บทที่343 ศัตรูคนเดียวกัน
“คุณกินเถอะ ฉันไม่กินแล้ว ” เวินจิ้งไม่ได้รับมา
“จริงไหม? แต่ว่าฉันกินไม่หมดนะ……” หลิงเหยาจงใจลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเวินจิ้ง เปิดกล่องออก
กลิ่นนั้นชั่งหอมเหลือเกิน!
เวินจิ้งต้องการเนื้อเป็นอย่างมาก!
ในชีวิตที่เหลือนี้ ไก่ทอดราดซอสถั่วเหลืองกระเทียมเป็นสิ่งที่เธอรักที่สุด!
มู่วี่สิงเข้าใจเธอมากเลย
“ถึงแม้ว่าคุณไม่กิน มู่วี่สิงก็คิดว่าคุณกินแล้ว งั้นก็เทียบไม่ได้ว่ากินแล้ว ” หลิงเหยาพูด
“ไม่กิน ” เวินจิ้งยืนหยัด สีหน้าค่อยๆเคร่งขรึมขึ้น “หลังจากนี้คุณไม่ต้องไปสนใจมู่วี่สิง ”
“ฉันไม่สนใจได้เหรอ? เขาเป็นศาสตราจารย์นะ? ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ศาสตราจารย์ศัลยกรรมทรวงอก แต่ว่าในโรงเรียน แม้แต่ตำแหน่งของเขาคณบดีก็ยังเคารพ ”
“ชั่งเถอะชั่งเถอะ ฉันทิ้งดีกว่า ถ้าพี่ชายฉันรู้ ต้องโกรธฉันแน่เลย ” หลิงเหยาคิดแล้วพูด
เวินจิ้งทำใจให้นิ่ง ดึงความสนใจไปที่การบ้าน
แต่ว่านึกถึงคำพูดที่มู่วี่สิงพูดเมื่อกี้ว่า เหมือนว่าจะให้เธอไปบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปวันจันทร์?
เธอควรจะรีบลืมไปได้แล้ว ไม่ไปแน่นอน!
เธอตั้งยุ่งขึ้นมาให้ได้……
วันต่อมาเป็นวันเสาร์ เวินจิ้งมาเข้าร่วมการค้นคว้าวิจัยยาที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป
ลงมาจากรถสาธารณะ กลับคิดไม่ถึงว่าฉินเฟยจะอยู่หน้าประตู มองเห็นเวินจิ้ง เธอเดินมุ่งตรงมาทางเธอ
เวินจิ้งไม่ได้สนใจเธอ
แต่ว่าฉินเฟยขวางเอาไว้แล้ว เธอจำเป็นต้องหยุดก้าวเท้า
“มีธุระ? ”
“มีธุระ ”
“พูดมา ”
ฉินเฟยหรี่ตา มองพิจารณาเวินจิ้ง “เจอะเจอะ ไม่ใช่หย่ากับมู่วี่สิงแล้วเหรอ? ทำไม ยังจะเข้าใกล้เขามากขนาดนี้อีก? ”
“ฉินเฟย ถ้าคุณอยากจะมานินทาเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องบอก ”
“อารมณ์นี้แตกต่างกันจริงๆ คุณก็รู้สถานการณ์ของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ฉันจะให้มู่วี่สิงช่วยฉัน ” ฉินเฟยพูดอย่างเย็นชา
“งั้นคุณก็ไปคุยกับเขาโดยตรงซิ ” เวินจิ้งขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“ฉันคิดว่า ถ้าให้คุณไปพูด จะง่ายขึ้นกว่าเดิมไหมนะ? ”
เวินจิ้งไม่ได้สนใจเธอ เดินเข้าไปในบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปทันที
ฉินเฟยกลับพูดขึ้นด้านหลังว่า “ปีนั้นเรื่องที่คุณถูกขโมยความคิดวิจัยไป คุณไม่อยากรู้เหรอเบื้องหลังคนคนนั้นคือใคร? ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เวินจิ้งหยุดชะงัก
“ถึงแม้ว่าฉันอยากรู้เรื่องบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปนั้นฉันไม่ช่วยคุณแน่นอน ” เวินจิ้งพูด
เธอกับมู่วี่สิงไม่ได้ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันเหมือนแต่ก่อนแล้ว
อีกอย่างเรื่องที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเกิดเรื่อง เธอก็มีความสุขที่ได้เห็นมัน
บาดแผลที่ฉินเฟยทำกับเธอ เธอไม่มีวันลืม
ด้านหลัง สายตาของฉินเฟยค่อยๆเปลี่ยนเป็นความอาฆาตพยาบาท ดวงตาแดงก่ำ เธอหมุนตัวอย่างไม่พอใจ สบตากับ มู่เหิงที่เดินเข้ามาทางเธอ
“บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปล้มแล้ว มาขอร้องมู่วี่สิง? ” มู่เหิงมองเธอ
ฉินเฟยสูดจมูก มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า
“คุณช่วยฉันได้ไหม? ”
“ตอนนี้ผมอยู่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปก็ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรมาก ช่วงนี้มู่วี่สิงประสบความสำเร็จมาก ” มู่เหิงหรี่ตา
ฉินเฟยรู้โดยอัตโนมัติ
“ในเมื่อบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปล้มละลายแล้ว คุณก็อย่าดื้อรั้นมากเลย หลุดพ้นจากฉีเซินแล้ว งั้นก็มากับผม ”
ได้ยินอย่างนั้น ฉินเฟยก็ประหลาดใจ
แต่ก่อนเธอกับมู่เหิงก็เป็นแค่ความสัมพันธ์ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ผู้ชายคนนี้ ยากที่จะหยั่งรู้ได้
“หรือว่า คนนั้นไม่อนุญาต? ” มู่เหิงเลิกคิ้ว
“ไม่ใช่แน่นอน แต่ว่าไม่มีบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปแล้ว ไม่มีตระกูลฉินแล้ว ฉันไม่ใช่ใครทั้งนั้น ” ฉินเฟยพูดเสียงต่ำ
ตอนนี้เธอไม่มีอะไรอีกอย่างแล้ว
บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปล้มละลาย พ่ออาการกำเริบนอนอยู่โรงพยาบาล แม้แต่ค่ารักษาและยาของพ่อเธอก็ใกล้ที่จะไม่มีปัญญาจ่ายแล้วเลย
คิดไม่ถึงว่าการลงมือของมู่วี่สิงในครั้งนี้จะโหดเหี้ยมมาก
เหอะ
“ใครว่าล่ะ ตอนนี้พวกเราที่ศัตรูคนเดียวกัน ”
ชั้นบนสุดของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป
เกาเชียนเดินเข้ามารายงาน “เมื่อกี้ฉินเฟยเข้ามาแล้ว เธอและคุณเวินได้ปะทะหน้ากันแล้ว ”
“อืม ”
“หลังจากนั้นฉินเฟยก็ได้ขึ้นรถของมู่เหิง ” เกาเชียนมองดูสีหน้าของboss
“มู่เหิงทำอะไรไม่ได้หลอก ” มู่วี่สิงพูดเบาๆ
“แต่ว่า ตอนนี้มู่เหิงมีหุ้นอยู่ในบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปไม่น้อย ” เกาเชียนพูดเตือน
ตอนนี้มู่เหิงเป็นอันตรายที่แฝงเร้นกับบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป อันตรายที่แฝงเร้นนี้มาทุกวัน ไม่มีทางนิ่งสงบใจได้
“วางหุ้นลงไปอีกให้เขาตามซื้อ ”
เกาเชียนยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว
แต่ว่าคำพูดของboss เขาไม่กล้าถามอีก
ตอนค่ำ มู่วี่สิงจบการประชุมแล้ว เดินออกมาถามเกาเชียนที่อยู่ข้างกาย “คนที่อยู่ในห้องทดลองนั้นกลับหมดแล้วหรือยัง? ”
“น่าจะยัง ยังไม่มีรายงานขึ้นมา ” เกาเชียนขมวดคิ้ว ตามข้อเรียกร้องแต่ก่อน การวิจัยในห้องทดลองทุกวันจะต้องส่งรายงานขึ้นมา
แต่ว่าตอนนี้ก็เลยเวลาแล้ว
“ผมจะลงไปดูเดี๋ยวนี้ ”
รู้ว่าเวินจิ้งเข้าร่วมด้วย เกาเชียนเป็นห่วงอย่างมาก
ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไม่อยากคิดถึงผลที่จะตามมา
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว “ผมจะลงไปดูเองโดยตรง ”
พูดเสร็จ ก็ลงไปที่ห้องทดลองเลย
แต่ว่าห้องทดลองมืดไปทั้งหมด ประตูก็ล็อกแล้ว
เขาใช้ลายนิ้วมือของตัวเองปลดล็อก แต่กลับไม่มีการตอบสนองใดๆ
สายตาที่ดุร้ายแพร่ออกไป เขากดโทรหาเวินจิ้งทันที
กลับได้ยินแต่เสียงปิดเครื่องดังกลับมา
เขารีบสั่งเกาเชียนให้รีบเรียกวิศวกรมาทันที และก็ตรวจสอบกล้องวงจรปิดไปด้วย
แต่ว่า หลังจากตอนบ่ายเป็นต้นไปชั้นหนึ่งก็เกิดไฟขัดข้อง สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างใช้ไม่ได้ ตอนนี้ซ่อมวงจรไฟใหม่ถึงจะสามารถเปิดประตูออกมาได้ แต่ว่า วงจรถูกทำลายอย่างหนัก
สาเหตุในตอนนี้……คือกำลังตรวจสอบ
เกาเชียนรายงานเสร็จ ใจเต้นตุ๊บตั๊บไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา
บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปมีมาตรการที่เข้มงวดในการเข้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เวินจิ้งกลับไม่ได้เช็คออก
แต่เพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ทำวิจัยค้นคว้า ออกไปตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่แล้วแล้ว
เกรงใจ……เวินจิ้งจะยังคงอยู่ด้านใน
ตอนนี้แผนกกรรมวิศวกรทั้งหมดส่วนหนึ่งกำลังเชื่อมต่อวงจร และอีกส่วนหนึ่งกำลังพยายามแงะเปิดประตูกระจกอยู่ มู่วี่สิงทำใจรอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว จนไปหยิบค้อนที่อยู่ด้านข้างออก ทุบลงไปอย่างโหดเหี้ยม
ในวินาทีต่อมา ไม่แคร์เศษที่แตกกระจายอยู่ล้อมรอบ เดินเหยียบเข้าไปในห้องทดลอง
ทุกคนมองหน้ากัน การโกรธอย่างถึงขีดสุดของมู่วี่สิงเมื่อกี้ จะระเบิดออกมาทั้งตัวอยู่แล้ว เพิ่งเคยเห็นประธานมู่โกรธอย่างนี้เป็นครั้งแรก……
เนื่องจากไฟถูกตัด มู่วี่สิงเปิดไฟฉายโทรศัพท์ขึ้น ผ่านทุกประตูต้องใช้ลายนิ้วมือ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีไฟ ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
ด้านหลังที่พนักงานที่ค้อนเดินเข้ามา ทุบแต่ละประตูทิ้ง
ท่าทางของมู่วี่สิงทำให้คนหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ดวงตาดำหรี่ลง ถือโทรศัพท์ส่องหาไปทุกที่ แต่ก็กลับไม่เจอเวินจิ้ง
จนมาถึงห้องทดลองสุดท้ายแล้ว
ห้องทดลองนี้ปกติจะไม่ค่อยเปิด ประตูกลับไม่ใช่ประตูกระจก แต่เป็นประตูเหล็ก
ตรงนี้ ช่างแผนกวิศวกรรมทำงานลำบากแล้ว
นี้เป็นการออกแบบพิเศษ ประตูกระจกเมื่อกี้ก็ไม่ใช่ที่จะทุบตีง่ายๆ และนี้เป็นประตูเหล็ก ทำได้แค่เพียงรอไฟแล้วพึ่งลายนิ้วมือยืนยันถึงจะเข้าไปได้
“ประธานมู่……” ผู้จัดการแผนกวิศวกรมองมู่วี่สิงอย่างกลัวๆ
“ต้องรออีกนานไหมถึงจะเชื่อมไฟได้ ” มู่วี่สิงถามอย่างไร้อารมณ์
“ครึ่งชั่วโมง……”
มู่วี่สิงหายใจเข้าลึกๆ จ้องมองที่ประตู ตะโกนเสียงดังว่า “เวินจิ้ง! ”