บทที่341 ถูกทำโทษ
หลิงเหยาเลิกเรียนกลับมาแล้ว เวินจิ้งท่าทางสติลอยออกไป มองดูรูปภาพที่หยุดอยู่บนคอมพิวเตอร์ของเธอ ก็คือข้อมูลการสอนของมู่วี่สิง เธอตบที่หน้าเล็กๆของเวินจิ้งเบาๆ
“หลงรักแล้ว? ”
“พูดบ้าอะไร……ฉันไม่ได้หลงรักสักหน่อย! ”
“คุณไม่ได้ดูรูปของมู่วี่สิง? เจอะเจอะ ถ้าเขาสวมชุดสูทมาสอนล่ะก็ ต้องหล่อระเบิดมากจริงๆ……”
เวินจิ้ง : ……
ในหัวสมองก็เปลี่ยนภาพอีกแล้ว มู่วี่สิงที่ใส่ชุดสูทแล้วตวาดอย่างฉับพลัน ใส่แว่นตาที่ไม่มีกรอบ สายตาเฉียบแหลมทำให้คนหลงใหล สายตาที่กำลังมองมาบนตัวเธอ……
ใบหน้าของเวินจิ้งแดงมากขึ้น……
โอ้พระเจ้า เธอคิดอะไรอยู่เนี่ย!
มู่วี่สิงมาสอนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแม้แต่น้อย!
จำเป็นต้องดูสิ่งอื่นเพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจ!
เธอหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ด้านข้างขึ้น เปิดเบราว์เซอร์ตามอำเภอใจ
สิ่งที่เข้ามาในตากกลับเป็นข่าวการล้มละลายของฉินซื่อกรุ๊ป
เวินจิ้งหยุดชะงักไป อ่านเนื้อหาในข่าว ช่วงนี้ยาสำคัญที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปผลิตในตลาดอัตราลดลง จำนวนต้องการในตลาดลดลง และในขณะเดียวกัน บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปก็เกือบยังผูกขาดตลาดยาโภคภัณฑ์ประสาทและสมอง เรื่องนี้สำหรับบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปนั้น เป็นการโจมตีที่ร้ายแรงมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ในปัจจุบันนี้บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปไม่มีเงินทุนหมุนเวียน บริษัทฉีซื่อกรุ๊ปเฝ้าดูบริษัทนี้อย่างนิ่งดูดาย บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปไม่สามารถอยู่รอดวิกฤตินี้ได้
ล้มละลาย……
เวินจิ้งหน้านิ่งไป คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์นี้จะหนักหนามากเท่านี้
มู่วี่สิงมุ่งเป้าไปยังบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเหรอ?
ถึงแม้จะไม่มีนักข่าวคนไหนกล้าเขียนอย่างนี้โดยตรง แต่ว่าในการรายงานนี้ก็คือความหมายนี้
ในเวลานี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของคนแปลกหน้า
เวินจิ้งขมวดคิ้ว แล้วรับสาย
“เวินจิ้ง แกมันไอ้ผู้หญิงสารเลว! ”ฉินเฟยเปิดปากก็ด่าคนเลย
เวินจิ้งเอาโทรศัพท์ยื่นออกห่าง สูดลมหายใจเข้างึกๆ เธอพูดเสียงนิ่งว่า “คุณหนูฉิน เมื่อไรจะเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ”
“บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปล้มละลายแล้ว แกคิดว่าฉันจะนั่งติดอยู่กับที่ได้เหรอ! ”
“บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปล้มละลายแล้ว มันเกี่ยวอะไรกับฉัน? ” เวินจิ้งพูดอย่างเย็นชา
“เห็นได้ชัดว่ามู่วี่สิงชี้เป้ามาที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ไม่ใช่เป็นเพราะแกเหรอที่แย่รังแตน ”
“แต่ไหนแต่ไรมาบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปก็พึ่งพิงยี่ห้อยาเก่าแก่ของตัวเองมาตลอด หรืออาจจะไปซื้อยาตัวใหม่จากด้านนอกมาขาย ไม่มีการสร้างความสามารถใหม่ใดๆแม้แต่นิด ความต้องการในตลาดลดลง หมุนเวียนเงินยากลำบาก นี่มันควรจะเป็นปัญหาภายในของพวกคุณ ” เวินจิ้งพูดอย่างตรงไปตรงมา
การล้มละลายของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเป็นการโจมตีของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปก็จริง แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือปัญหาภายในของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป
ถึงแม้จะถูกบริษัทฉีซื่อกรุ๊ปซื้อไปในภายหลัง แต่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปก็ไม่ได้แก้ปัญหาตรงนี้
“แกอย่ามาพูดมั่ว เดิมทีบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปยังดีอยู่นะ ”
“บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมีปัญหามาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นแต่ก่อนคงไม่ได้พึ่งพิงบริษัทฉีซื่อกรุ๊ปเพื่อที่จะผ่านความยากลำบากมาได้ ฉินเฟย นี้เป็นความจริงที่คนทั่วไปเข้าใจ ทำไมคุณถึงพูดไม่รู้เรื่อง ” เวินจิ้งพูดอย่างเย็นชา
“เวินจิ้ง……แกพูดอะไร? ตอนนี้แกพูดว่าฉันโง่ใช่ไหม! ”
เวินจิ้งยิ้มหัวเราะเยาะ ไม่อยากที่จะพูดอะไรต่อกับฉินเฟย “ถ้าไม่มีอะไรฉันวางแล้วนะ ”
“เวินจิ้ง……เวินจิ้ง ฉันไม่ให้แกอยู่อย่างมีความสุขแน่นอน! ”
เวินจิ้งวางสายโทรศัพท์ทันที
เวลาเข้าใกล้วันศุกร์เข้าไปทุกวัน ตารางของเวินจิ้งอัดเต็ม วันพฤหัสบดีกลับมาจากโรงพยาบาลก็เขียนรายงานจนดึกดื่น
“พรุ่งนี้คุณจะไปกี่โมงอ่ะ? ”
“ก็ไม่ใช่ไปปกติเหรอ? ”
“คุณนี้โง่จริงๆ คายเรียนของมู่วี่สิง คุณต้องไปจองที่นั่งก่อนซักหนึ่งชั่วโมง ”
เวินจิ้ง : ……
มองดูเวลา ใกล้จะตีสองแล้ว ถ้าไปเร็วก่อนหนึ่งชั่วโมง เจ็ดโมงครึ่งก็ต้องถึงห้องเรียนแล้ว……
“โอเวอร์ขนาดนั้นเลยเหรอ……” เวินจิ้งจับผมอย่างกลัดกลุ้มใจ
“แน่นอน มู่วี่สิงในตอนนี้เป็นที่นิยมในโรงเรียนมากกว่าศาสตราจารย์ไป๋แล้วนะ ฉันได้ยินรุ่นพี่รุ่นทั้งผู้หญิงผู้ชายพูดว่า คาบเรียนของศาสตราจารย์ไป๋ตอนก่อนต้องไปจองก่อนครึ่งชั่วโมงถึงจะของที่นั่งได้ อย่าพูดถึงมู่วี่สิงเลย ”
“งั้นฉันนอนแล้ว……”
กลับคิดไม่ถึงว่า คืนนี้เวินจิ้งหลับลึกมาก วันต่อมานาฬิกาปลุกถึงสองรอบเธอถึงตื่น เพราะฉะนั้นวิ่งไปถึงห้องเรียนก็ประมาณแปดโมงครึ่งพอดีพร้อมที่จะเรียน
เป็นอย่างที่คิดไว้ ห้องเรียนที่นั่งเต็มหมดแล้ว เธอที่เป็นนักเรียนภาควิชาที่แท้ กลับไม่มีที่นั่งแล้วจริงๆ!
ถึงแม้จะยืนอยู่ด้านหลัง แต่ก็จำเป็นต้องฟังการสอน
เพิ่งจะหยิบสมุดออกมา มู่วี่สิงเดินเข้ามาในห้องเรียนอย่างฉับพลัน ถึงแม้ไม่ได้ใส่ชุดสูทที่เคร่งขรึมเมื่อตอนอยู่ที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป แต่เขาในตอนนี้ถึงแม้จะสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเหมือนกัน แต่กลับมีความอ่อนโยนเพิ่มมากขึ้นเยอะเลย
มองเห็นห้องเรียนที่มีคนนั่งเต็ม เขาขมวดคิ้วขึ้นมา
มองแวบเดียวก็เห็นเวินจิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้ว
มองดูรายชื่อที่อยู่ในมือ ในคาบนี้ก็มีนักเรียนแค่ยี่สิบคน
แต่ว่าที่นี่ตอนนี้อย่างน้อยก็มีนักเรียนมากมายร้อยขึ้น
“ไม่ใช่นักเรียนในภาควิชานี้ ก่อนไปก่อน ” น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความเข้มงวดนิดหนึ่ง
ได้ยินอย่างนั้น นักเรียนไม่น้อยค่อยๆแสดงสีหน้าที่ผิดหวังออกมา แต่ความน่าเกรงขามของมู่วี่สิง ก็จำเป็นต้องลุกขึ้น
เดิมทีในห้องที่อัดแน่นไปด้วยคนมีที่นั่งว่างขึ้นมาไม่น้อย
เวินจิ้งเลือกที่นั่งด้านข้างแล้วนั่งลง เธอก้มมองอ่านหนังสือตลอดเวลา
ด้านนอกยังมีนักเรียนที่ยังคงยืนหยัดที่จะฟังอยู่ เพื่อที่จะให้มู่วี่สิงยอมเรียกทุกคนเข้ามา
แต่ว่ามู่วี่สิงก็ไม่ยินยอมอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่เขาสอนล้วนเป็นมืออาชีพ มีแต่นักเรียนที่เรียนภาควิชาประสาทและสมองเท่านั้นถึงจะเข้าใจ เพราะฉะนั้นเลยไม่อยากทำให้คนอื่นเสียเวลา
“ผมเป็นหมอท่านหนึ่ง ถึงแม้จะเรียนจบดอกเตอร์มาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่มีประสบการณ์ในการสอนเมื่อกี้เห็นนักเรียนมากมายขนาดนั้น ทำให้ผมรู้สึกคาดไม่ถึงมากๆ ” มู่วี่สิงเลือกเอกสารที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ไปด้วยและพูดไปด้วย
“ศาสตราจารย์มู่ งั้นพวกเราก็เป็นนักเรียนรุ่นแรกของอาจารย์ซิ? ” มีเพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น
“อืม ก็นับว่าใช่ ผมที่ความเข้มงวดสูง ถึงแม้สัปดาห์หนึ่งจะมีแค่คาบเดียว แต่ว่าในคาบเดียวนี้ก็มีความรู้มากมาย ผมไม่อนุญาตให้คนอื่นมารบกวน ”
“รับทราบ ศาสตราจารย์! ” นักเรียนทุกคนตอบอย่างพร้อมกัน
แม้แต่เวินจิ้งก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว มู่วี่สิงในฐานะศาสตราจารย์ในตอนนี้นั้น สง่างามทำให้คนหลงใหล
ในเวลานั้น เธอก็ดูเหมือนว่าจะใจลอยไปไกล
จนถึงมู่วี่สิงเรียกชื่อเธอ เวินจิ้งถึงจะเรียกสติขึ้นมาได้ เมื่อกี้เธอเหมือนเด็กปัญญาอ่อนที่จ้องมองมู่วี่สิง……
น่าขายหน้าจริงๆ……
“เวินจิ้ง เมื่อกี้ผมวิเคราะห์ยังไง? ” ไม่รู้ว่ามู่วี่สิงเดินมาอยู่ที่ข้างเธอตอนไหน
เวินจิ้งลุกยืนขึ้นอย่างเคอะเขินเล็กหน่อย เงยหน้าขึ้นมา สบสายตาที่เข้มงวดของมู่วี่สิง
เผชิญหน้าเขาอย่างนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะใช้สมองของเธอ……
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก ในตอนนี้สมองว่างเปล่าไปทั้งหมด เมื่อกี้เธอไม่ได้ฟังในสิ่งที่มู่วี่สิงพูดเลยสักนิด
เธอเอาปากกาไปวาดภาพร่างบนสมุดบันทึกอย่างไม่รู้ตัว
กระดาษทั้งใบนั้นเต็มไปด้วยชื่อของมู่วี่สิง
มู่วี่สิงมองเห็นแล้ว เลิกคิ้วเล็กน้อย สายตาที่เย็นชามีความอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย
“ไปยืนด้านหลัง อีกแป๊บหนึ่งเลิกเรียนแล้วไปที่ห้องทำงาน ”
“ค่ะ ” เวินจิ้งตอบรับอย่างเชื่อฟัง
เดินไปด้านหลัง เธอหยิบสมุดขึ้นมาสั่งตัวเองจำเป็นต้องตั้งใจฟัง การพูดของมู่วี่สิงไม่เร็ว อธิบายอย่างมีความอดทน ความรู้ที่ค่อนข้างยากนั้นก็สามารถทำให้นักเรียนเข้าใจได้อย่างง่ายได้
หนึ่งคาบเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ามีนักเรียนไม่น้อยที่อยากจะเรียนต่อ
เวินจิ้งเก็บสมุด คาบเดียวก็จะทำให้สมองระเบิดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะตรรกะการคิดดีก็ยากที่จะดูดซับความรู้ทั้งหมดได้
เธอยังมีความรู้บางอย่างที่ยังไม่เข้าใจ
แต่ว่า ถ้าให้เธอไปถามมู่วี่สิง……ก็ไม่ค่อยอยาก