่อมีความสัมพันธ์อะไรกัน?”
“ฉันได้ยินมาว่า เธอคือหลานสาวของผู้อำนวยการค่ะ”
ได้ยินข่าว ลู่หวั่นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา หลานสาว?
เวินจิ้งกับตระกูลหลินมีความสัมพันธ์แบบนี้กันได้ไง?
เธอเคยตรวจสอบมาก่อนแล้วว่าเวินจิ้งเกิดในครอบครัวธรรมดายิ่งกว่าธรรมดาเสียอีก ไม่มีทางที่จะมีความสัมพันธ์กับตระกูลหลินที่ร่ำรวยสูงส่งได้
แต่ตอนนี้……
“เธอไปตรวจสอบให้ชัดเจน ฉันต้องการข้อมูลที่เกี่ยวกับเวินจิ้งทั้งหมด
ลู่หวั่นมองเวินจิ้งอย่างไม่ละสายตา ในเมื่อเวินจิ้งอยู่ที่นี่ งั้นมู่วี่สิงก็มาด้วยสิ?
แต่ว่า เขาไม่ได้อยากเจอเธอแน่นอน
“ศาสตราจารย์ลู่ ยาผงสองชนิดนี้ห้ามผสมกันนะ……” ทันใดนั้น เสียงผู้ช่วยได้มาขัดจังหวะความคิดของลู่หวั่น
เธอได้สติขึ้นมา แต่เห็นยาที่พึ่งพัฒนาเสียหายไปแล้ว
“ยังมียาตัวใหม่มั้ย?”
“ต้องรอพรุ่งนี้ค่ะ ยาตัวใหม่ถูกเวินจิ้งเอาไปหมดแล้ว” ผู้ช่วยตอบเสียงเบา
ลู่หวั่นชักสีหน้า มองดูเวลา ก็ใกล้ค่ำแล้ว
งั้นก็รอพรุ่งนี้แล้วกัน
ตอนจะออกไป หลิงอี้เดินเข้ามาจากข้างนอก
“คุณหลิงทำไมถึงมาได้คะ?” ลู่หวั่นหยุดเดิน
แม้ว่าหลิงอี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของผู้รับผิดชอบ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเข้าห้องทดลองเลย
“ประธานหลินสั่งให้รีบเข้ากระบวนการพัฒนายาแล้ว ผมเลยมาดูๆ” หลิงอี้ตอบอย่างเย็นชา
พูดจบก็รีบเข้าไปทันที
ในสายตาลู่หวั่น เห็นแต่เขาเดินตรงไปหาเวินจิ้งอย่างเดียว
สายตาของเธอค่อยๆเต็มไปด้วยความเย็นชา
พอเจอหลิงอี้ เวินจิ้งก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “คุณหลิง รบกวนใส่หน้ากากก่อนที่จะเข้ามาด้วยค่ะ”
หลิงอี้ยกริมฝีปากขึ้น “ตอนนี้ก็ดึกมาแล้ว ออกมากับผม ผมจะคุยเรื่องยาตัวนี้กับคุณ”
ตรงข้ามห้องทดลองมีห้องทำงาน เวินจิ้งนั่งบนโซฟา บนมือมีข้อมูลทั้งหมดของ“ฮาต๋า”
“รู้มั้ยว่าทำไมคุณตาของคุณต้องให้คุณเข้าร่วมในการวิจัยและพัฒนายาตัวนี้ให้ได้?” หลิงอี้ถาม
“คุณหลิง ยาตัวนี้วิจัยเสร็จแล้ว ฉันไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการนี้ ตอนนี้ก็ถึงขั้นตอนทดลองแล้วค่ะ” เวินจิ้งรีบแก้คำที่เขาพูด
“นี่ยังวิจัยและพัฒนาไม่เสร็จหรอ? เพียงแค่คุณเข้ามาที่นี่ ก็เป็นส่วนหนึ่ง
ของสมาชิกการวิจัยและพัฒนาแล้ว ผมเชื่อว่ายาตัวนี้หลังจากวางตลาดแล้วต้องดังไปทั่ววงการแพทย์ แต่คุณเป็นตัวหลักของการวิจัยนี้ ต้องสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทหลินซื่อแน่นอน”
เวินจิ้งเม้มปาก เข้าใจความหมายที่หลิงอี้พูดมา
“คุณหลิง ฉันแค่รับปากคุณตาช่วยเขาวิจัยและพัฒนาฮาต๋า ให้สำเร็จแค่นั้น เรื่องที่เหลือ คุณไม่ต้องคิดมากแล้ว”
“ใช่หรอ? คุณแน่ใจว่าตัวเองจะสามารถถอยออกมาเองได้?” หลิงอี้หรี่ตา
“ฉันแน่ใจ” เวินจิ้งตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด