บทที่ 373 ผมจะแตะต้องเธอ
“ที่นี่มีคนไหม?” มู่วี่สิงตรงมาลากเก้าอี้ข้างๆ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เพื่อนทั้งสองคนตรงหน้าก็ตกตะลึง เมื่อเห็นมู่วี่สิงเดินมา ทันใดนั้นก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่สิ่งที่มากกว่าคือเคารพบูชา
“ประธานมู่ ตอนนี้ไม่มีคนนั่ง” มีเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยปาก
สังเกตถึงกลิ่นอายของมู่วี่สิง เวินจิ้งกัดริมฝีปาก รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
สุดท้ายเธอก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เพื่อนทั้งสองได้สนทนากับมู่วี่สิง และถามถึงเวินจิ้งเป็นครั้งคราว เธอถึงจะสามารถเข้าร่วมการสนทนาได้
จนกระทั่งอาหารของมู่วี่สิงถูกเสิร์ฟมา
ได้สั่งก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีกเหมือนของเวินจิ้ง
ไม่เอาเผ็ด ซีอิ๊วเยอะ
นี่ไม่ใช่รสชาติที่มู่วี่สิงชอบ…
เวินจิ้งขมวดคิ้ว อยากจะเพิกเฉย
แต่เพื่อนตรงข้ามสังเกตพบ พูดอย่างไม่คาดคิด “รสนิยมของประธานมู่และเวินจิ้งเหมือนกัน!”
มู่วี่สิงยกมุมปากขึ้นบางๆ “ก็ไม่เลว”
เวินจิ้ง: …
เธอไม่ยักจะรู้ว่ามู่วี่สิงก็หันมาชอบรสชาติแบบนี้แล้ว เขาชอบจืดๆหน่อย พวกซีอิ๊วเหล่านี้แทบจะไม่วางไว้บนโต๊ะให้เห็น
แต่ตอนนี้…
เวินจิ้งไม่ได้คิดอะไรมาก อยากรีบกินให้เสร็จแล้วขึ้นไปข้างบนก่อน
เพื่อนทั้งสองถามมู่วี่สิงแต่เรื่องความรู้ในอาชีพของเขาตลอด เวินจิ้งทานเสร็จก็ไปก่อน
มู่วี่สิงกลับเรียกเธอไว้
“เวินจิ้ง เดี๋ยวมาที่ห้องทำงานของฉันหน่อย”
“ประธานมู่ มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?” เวินจิ้งหยุดชะงัก
“เรื่องงาน” คำพูดของมู่วี่สิงรัดกุม ไม่ได้พูดอะไรเยอะ
ในที่สุดเพื่อนทั้งสองก็พบเบาะแสบางอย่าง และสายตามองไปที่มู่วี่สิงและเวินจิ้ง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรในตอนนี้
มู่วี่สิงคือเจ้านาย และก็เป็นอาจารย์ของเธอ เวินจิ้งแทบจะไม่สามารถไม่ฟังเขาได้
เดินตามมู่วี่สิงมาตลอดทางที่ชั้นบนสุด สีหน้าของเวินจิ้งซีด
ในที่สุดใบหน้าของมู่วี่สิงก็นิ่งอยู่หน้าเดียว ไม่ได้ช่างพูดเหมือนเมื่อตอนที่อยู่ที่ร้านอาหารเมื่อครู่
เมื่อเข้าไปที่ห้องทำงาน ผู้ชายได้เข้าไปอยู่ในโหมดของการทำงาน มีผู้บริหารไม่น้อยรอรายงานอยู่ด้านนอก แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป
เวินจิ้งเดินตามมู่วี่สิง ยืนอยู่ห่างจากเขากี่เมตร
“ประธานมู่ มีธุระอะไรให้ฉันจัดการเหรอคะ?” เวินจิ้งถามอย่างมีมารยาท
“เดี๋ยวช่วยฉันบันทึกรายงานการประชุม” มู่วี่สิงโยนสมุดจดบันทึกให้เธอโดยตรง
เวินจิ้ง: …
“คุณมีผู้ช่วยเกาไม่ใช่เหรอ?”
“เดี๋ยวเขาต้องไปสถานีตำรวจไปจัดการคดีของมู่ซือซือ” มู่วี่สิงพูดเสียงเยือกเย็น
“แล้วคนอื่นๆล่ะ?” บนหน้าของเวินจิ้งเขียนคำต่อต้านอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่วี่สิงเงยหน้าขึ้น สายตาเยือกเย็นมาก
เย็นจนทำให้เวินจิ้งตัวสั่น ไม่กล้าพูดอีก
เธอนั่งข้างๆ ผู้บริหารหลายคนเข้ามารายงานสถานการณ์การขายยาตัวใหม่หลายตัวของช่วงนี้
เมื่อก่อนเวินจิ้งได้ทำงานข้างกายของมู่วี่สิงเป็นระยะเวลานาน เรื่องเหล่านี้ทำได้เรียบร้อยดี แม้ง่ายตัวใหม่ของบริษัทมู่ซื่อในปัจจุบันดูเหมือนจะมีโมเมนตัมที่ดี ยอดขายเพิ่มขึ้นตลอด แต่เหมือนว่าจะมียาตัวใหม่ในตลาด และค่อยๆครองตลาดนี้
“เรื่องนี้วันนี้จำเป็นต้องตรวจสอบออกมาให้ได้ ฉันต้องการรายละเอียดของยานี้” มู่วี่สิงพูดเย็นชา
ทุกคนผงกหัว ไม่นานห้องประชุมก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง
เวินจิ้งนำบันทึกรายงานการประชุมเรียบเรียงให้เรียบร้อยแล้วยื่นให้มู่วี่สิง เสียงมือถือของเขาดังขึ้น เธอจึงยืนอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ
สายที่โทรเข้าคือเกาเชียน มู่วี่สิงกดเปิดลำโพง ยืนหันหลังให้เวินจิ้งแล้วผะนหน้าไปทางหน้าต่าง
เสียงของเกาเชียนดังออกมาจากมือถืออย่างชัดเจน “ประธานมู่ ทางตำรวจตอบกลับมาว่า ฉีเซินได้ยกฟ้องคดีแล้ว”
มู่วี่สิงไม่เอะใจเลย สั่งไปสองสามคำจากนั้นก็วางสาย
“ออกไปเถอะ” เดินมา มู่วี่สิงคับสมุดจดบันทึกจากมือเวินจิ้ง
เวินจิ้งพยักหน้า โดยไม่รู้ตัว เธอเงยหน้าขึ้นมามองมู่วี่สิง
ระยะประชันชิดนี้ เธอเห็นใบหน้าความเหนื่อยที่ปิดไม่มิดของเขาอย่างชัดเจน
กี่วันมานี้ เขาคงไม่ค่อยได้พักผ่อน
ระหว่างที่กำลังเหม่อลอย มู่วี่สิงหันหัว ทันใดนั้นก็สบตากับเวินจิ้ง
เธอรีบหลบสายตา แล้วหันกลับไป แต่กลับถูกมู่วี่สิงกอดไว้อย่างแน่นหนา
เธอดิ้นรน แต่ไม่สำเร็จ
มู่วี่สิงพูดที่ข้างหูของเธอด้วยน้ำเสียงที่ลงต่ำ “อย่าดิ้น ให้ฉันโอบกอด”
เวินจิ้งหยุดชะงัก ร่างกายยังคงแข็งทื่อ
ไม่นานมู่วี่สองก็ปล่อยเธอ เวินจิ้งแทบจะวิ่งออกไป
เข้าใกล้มู่วี่สิงเมื่อไหร่ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุม
ปราสาทตระกูลหลิน
ช่วงนี้หลินเวยพักอยู่ที่นี่ ไม่ได้กลับไปตระกูลฉี
รถสปอร์ตสีน้ำเงินเบรกอยู่ตรงประตู ฉีเซินลงจากรถด้วยความโมโห
พ่อบ้านไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ ทำได้เพียงรีบวิ่งไปรายงาน
หลินเวยกำลังซ้อมเปียโนในห้องเปียโน เพลงที่ไพเราะต้องหยุดลงเพราะฉีเซินบุกเข้ามา
เธอหันหัว หว่างคิ้วขมวดเข้าหากัน
“แม่ วิธีการของคุณหยาบคายจริงๆ!” ในน้ำเสียงของฉีเซินมีความเกลียด เพื่อไม่ให้เขาฟ้องมู่ซือซือ หลินเวยได้ข่มขู่ทนายของเขาให้ล้มเลิกการดำเนินคดี
เมื่อตอนที่เขารู้เรื่องนี้ ก็สายเกินไปแล้ว ตำรวจได้ตอบรับแล้ว
ในที่สุดสีหน้าของหลินเวยก็เรียบเฉย “ฉันกำลังช่วยแก”
“หากแกไม่กังวลว่าสักวันฉันต้องตายอยู่บนถนน แกก็ปล่อยคนของตระกูลมู่อีกครั้ง!”
“เรื่องของมู่ซือซือ ไม่ควรจัดการแบบนี้”
“ให้เธอติดคุก เรื่องนี้อาจเป็นร้อย!”
“ฉีเซิน ฟังฉัน ตระกูลมู่ในตอนนี้ไม่ใช่ตระกูลมู่ในตอนนั้นแล้ว แกสู้เขาไม่ไหว” หลินเวยพูดเงียบๆ
บางเรื่อง เธอมองได้อย่างชัดเจน
แต่ฉีเซินมักหมกมุ่นอยู่เสมอ
เขาทำร้ายตัวเองเท่านั้น
นี่เป็นภาพที่หลินเวยไม่ต้องการเห็น
“ไม่ ผมจะเอาชนะตระกูลมู่ได้แน่นอน” ฉีเซินพูดสัญญาอย่างแน่วแน่
“เรื่องปีนั้น เป็นแกที่ผิด”
“นั่นเป็นอุบัติเหตุ!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉีเซินแทบจะตีโพยตีพาย
เรื่องที่เขาทำกับมู่ซือซือแบบนั้นได้ เป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เขาไม่แบกมันไว้หรอก!
“นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้ตระกูลมู่ ไม่ใช่คนที่เราจะสามารถไแต่อกรด้วยแล้ว” หลินเวยพูดเน้นๆ
เดิมทีคนของตระกูลฉีก็เบาบางมากแล้ว กองกำลังค่อยๆลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยอาศัยการสนับสนุนจากตระกูลหลินเท่านั้น
และตอนนี้หลินเจิ้งก็ได้จากไปแล้ว บริษัทหลินซื่อมีหลินเวยดูแลรับช่วงต่อ แต่ท้ายที่สุดยังไงก็เทียบกับตระกูลมู่ฝนตอนนี้ไม่ได้เลย
มู่วี่สิงคนนี้ อันตรายและน่ากลัว ทุกคนกลัว
“แม่ จะจัดการกับตระกูลมู่ จัดการแค่กับมู่วี่สิงก็พอแล้ว จุดอ่อนของเขา ก็คือเวินจิ้ง” ฉีเซินหรี่สายตาอย่างเยือกเย็น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหลินเวยก็ซีดขาว
“อย่าแตะต้องลูกสาวของฉันเด็ดขาด!”
“แม่ ผมก็เป็นลูกชายที่คุณเลี้ยงดูมาจนโตนะ แม้ว่า จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่คุณก็ไม่ควรลำเอียงขนาดนี้ ใช่ไหม?” วินาทีนี้ สายตาของฉีเซินน่ากลัวมาก
ถูกทำลายโดยความเกลียดชังอย่างสมบูรณ์
หลินเวยใจเย็นมาก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
เธอรู้จักฉีเซินเป็นอย่างดี เมื่อเขาตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้
“หากแกกล้าแตะต้องเวินจิ้ง ก็อย่าหวังว่าต่อไปฉันจะสนับสนุนในสิ่งที่แกจะทำ” หลินเวยพูดอย่างโหดเหี้ยม
สิ่งเดียวที่เธอกังวลก็คือเวินจิ้ง
เธอไม่ได้อยู่ข้างกายเธอมาหลายปี เธอเพียงแค่ต้องการชดเชยให้เธอ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ควรให้เธอถูกทำร้าย
“ผมจะแตะต้องเธอ” ฉีเซินพูดด้วยเสียงเยือกเย็น