บทที่ 299 ในอนาคต เธอก็ยังเป็นของเขา
เวินจิ้งอารมณ์ขุ่น บ้านของเธอ?
เธอยังมีบ้านอยู่เหรอ?
เธอคิดว่าการ์เด้นมูเจียวานคือบ้านของเธอ แต่ตอนนี้หย่ากับมู่วี่สิงแล้ว เธอก็คงไม่กลับไปแล้ว
ส่วนบ้านตระกูลหลิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นบ้านของเธอเลย
เธอคิดถึงเจี่ยนอี เธอคิดถึงชีวิตที่มีความสุขอย่างเรียบง่าย
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวย แต่อย่างน้อย เธอก็พอใจ
แต่บ้านตระกูลหลิน มันทำให้เธอกดดันอย่างไม่รู้จบ
เธอสามารถทำอะไร ไม่สามารถทำอะไร ทั้งหมดก็โดนวางไว้หมดแล้ว
หลังจากวางสาย เวินจิ้งก็กลับไปที่ถนนอันหนิง
เธอกับมู่วี่สิงก็ไม่มีใครติดต่ออีกฝ่าย ราวกับว่าความสัมพันธ์จะกลับไปเป็นเหมือนปีครึ่งที่ผ่านมา ตอนที่พวกเขายังเป็นแค่คนที่ไม่รู้จัก
ที่แท้ ความสัมพันธ์มันทำลายได้ง่ายจริงๆ
แต่แค่เธอยังมีของอยู่ที่การ์เด้นมูเจียวาน เธอยังต้องกลับไปอีกรอบ
แต่ว่าวันนี้ เวินจิ้งเอาไว้ก่อน
บริษัทมู่ซื่อ
มู่วี่สิงอยู่ที่บริษัทมาทั้งวันทั้งคืนเต็มๆ
เกาเชียนก็ยังอยู่ข้างเขา bossไม่พักผ่อน เขาก็ทำได้แค่ไม่หลับไม่พัก
แต่ว่า เขาก็ยังเป็นห่วงสุขภาพของboss
“คุณมู่ คุณจะไม่กลับบ้านไปพักสักหน่อยเหรอครับ?” เกาเชียนถามอย่างสงสัย
หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ ทำไมถึงไม่มีการตอบสนองของคุณนายมู่แม้แต่น้อยเลยนะ?
bossไปประเทศBเพื่อไปเป็นเพื่อนคุณนายมู่นี่ แต่ดันกลับมาคนเดียว
หรือว่า ทะเลาะกัน?
แต่เขาก็ไม่กล้าเผือก
“นายว่างมากเหรอ?” มู่วี่สิงเงยหน้ามองอย่างไร้อารมณ์
เกาเชียนหุบปากอย่างรู้หน้าที่ แล้วออกไป
อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จริงๆ
ตอนกลางคืน มู่วี่สิงประชุมเสร็จ ในออฟฟิศ มู่เหิงก็มาหา
เขาอยู่ที่หนานเฉิงมาครึ่งเดือนแล้ว
เรื่องบริษัทมู่ซื่อเขาไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย แต่ว่าตระกูลมู่มีสินค้าอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ในมือของเขา
“น้องชายสุดที่รักของฉันกลับมาแล้วเหรอ?” ดวงตาที่เฉียบคมของมู่เหิงหรี่ลง น้ำเสียงล้อเล่น
มู่วี่สิงนั่งลง ราวกับว่าเขาไม่อยู่ในนี้ เพิกเฉยโดยสิ้นเชิง
มู่เหิงชินกับปฏิกิริยาแบบนี้ของมู่วี่สิงแล้ว ก็ไม่โวยวาย แล้วพูดเสียงเข้ม “เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ ฉันจะมาเป็นรองประธานของบริษัทมู่ซื่อ นายไม่ยินดีกับฉันเหรอ?”
พอพูดจบ หน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงในที่สุดก็มีอะไรลอยขึ้นมา
แล้วเปิดอีเมลดูอย่างรวดเร็ว มีประกาศการแต่งตั้ง
คุณปู่ยังเป็นซีอีโออยู่ เป็นเขาที่แต่งตั้งเอง
เขายกยิ้มอย่างเย็นชา “ยินดี”
“ไม่คิดเลยว่า ในที่สุดฉันจะกลับมาที่หนานเฉิงได้” มู่เหิงนอนลงบนโซฟา น้ำเสียงพอใจสุดๆ
“เนื่องจากเป็นรองประธานแล้ว นายก็ติดตามโครงการช่วงนี้เองแล้วกัน ฉันยุ่งไม่มีเวลา” มู่วี่สิงโยนเอกสารหลายฉบับให้
มู่เหิงรับมา “ไม่กลัวว่าฉันทำยุ่งเหรอ?”
“ทำยุ่ง พอดีเลยจะได้ไล่นายออกได้”
“ชิๆ ดูแล้วนายจะไม่ค่อยพอใจที่ฉันมาเป็นรองประธานนะ” มู่เหิงหรี่ตา
มู่วี่สิงไม่ได้ตอบ หยิบเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปจากออฟฟิศ
ความหนาวเย็นของมู่เฟิงค่อยๆ แพร่กระจาย
เมื่อกลับมาถึงบ้านใหญ่ ในบ้านนอกจากมู่เฉิง ยังมีมู่เฟิง และมู่เหิงก็กลับมาแล้ว พักอยู่ที่บ้านใหญ่อย่างปกติ
พอเห็นหลาน มู่เฉิงก็เรียกเขาไปที่ห้องหนังสือ
“หลานสะใภ้ไม่ได้กลับมาพร้อมกับนายเหรอ?”
“พวกเราหย่ากันแล้ว” มู่วี่สิงพูดเสียงเรียบ
มู่เฉิงสีหน้าเปลี่ยน พูดอย่างโมโห “นายกำลังล้อปู่นายเล่นเหรอ!”
แต่เขาไม่เชื่อ
“คุณปู่ พวกเราหย่ากันแล้ว” มู่วี่สิงพูดซ้ำอีกที
มู่เฉิงหน้ามืด เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหลาน ในที่สุดก็เชื่อแล้ว
“ทำไม?”
“ความต้องการของตระกูลหลิน” มู่วี่สิงพูดอย่างกระชับสั้นเรียบง่าย
“หลานสะใภ้ยอม? แล้วนายก็ยอม?” มู่เฉิงถามอย่างไม่ค่อยพอใจ
“เป็นผมที่ยอมเอง สถานการณ์ที่มู่ซื่อยังไม่แน่นอน ผมไม่อยากให้เวินจิ้งมาเอี่ยวด้วย”
ที่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลในเหตุผลแรกๆ ที่เขายอมตกลง
แน่นอนว่า เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องสุขภาพของเธอ
ตระกูลมู่ตอนนี้ สถานการณ์มันซับซ้อนมากเกินไป
ใครก็สามารถใช้เวินจิ้งมาข่มขู่เขาได้
เขาไม่เคยทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย
มู่เฉิงเงียบไป เขาเห็นมู่วี่สิงแต่งงานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อยากจะอุ้มเหลนเร็วๆ ไม่คิดว่าจะมาเจอการเปลี่ยนแปลงแบบนี้
“หย่ากันแล้ว งั้นหลานสะใภ้จะทำยังไง?” มู่เฉิงพอใจเวินจิ้งหลานสะใภ้คนนี้มาก
นอกจาก สถานะของเธอ
พอได้ยิน หน้านิ่งของมู่วี่สิงในที่สุดก็มีการเปลี่ยนแปลง
ในอนาคต เธอก็ยังเป็นของเขา
แต่แค่ ไม่ใช่ตอนนี้
“เธออยู่ที่ตระกูลหลิน”
“คนตระกูลหลิน ฉันดูแล้วไม่ค่อยวางใจ ฉันได้ยินมาว่า คุณท่านตระกูลหลินอยากจะให้หลิงอี้แต่งงานกับเวินจิ้ง” มู่เฉิงก้มหน้าลง
ถึงแม้เขาอยู่ในฐานะเกษียณไปแล้วครึ่งนึง แต่ว่าถ้าอยากรู้เรื่องอะไรสักเรื่อง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“คุณปู่ เรื่องของพวกเราท่านไม่ต้องเป็นกังวลมากไป ผมจะดูแลหลานสะใภ้ของปู่เป็นอย่างดี” ริมฝีปากของมู่วี่สิงยกยิ้ม
……
อยู่ที่บ้านมาสามวันแล้ว เวินจิ้งไม่อยากสั่งอาหารมากินแล้ว ในที่สุดจึงออกจากบ้าน
ขณะนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นฉีเซินที่โทรเข้ามา
เวินจิ้งไม่ได้รับ แล้วตัดสายไป
ตอนที่ไปเดินตลาด แต่ก็ยังเจอฉีเซิน
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรออยู่ ยืนอยู่บนชั้นวางของนั่นตลอด ดวงตาสีดำมองเธอไม่กะพริบ
เวินจิ้งเดินผ่านเลยไป
ฉีเซินก็ตามไปอย่างไม่ลดละ “ฉันได้ยินมาว่าเธอทะเลาะกับแม่ฉัน?”
เวินจิ้งไม่ได้ตอบกลับ
“คุณตาของเธอเหลือเวลาอยู่ไม่มากไม่ใช่หรือไง? ทำไมถึงไม่อยู่เป็นเพื่อนท่าน?”
“เธอก็ทะเลาะกับคุณตาด้วยเหรอ?” ฉีเซินพูดอย่างตกใจ
เวินจิ้งเม้มปาก ในที่สุดก็หยุดเดินอย่างไม่พอใจ
“ฉีเซิน ตอนนี้ฉันไม่อยากจะสนใจนาย”
“ดูแล้วอารมณ์เธอเหมือนไม่ค่อยดี บอกฉันมาสิ ให้ฉันปลอบเธอ?” คำพูดของเวินจิ้งไม่ได้มีผลกระทบกับฉีเซินเลยสักนิด
“ไม่ต้องการ” เวินจิ้งพูดอย่างรำคาญ
“ตั้งแต่เธอกลับมา ฉันก็มารอเธอที่นี่ตั้งหลายวัน เธอจะไม่พูดกับฉันสักประโยคเลยเหรอ?”
“นายอยากจะรู้อะไร ก็ไปถามคุณนายฉีตรงๆ เลยจะชัดเจนกว่า” เวินจิ้งพูดเสียงเข้ม
“ช่วงนี้แม่ฉันไม่ค่อยอยากจะพูดกับฉันเท่าไหร่ จนฉันสงสัยแล้วว่าฉันเป็นลูกชายของเธอจริงมั้ย” ในน้ำเสียงของฉีเซินมีความผิดหวังอยู่เล็กน้อย
ตั้งแต่ยอมรับเวินจิ้งกลับมา หลินเวยก็ไม่ได้เป็นห่วงเขาเท่าไหร่
เอาจริงๆ เขาก็ไม่ค่อยชิน
พอได้ฟัง เวินจิ้งก็ขมวดคิ้ว เพิ่งจะนึกได้ว่าฉีเซินไม่รู้เรื่องฐานะของเธอ
“ฉันจะกลับแล้ว คุณฉี นายอย่ามารบกวนฉันอีกเลย” ออกมาจากตลาด เวินจิ้งก็เดินทางกลับ
ฉีเซินขมวดคิ้ว “พี่สาว ฉันก็แค่อยากจะเป็นห่วงพี่เฉยๆ ช่วงนี้พี่อยู่ที่นี่ หรือว่าทะเลาะกับมู่วี่สิงเหรอ?”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย” เวินจิ้งไม่อยากพูดมาก
ฉีเซินหรี่ตา
ขณะนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเลขาเขาที่โทรเข้ามา
“คุณฉี ตรวจสอบได้แล้วครับ คุณเวินหย่ากับมู่วี่สิงแล้วจริงๆ ครับ”
“เพราะ”
“ขออภัยด้วยครับ เรื่องนี้ผมตรวจสอบไม่ได้ แต่ว่าคงจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของตระกูลหลินนะครับ”
ปากของฉีเซินยกยิ้ม การหย่าไม่ได้เหนือความคาดหมายของเขา ก็แค่ไม่คิดว่า จะเร็วแบบนี้
กลับถึงบ้าน เวินจิ้งตั้งใจอ่านหนังสือต่อ วันที่ไม่มีมู่วี่สิง เพราะการเรียนรู้ดูเหมือนจะยากน้อยกว่าเดิม
ก็แค่ทุกครั้งที่หลับตา ในหัวก็มีแต่ภาพของมู่วี่สิง
หยุดมันไม่ได้เลย
เขาก็เหมือนสารเสพติดของเธอ นั้นยากที่จะเลิก