บทที่ 365 คุณเป็นห่วงผมใช่ไหม (5)
“ตอนนี้ผมต้องไปที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป คุณจะไปกับผมด้วยไหม” มู่วี่สิงเดินมาหา
เวินจิ้งยังคงใจจดใจจ่ออยู่ที่ขาของเขา
“ขาของคุณยังไม่หายดีนี่นา!” เธอขมวดคิ้วอันสวยงามของเธอเข้าด้วยกัน
“หมอพันผ้าพันแผลให้แล้วล่ะ ไม่ได้ขัดขวางการเคลื่อนไหวอะไร”
เวินจิ้งเงียบ
เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อสักครู่นี้ มู่วี่สิงก็หลอกเธอเช่นกัน
เธอในตอนนี้ยากที่จะแยกออกว่าอันไหนจริง อันไหนปลอมกันแน่…….
“ไม่เป็นไรแล้วเหรอ” เวินจิ้งถาม
“ก็พอเดินได้”
เมื่อพูดจบ เขาก็จูงมือเธอไม่ยอมปล่อยโดยทันที
มู่วี่สิงเดินค่อนข้างเร็วมากทีเดียว เวินจิ้งต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินถึงจะตามเขาได้ทัน
“ฉันต้องกลับโรงเรียนแล้วนะ” เมื่อเดินเข้าไปในลิฟต์ เธอเอาแต่ขัดขืนอยู่ตลอดเวลา
แต่ทว่าก็ไม่สามารถสะบัดมือออกมาได้เลย
มู่วี่สิงมองดูท่าทางการเคลื่อนไหวของเธอ สีหน้ามืดหม่นเล็กน้อย
ในตอนนั้น โทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา มู่วี่สิงจึงกดรับสาย
สีหน้าของเขากลับมืดหม่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
เวินจิ้งเองก็ถูกเขาทำให้ตกใจกลัว จนไม่กล้าขยับเขยื้อนใด ๆ ทั้งสิ้น
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
สีหน้าของมู่วี่สิงดูไม่ดีเอาเสียเลย
“ซือซืออยู่ที่บริษัทฉีซื่อกรุ๊ป”
หลังจากออกจากโรงพยาบาล มู่วี่สิงรีบขึ้นรถยนต์อย่างรวดเร็ว ส่วนเวินจิ้งยังคงยืนลังเลอยู่ที่ข้างประตูรถ
เธอเป็นห่วงมู่วี่สิง แต่ว่ามันเป็นเรื่องภายในตระกูลมู่มาเสมอ และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอด้วย
“ขึ้นรถเร็ว เวินจิ้ง มีแต่คุณเท่านั้นที่สามารถปลอบโยนอารมณ์ของผมได้” มู่วี่สิงกล่าวอย่างเย็นชา
หลังจากปิดประตูรถ เวินจิ้งก็ขมวดคิ้วมาตลอดทาง
เธอไม่มีทางที่จะไม่กังวลได้เลยสักนิดเดียว
มู่วี่สิงขับรถด้วยตัวเอง รถเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเวินจิ้งตั้งสติกลับมาได้ ก็เห็นว่าขาทั้งสองข้างของเขากลับเหยียบคันเร่งได้อย่างคล่องแคล่ว
“มู่วี่สิง คุณหลอกฉันจริง ๆ ด้วย!” เวินจิ้งร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจ
ในตอนนี้ เธอมั่นใจอย่างมากเลยว่ามู่วี่สิงไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไรสักนิดเดียว หรือไม่ก็……ได้รับการรักษาจนหายสนิทมาตั้งนานแล้ว
ไม่อย่างนั้นจะคล่องแคล่วขนาดนี้ได้ยังไงกัน
“คุณนายมู่……”
“ฉันไม่ใช่คุณนายมู่!” เวินจิ้งโต้กลับ “พวกเราหย่ากันแล้วนะ!”
เวินจิ้งเน้นย้ำอีกครั้ง
เธอไม่แม้แต่ต้องการจะได้ยินชื่อนี้อีก เพราะมันเตือนให้เธอรู้ว่า เธอชอบผู้ชายไร้ยางอายที่กำลังอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้
“เวินจิ้ง ใจเย็นหน่อย ผมไม่ได้กำลังเล่นละครฉากนี้ให้คุณดู” มู่วี่สิงกล่าวด้วยเสียงเข้ม
“ฉันรู้ดี คุณต้องการให้มู่เหิงนึกว่าคุณกำลังบาดเจ็บสาหัส เมื่อเป็นแบบนี้เข้า เรื่องที่เขาจะเข้ามายึดอำนาจบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปถึงจะถูกเปิดเผยออกมา” เวินจิ้งกล่าวอย่างใจเย็น
ตอนที่เธอสงสัยว่ามู่วี่สิงไม่ได้บาดเจ็บในช่วงแรก ๆ นั้น เธอก็คิดเรื่องนี้ออกนานแล้ว
เพียงแต่ว่าเธอรู้สึกโกรธ…..มู่วี่สิงหลอกเธอมาโดยตลอด ต้องการให้เธอมาดูแลเขา
นัยน์ตาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างช้า ๆ เวินจิ้งเบือนหน้าไปอีกทางด้วยความผิดหวัง
มือถูกใครบางคนคว้าเอาไว้แน่น เธอกลับใช้แรงสะบัดมันออกไป
“เวินจิ้ง คุณกำลังโกรธอะไรอยู่” มู่วี่สิงถาม
“ฉัน….ฉันโกรธที่คุณหลอกฉัน!”
“ผมบาดเจ็บจริง ๆ ”
“คุณหายดีตั้งแต่เมื่อไหร่” เวินจิ้งปาดน้ำตา และจ้องมองเขาโดยไม่กะพริบตา
“เมื่อครึ่งเดือนก่อน”
เวินจิ้งเงียบ
“คุณหลอกฉันมาตั้งนาน!”
“คุณเป็นห่วงผมใช่ไหมล่ะ” มู่วี่สิงมองดูเธอ อารมณ์ตึงเครียดคลี่คลายลงไปมากทีเดียว
“ฉัน….ฉันเปล่าเสียหน่อย” เธอหันหน้าไป น้ำเสียงแข็งกร้าวเล็กน้อย
แต่ทว่าคำพูดประโยคนี้ แม้แต่ตัวเธอก็ไม่อาจหลอกตัวเองได้
ในไม่ช้า รถยนต์ก็เคลื่อนตัวมาถึงยังหน้าทางเข้าบริษัทฉีซื่อกรุ๊ปอย่างรวดเร็ว
ตำรวจหลายนายกลับมาถึงที่นั่นเร็วกว่ามู่วี่สิง ฉีเซินได้โทรแจ้งตำรวจในเรื่องนี้ไว้แล้ว
มู่ซือซือกำลังถูกตำรวจคุมตัวไว้อยู่ไม่ไกลนัก เมื่อเห็นพี่ชายมา เธอไม่อาจอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ จึงไหลรินออกมาท่วมใบหน้า
“พี่……”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว เดินไปหาเธอ สีหน้ามืดหม่นอย่างมาก “ไปทำอะไรมา”
มู่ซือซือกัดริมฝีปาก ขณะที่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ก็ถูกตำรวจพาตัวไปเสียแล้ว
มู่วี่สิงรีบโทรแจ้งทนายความเพื่อให้เขาตามไปเจอในทันที
เมื่อหันไปมองทางเวินจิ้ง เขาจึงเดินเข้าไปหา “ผมจะให้เกาเชียนพาคุณไปส่งที่โรงเรียนก่อน”
“ไม่ต้องหรอก ฉันนั่งรถกลับไปเองเร็วกว่า”
“ถึงโรงเรียนแล้วบอกผมด้วยนะ”
เวินจิ้งตกปากรับคำอย่างเนือย ๆ มองดูมู่ซือซือ และขมวดคิ้วขึ้นมา
หลังจากนั้นไม่นาน ฉีเซินก็ถูกพนักงานกู้ภัยหามออกมา เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก จึงออกไปทางลานจอดรถใต้ดินแทน
เมื่อเวินจิ้งรับสายของหลินเวย ถึงจะรู้ว่าฉีเซินได้รับบาดเจ็บสาหัส
เนื่องจากหลินเวยเพิ่งออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ จึงทำได้แต่เพียงวานให้เวินจิ้งไปช่วยดูอาการของฉีเซินแทน
เธอจึงเปลี่ยนเส้นทาง และตรงไปยังโรงพยาบาลแทน
ณ สถานีตำรวจในเวลานั้น
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง มู่ซือซือจึงถูกประกันตัวออกมา
มู่วี่สิงมีสีหน้าเคร่งเครียด ท่าทางของเขาเยือกเย็นไปจนถึงกระดูก
“บอกพี่มาว่าเกิดอะไรขึ้น”
มู่ซือซือหรี่ตาลง และกระซิบออกมาหลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน “ฉีเซินพักอยู่ที่ชั้นล่างของพวกเรา…..ตอนที่ฉันออกไปแล้วเห็นเขาเข้า จึงตัดสินใจเดินตามเขาไป และอดไม่ได้ที่จะตีเขาไปชุดใหญ่……”
“เธอรู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไปน่ะ!”
“แน่นอนว่าฉันรู้ตัวดี ฉันแค่อดไม่ได้น่ะ…..พี่ ฉันพยายามควบคุมตัวเองอย่างเต็มที่แล้วนะ แต่ว่า….ฉันอยากฆ่าเขาให้ตาย!” แววตาของมู่ซือซือแผ่ซ่านความเกลียดชังออกมา
“กลับบ้านกับพี่ ส่วนเรื่องนี้ พี่จะจัดการให้เรียบร้อยแน่นอน” มู่วี่สิงคว้ามืออันแสนเย็นเยือกของเธอ
มู่ซือซือตัวสั่นเทิ้มอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเธอจะตีฉีเซินไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถสลัดความโกรธออกไปจากใจได้เหมือนเช่นเดิม
จะสลัดออกไปได้ยังไงกัน ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ยังมีโอกาสมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอแล้วละก็ เธอไม่มีทางปล่อยวางทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
“เขาอาจจะฟ้องฉันก็ได้” มู่ซือซือเย้ยหยัน
ตั้งแต่ที่เธอเดินตามฉีเซินไปจนถึงลานจอดรถเมื่อสักครู่นี้ ทันทีที่เธอลงมือตีเขา เธอก็ได้ยินเขาพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว
เขาไม่มีวันปล่อยเธอไว้แน่……
แต่ทว่าในตอนแรกที่ฉีเซินทำร้ายเธอนั้น เขากลับไม่ถูกลงโทษใด ๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้เขากล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงกัน
คนที่ต้องโดยลงโทษคือเขาต่างหากเล่า!
“ไม่มีทาง พี่ไม่มีทางยอมให้เขามีโอกาสทำแบบนั้นแน่” ออร่าของมู่วี่สิงแผ่ซ่านความมุ่งร้ายอย่างมากออกมา
ณ โรงพยาบาล
ฉีเซินอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน เวินจิ้งเพิ่งจะเซ็นชื่อรับรองลงไปในหนังสือแจ้งอาการเจ็บป่วยสำคัญ
เขาถูกตีเข้าที่บริเวณสมอง และกำลังจะได้รับการผ่าตัดในทันที ไม่สามารถล่าช้าได้อีกต่อไป
สำหรับเรื่องนี้ เวินจิ้งเองก็รายงานให้หลินเวยรับทราบแล้ว
“เสี่ยวจิ้ง ลำบากเธอแย่เลยนะ ฉันจะรีบกลับไปภายในเย็นนี้ทันที” หลินเวยกล่าวอย่างตึงเครียด
ถึงแม้ว่าฉีเซินจะไม่ใช่ลูกชายแท้ของเธอ แต่ก็เป็นเด็กที่เธอคอยเลี้ยงดูอยู่ข้างกายมานานหลายปีโดยตลอด ไม่มีทางที่จะเพิกเฉยไม่สนใจได้เลยจริง ๆ
เวินจิ้งพอเข้าใจได้ “ฉันจะคอยเฝ้าอาการของเขาให้นะ”
หลังจากผ่านไปห้าชั่วโมง ฉีเซินถึงจะพ้นจากขีดอันตราย แต่ทว่ายังคงพักอยู่ที่ห้องผู้ป่วยหนัก และไม่รู้เลยว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่
เวินจิ้งยืนอยู่ที่ด้านนอกห้องพัก หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว จึงรีบโทรบอกหลินเวยในทันที เธอฟังออกว่าหลินเวยร้องไห้ออกมาเสียแล้ว เวินจิ้งจึงทำได้แต่เพียงปลอบโยนเธออย่างสุดกำลัง
“เสี่ยวจิ้ง นี่เป็นฝีมือของมู่ซือซือใช่ไหม” หลินเวยถาม
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ไม่ตอบอะไรกลับไป
“ช่างเถอะ รอฉันอยู่ที่นั่นก่อนนะ”
เมื่อวางสายแล้ว เวินจิ้งจึงเงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นมู่วี่สิง ไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง” เวินจิ้งประหลาดใจ
“เป็นเพราะซือซือ” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว
“เขายังไม่ฟื้นเลย เพิ่งออกจากห้องผ่าตัดเมื่อครู่”
“อืม คุณจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขาคืนนี้เหรอ” น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจ
เมื่อปะทะสายตาอันแสนน่ากลัวของมู่วี่สิงเข้า เวินจิ้งสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
เขากำลังโกรธอยู่
“ฉันกำลังรอให้แม่มาที่นี่” เวินจิ้งกล่าว
“เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณเอง” เมื่อพูดจบ มู่วี่สิงจึงนั่งลงที่ข้าง ๆ เธอ
“มู่ซือซือเป็นยังไงบ้าง”
“ใจเย็นลงมากแล้วล่ะ”
จากนั้น พวกเขาทั้งสองคน ก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก
เวลาแต่ละวินาทีผ่านไปเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง หลินเวยก็มาถึงอย่างรีบร้อน
เธอไปพบแพทย์ก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าฉีเซินพ้นขีดอันตรายแล้ว คาดว่าน่าจะฟื้นขึ้นมาพรุ่งนี้เย็นเป็นอย่างช้าที่สุด เธอถึงโล่งใจได้
เมื่อเธอมาถึงยังห้องผู้ป่วย และเห็นมู่วี่สิงเข้า จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ทว่าในตอนนี้ ใจของเธอล้วนแต่กำลังจดจ่ออยู่ที่อาการของฉีเซิน