บทที่ 389 มีปีกก็หนีไม่พ้น
เพิ่งกลับมาถึงบริษัทมู่ซื่อ มีสายจากมู่เฉิงโทรเข้ามา
“แกไม่ได้ทานข้าวกับปู่คนนี้มานานแล้ว ฉันดูแล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยยุ่ง” น้ำเสียงของมู่เฉิงไม่ค่อยพอใจนัก
“คุณปู่ เย็นนี้ผมไป” มู่วี่สิงพูด
“อืม ช่วงนี้การแต่งตั้งของมู่เหิงลงมาแล้ว แต่เขาเลื่อนออกไม่ได้ไปแอฟริกา เขากำลังทำอะไร?”
ช่วงนี้ที่อยู่ของมู่เหิงก็แปลกมาก คุณปู่คนนี้อะไรก็ตรวจสอบไม่ได้
“เขา?” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว “ช่วงนี้เขาเดินใกล้กับฉีเซินมาก”
“ไอ้เวร เขาจะต่อต้านจริงๆเหรอ ไม่เอาตระกูลมู่ของเราอยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม!” มู่เหิงโกรธมาก
“คุณปู่ ผมจะจัดการกับเขาเอง รอไม่นาน” น้ำเสียงของมู่วี่สิงเยือกเย็นมาก
“ยังไงเขาก็เป็นคนของตระกูลมู่” มู่เฉิงใจร้อน
ทำไมถึงมีปัญหามาถึงขั้นนี้
“คุณปู่ ผมลืมไม่ลง ว่าเขาฆ่าแม่ด้วยตัวเอง”
เมื่อพูดคำนี้ออกไป มู่วี่สิงก็กดวางสาย
ความเจ็บปวดท่วมท้นบนใบหน้า เกิดขึ้นในตอนนี้
ไม่นาน เกาเชียนเข้ามารายงาน
“ประธานมู่ สาขาที่เมืองเป่ยเฉิงมีปัญหานิดหน่อย..”
มู่วี่สิงดูอีเมล์ที่เพิ่งส่งเข้ามาเมื่อครู่ ใบหน้าเย็นชามาก
“จัดเครื่องบินส่วนตัวตอนนี้”
ตกกลางคืน หนานเฉิงถูกปกคลุมไปด้วยเงาที่สดใส
รถสีขาวหนี่งคันค่อยๆจอดลงหน้าทางเข้าโรงพยาบาลหนานเฉิง
เวินจิ้งเพิ่งปิดไฟ เสียงฝีเท้าที่ไม่รู้จักเดินมาจากที่ไม่ไกล ตัวเธอแข็งทื่อไปหมด
เธอเปิดไฟใหม่อีกรอบ สายตาจ้องมองไปที่ประตูที่ปิดสนิท ช่วงเวลาที่เปิดออก เธอตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นหลี่ซาน เวินจิ้งถึงจะโล่งอก แต่หัวใจมักมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่เสมอ
“คุณเวิน น้ำเกลือของวันนี้ยังมีอีกขวด”
เวินจิ้งประหลาดใจ มือก็กำไว้
“ฉันเตรียมตัวนอนแล้ว ต้องเติมนานเท่าไหร่”
“แป๊บเดียว ภายในครึ่งชั่วโมง” หลี่ซานพูด
ฉีดยาเสร็จ หลี่ซานเก็บของเสร็จก็ออกไป ภายในห้องผู้ป่วยมีเพียงเวินจิ้ง
เธอมองไปยังขวดยาที่ไม่รู้จัก หัวสมองแวบเข้ามา ครู่เดียวก็แกะสายน้ำเกลือออก
ผ่านไปไม่กี่วินาที ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง สายตาของฉีเซินตกลงมาที่ร่างที่ผอมบางของเวินจิ้ง
เธอนอนอยู่บนเตียง หลับตาอยู่ ใบหน้าขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด
เดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว เขาอุ้มเธอแนวนอน
ร่างของเวินจิ้งแข็งทื่อ รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายคนข้างๆที่ไม่แตกต่าง เธอไม่รู้ว่าเป็นใคร หัวใจเต้นเร็วมาก กลับต้องแสร้งทำเป็นนอนหลับสนิท
ประตูลิฟต์เปิดออก ฉีเซินอุ้มเวินจิ้งออกไป ไม่ไกลนักก็เป็นประตูด้านข้างของโรงพยาบาล
เวินจิ้งลืมตาขึ้นเล็กน้อย มองไปรอบๆ ใกล้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว
มือค่อยๆยกขึ้นมา เธอพยายามใช้แรงผลักฉีเซินออก ใช้โอกาสตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัวออกจากอ้อมแขนของเขา
ฉีเซินขมวดคิ้ว ตอบสนองกลับมา หรี่สายตาเยือกเย็น
เวินจิ้งวิ่งได้ไม่เร็ว และก็ไม่ได้สวมรองเท้า วิ่งไปไม่ถึงไหนก็ต้องสะดุดล้ม
ฉีเซินยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ริมฝีปากยกขึ้นมายิ้มอย่างเยือกเย็น
“ไม่คิดว่าเธอแกล้งหลับ”
เวินจิ้งจ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ต้องการลุกขึ้นมา แต่เวียนหัวมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเวียนหัวมาก
และฉีเซินอุ้มเธอขึ้นมาอีกครั้ง เร่งฝีเท้าไปที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
“นายจะพาฉันไปไหน?” เธอพยายามใช้แรงกว่าจะพูดประโยคนี้ออกมา
ฉีเซินสั่งคนขับให้ออกรถ ลดตาไปมองเวินจิ้ง น้ำเสียงเย็นชามาก “มู่วี่สิงหาที่อยู่ของเธอไม่เจอ”
“นายต้องการใช้ฉันเป็นเครื่องมือข่มขู่เขา?” เวินจิ้งคิดได้อย่างรวดเร็ว
“ผู้หญิงฉลาด”
เวินจิ้งยิ้มอย่างเยือกเย็น “ฉันกับเขาไม่มีความรู้สึกอะไรกันอยู่แล้ว ไม่มีผลกระทบต่อการข่มขู่ของนายหรอก”
“ใครจะรู้ เขาส่งเธอมาอยู่ที่โรงพยาบาลหนานเฉิง พอเห็นได้ว่าสำหรับเขา เธอมีความสำคัญมากพอ”
เวินจิ้งเงียบ เธอไม่รู้ความตั้งใจของมู่วี่สิงมาโดยตลอด ตอนที่เขาเน้นย้ำสามครั้ง คือการปกป้องเธอ
หรือว่า เพื่อป้องกันจากฉีเซิน?
ระยะนี้สถานการณ์ของบริษัทฉีซื่อมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ตระกูลหลินก็ไม่สามารถช่วยได้ ฉีเซินเพียงแค่อยากให้มู่วี่สิงปล่อยเขาไป?
หัวสมองของเวินจิ้งมีความคิดต่างๆวนเวียนเข้ามา แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ยังไงก็จำเป็นต้องออกไปจากผู้ชายคนนี้ แต่รถค่อยๆขับไปที่ชานเมือง
“กลัวเหรอ?” มองใบหน้าที่ซีดขาวของเวินจิ้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของฉีเซินลึกเข้าไปอีก
“ใช่”
แม้แต่ร่างกายของเธอก็สั่นเทา
ในหัวสมองนึกถึงตอนที่อยู่โรงพยาบาล หลี่ซานเติมสายน้ำเกลือให้เธอ
น่าจะมีผลต่อการถูกสะกดจิต
เธอเป็นคนของฉีเซิน
แต่หลี่ซานทำงานกับมู่วี่สิงมานานแล้ว
“กำลังคิดอะไรอยู่?” บีบคางของเธอ ฉีเซินไม่ค่อยพอใจ
ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยมองหน้าเขาตรงๆ
กำลังคิดถึงมู่วี่สิง?
เมื่อนึกถึงเช่นนี้ ความโกรธในร่างกายของเขากำลังจะระเบิดออกมา
“ไม่เกี่ยวกับนาย” น้ำเสียงของเวินจิ้งเย็นชา
“หากเธอทำตัวดีกับฉันหน่อย ชีวิตในวันหน้าจะดีไม่น้อย” ฉีเซินข่มขู่
เวินจิ้งเงียบ สีหน้ายังคงเย็นชาใส่ฉีเซินตลอด
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถจอดอยู่ตรงหน้าประตูของวิลล่าหลังหนึ่ง
รอบๆมีหญ้ารกร้าง เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนมาดูแลนาน
เวินจิ้งถูกฉีเซินลากเข้าไปประตู ข้างหลังมีบอดี้การ์ดตามมาหลายคน
เธอยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ปวดหัวมากเป็นครั้งคราว เหมือนถูกอะไรมาทับ แต่รายงานทางกายภาพประจำวันนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ
สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของเวินจิ้ง ฉีเซินหยุดฝีเท้า หันมาพยุงเธอไว้
“ไม่สบายมาก?” น้ำเสียงเป็นห่วงของเขาปิดไม่มิด
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ส่ายหัว วินาทีต่อมายืนไม่ไหว หนักตามาก เหมือนจะเป็นลม
ฉีเซินเดินข้าไปที่ห้องครัวเอาน้ำมาให้เธอ ยาเม็ดสีขาวละลายในน้ำ
เวินจิ้งพยายามลืมตา ในสายตาฉีเซินกำลังจะป้อนเธอดื่มน้ำ เธอดันออกอย่างรำคาญ แก้วน้ำหล่นลงพื้น ทันใดนั้นสีหน้าของฉีเซินเย็นลงครู่หนึ่ง
เขาไปตักน้ำมาใหม่อีกครั้ง เวลานี้เวินจิ้งมีสติมากขึ้น มองเขาด้วยสายตาเย็นชา สุดท้ายก็ไม่ได้รับแก้วน้ำจากมือของเขา
“เธอแน่ใจว่าจะไม่กินไม่ดื่ม?” ฉีเซืนหรี่สายตาอย่างแหลมคม
เวินจิ้งหันไปทางอื่น ไม่สนใจเขา
มองไปรอบๆ ทุกมุมมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน เธอมีปีกก็หนีไม่พ้น
“ง่วงรึยัง?” เป็นเวลานานกว่าสีหน้าของฉีเซินจะอ่อนโยนลง “ข้างบนมีห้อง เธอพักผ่อนดีๆได้”
“ได้” เวินจิ้งตอบ แล้วขึ้นไปชั้นบน
เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับฉีเซิน เธอต้องหาวิธีหนีออกไปให้ได้
แต่เมื่อเพิ่งเข้าไปที่ห้อง ฉีเซินกลับตามเธอขึ้นมา
เวินจิ้งถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธ “นายออกไป”
“ฉันให้เธอขึ้นมาพักผ่อน แต่ไม่ได้พูด ว่าให้เธออยู่คนเดียว” ฉีเซินหรี่สายตา
“มีคนเฝ้าเยอะขนาดนี้ นายคิดว่าฉันจะหนีออกไปได้เหรอ?” เวินจิ้งพูดประชด
ที่นี่และข้างนอก อย่างน้อยก็มีคนนับสิบเฝ้าอยู่
“ฉันอยากอยู่ข้างๆเธอ” ฉีเซินพูด
เมื่อได้ยินที่พูด เวินจิ้งก็ยิ่งยิ้มอย่างประชด “ฉีเซิน อย่ารังเกียจฉัน”
สายตาที่เกลียดชังของเวินจิ้งมองไปที่ฉีเซิน ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ลึกลงทันที
“ช่วงเวลานี้ เราไม่สามารถพูดด้วยกันดีๆได้เลยเหรอ?”
“นายคิดว่าฉันจะสามารถพูดคุยดีๆกับคนที่ลักพาตัวฉันเหรอ?” เวินจิ้งยิ้มอย่างเย็นชา