บทที่ 399 ฉันต้องการให้คุณแต่งงานกับฉัน
“เธอสบายดีไหม?” หลิงอี้โทรสายตรงมาหา
“ดูไปก็โอเคนะ แต่ในใจยังคงอึดอัดน่าดู”
“ดูแลเธอให้ดีๆนะ”
“จ๊ะพี่ชาย ฉันรู้สึกราวกับว่าตั้งแต่เริ่มเรียนมาจนถึงตอนนี้ เวินจิ้งดูเหมือนจะมีแต่ปัญหาไม่จบไม่สิ้น?”
“เธอไม่ควรเข้ามหาวิทยาลัยหลินไห่เลย”
“ทำไมหรือ?”
หลิงอี้ไม่ตอบ มีเรื่องบางเรื่อง เขาก็ไม่ได้รู้อะไรมากมาย
“ดึกแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”
หลิงเหยาดูเหมือนจะถูกตัดสายโทรศัพท์ จึงไม่ค่อยพอใจนัก
พี่ชายทำพูดอะไรครึ่งๆกลางๆ……
วันรุ่งขึ้น เวินจิ้งตื่นแต่เช้า
ไป๋สือกลับมาแล้ว เธอก็จะตามเขาไปเป็นนักศึกษาฝึกงาน
มาถึงโรงพยาบาลแต่เช้า เวินจิ้งรู้สึกขัดต่อสถานที่นี้เล็กน้อย
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อตอนนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา เย่เฉียวยิ่งไม่ได้เป็นศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาด้วย ผู้ป่วยหันกลับไปที่ไป๋สืออย่างรวดเร็ว
พอเห็นเวินจิ้ง ใบหน้าของเขาก็อึมครึมมาก
“ไป๋สือ ทำไมคุณไม่พาเวินจิ้งมาด้วย”
“เขาเป็นลูกศิษย์ฉัน”
“เธอมีพฤติกรรมที่ไม่ดี อธิการบดีต้องการให้เธอออกจากมหาวิทยาลัย”
“ศาสตราจารย์เย่คะ ฉันยังไม่ถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัยค่ะ ฉันจึงยังมีคุณสมบัติที่จะอยู่ที่นี่” เวินจิ้งตอกกลับอย่างเย็นชา
เย่เฉียวพูดอย่างเฉยเมย “ดูสิดูท่าทีแบบนี้ เป็นนักศึกษาควรมีท่าทีแบบนี้หรือ”
ก็ศาสตราจารย์เย่ไม่เคารพฉันก่อนนี่ ฉันไม่คิดว่าท่าทีของฉันจะมีปัญหา
“นี่เธอ เวินจิ้ง……”
“เอาล่ะ เย่เฉียว ฉันจะรับช่วงต่อผู้ป่วย ช่วงนี้ต้องรบกวนคุณแล้ว” น้ำเสียงของไป๋สือก็เยือกเย็นเช่นกัน
เย่เฉียวแบกหน้าอันเฉื่อยชา และรีบปิดประตูออกไปอย่างรวดเร็ว
เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วมุ่งเน้นไปที่งานที่ทำอยู่ในมือ
เมื่อเธอเดินออกจากผู้ป่วย ก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา “เธอคือเวินจิ้ง?”
“สวัสดีค่ะ ใช่ค่ะ……”
ยังพูดไม่จบคำ ผู้หญิงคนนั้นก็ได้ผลักเวินจิ้งออกไปอย่างแรง “เธอเป็นผู้ช่วยที่ไม่มีจรรยาบรรณ เธอเป็นคนทำร้ายอาเฉิงของพวกเราทำให้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา……”
เวินจิ้งสีหน้าซีดลง ใช้แรงเกาะฝาผนังพยุงตัวลุกขึ้นมา แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ดูประหนึ่งเหมือนเป็นคนบ้า ยังอยากจะผลักเวินจิ้งให้ล้มลงไปอีก
เวินจิ้งยืนมั่น แล้วหยุดยั้งท่าทีของผู้หญิงคนนั้นไว้ “ฉันขอโทษจริงๆที่ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุในตอนนี้ แต่ก่อนที่เรื่องนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบให้ละเอียดชัดเจน ขอความกรุณาได้โปรดใจเย็นๆก่อน”
“จะให้ฉันใจเย็นได้อย่างไร ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว มันเป็นความผิดพลาดของผู้ช่วยอย่างเธอที่ทำให้ลูกชายของฉันต้องติดเชื้อ เธอนั่นแหละ”
เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังมาก ใช้เวลาไม่นานนักผู้คนจำนวนมากมุงดูกันเต็มระเบียง ทุกคนจ้องแต่เย้ยหยันเวินจิ้ง
“เป็นเธอเหรอเนี่ย……ฉันได้ยินมาว่าเธอเอามีดผ่าตัดที่ยังไม่ผ่านการฆ่าเชื้อเข้าไปในห้องผ่าตัด……”
“จริงหรือนี่ โรงพยาบาลหลินไห่เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในประเทศจีน ทำไมถึงปล่อยให้คนแบบนี้อยู่ในโรงพยาบาลได้อย่างไร”
“เธอยังเป็นนักศึกษาอยู่ด้วย แต่คาดว่าเป็นนักศึกษาฝึกงาน ชั่งทำร้ายคนอย่างไม่น้อยจริงๆ……”
“……”
เสียงของการสนทนารอบตัวยังคงดังก้องอยู่ในหู เวินจิ้งพยุงตัวเกาะฝาผนังไว้ เบื้องหน้าเป็นผู้หญิงคนนั้นที่มองตาเธออย่างบ้าคลั่ง
สีหน้าเธอยิ่งอยู่ยิ่งซีด ในหัวสมองส่งอาการเจ็บปวดมาเป็นครั้งๆ เธอแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
ตัวเริ่มเอียง เสียงอึกทึกค่อยๆเลือนราง เวินจิ้งพยายามลืมตา แต่เห็นเพียงเงาที่รูปร่างสูงยาว
คุ้นเคยมาก
มู่วี่สิงใช่ไหม?
เธอพึมพำอยู่ ยกมือขึ้นมา ระหว่างเอวแขนข้างหนึ่งโอบเธอเข้ามายังอ้อมกอดแขนไว้อย่างมั่นคง หลิงอี้ได้ยินเสียงรำพึงรำพันของเวินจิ้ง “มู่วี่สิง……”
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เศร้าหมองลง มองดูผู้คนท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง และพูดด้วยความโกรธว่า “นี่คือโรงพยาบาล ขอให้ทุกคนโปรดเงียบ”
เมื่อพูดจบ ก็ได้อุ้มเวินจิ้งไปยังห้องฉุกเฉิน
ผู้คนในระเบียงก็ยังไม่ได้แยกย้าย เวลาที่ไป๋สือเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย เสียงโต้แย้งมากมายยังดังขึ้นอยู่
เขาขมวดคิ้ว เรื่องของเวินจิ้ง ทำไมถึงแพร่กระจายได้ร้ายแรงอย่างนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนวิจารณ์แต่เวินจิ้ง แต่ตอนนี้ผลการสอบสวนยังไม่ได้รับการประกาศเลย
……
เวินจิ้งตื่นขึ้นมาภายหลังหนึ่งชั่วโมง ต่อมาหลิงอี้มานั่งอยู่ข้างๆเธอ สายตาของเขาจ้องมองไปยังใบหน้าอันขาวซีดของเวินจิ้ง
เธอลืมตาขึ้น ภาพที่แทรกเข้ามายังม่านตาของเธอมันช่างเป็นสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดยิ่งนัก ภาพก่อนที่เธอจะหมดสติมันค่อยๆลอยขึ้นมาบนหัวสมองของเธอ เสียงที่มีความสงสัยในตัวเธอ เหมือนยังดังแววอยู่ข้างหูไม่ได้จางหายไปไหน
เธอลดสายตาลง และยิ้มประชดประชัน
หลิงอี้มองเธอด้วยความกังวล ท่าทีของเวินจิ้งแบบนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ดูเธอเศร้ามาก แต่เธอยังหัวเราะออกมาได้ หัวเราะจนทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจมาก
มือของเขาจับมือเธอเบาๆอย่างอ่อนโยน แต่เวลานี้ เวินจิ้งยังคงรู้สึกตัวดีใช้แรงผลักเขาออกไป
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เธอถามด้วยอาการตัวสั่นเทา
“คุณหมดสติไป”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง คุณอยู่ข้างฉันตลอดเวลาเหรอ?” เวินจิ้งจ้องมองไปที่เขา
เงาคนๆนั้นที่ปรากฏในหัวสมอง เธอคิดเสมอว่ามันคือมู่วี่สิง
แต่เขาน่าจะยังอยู่ที่เมืองเป่ยเฉิง
จำได้ว่า เขาทั้งสองไม่ได้ติดต่อกันมาสองวันแล้ว
เวินจิ้งดูเหมือนกับจะรีบหาโทรศัพท์ของเธอให้เจอทันที เธอต้องการโทรหามู่วี่สิง
หลิงอี้ยิบโทรศัพท์ยื่นมา เห็นได้ชัดว่าเวินจิ้งกดหมายเลขโทรศัพท์ของมู่วี่สิงขึ้นมา
เขาจิบริมฝีปากอันบอกบาง แล้วลุกขึ้น “ผมไปซื้อของให้คุณกินนะ”
“รบกวนคุณแล้วค่ะ” เวินจิ้งพูดพร้อมกับแยกตัวออกไป
โทรติดสายของมู่วี่สิง แต่ฝั่งโน้นไม่มีคนรับสาย เวินจิ้งยิ่งเป็นห่วงเข้าไปใหญ่
เธอได้เพียงแต่โทรหาเกาเชียน
“คุณเวิน ท่านประธานมู่กำลังยุ่ง……”
“โอเคค่ะ ถ้าหากเขาว่างแล้ว กรุณาบอกเขาโทรกลับหาฉันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ”
“โอเค”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เกาเชียนเห็นเจ้านายที่กำลังเอนกายอยู่ เหงื่อเย็นถึงกับหยดซึมออกมา
“ประธานมู่ คุณเวินบอกว่าหากคุณมีเวลาว่างให้โทรกลับหาเธอด้วย”
“อื่ม” มู่วี่สิงเปล่งเสียงตอบ
แต่ไม่เห็นจะมีท่าทีอะไร
เกาเชียนไม่กล้าถามและก็ไม่กล้าพูดอีก เวลานี้เจ้านายก็ว่างอยู่นี่……
นั่งอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดมู่วี่สิงก็ออกจากโรงแรม
ร้านอาหารริมแม่น้ำ ตกแต่งได้โรแมนติกและประณีตมาก
คนที่มาทานอาหารที่นี่ทั้งหมดส่วนมากเป็นคู่รักกัน เธออิงฉัน ฉันอิงเธอ
มู่วี่สิงสีหน้าไร้อารมณ์เดินย่างเข้าไปจนถึงสุดทางแล้วนั่งลง ตรงข้ามโจวหย่านก็มาถึงแล้ว
เธอสวมชุดเดรสสีแดงสด ทำให้ทั้งตัวสดใสไปด้วยเสน่ห์
อย่างไรก็ตามอายุอานามเธอยังไม่ถึง20ปี แต่เต็มไปด้วยไลฟ์สไตล์หลายรูปแบบ
“ฉันคิดว่าคุณไม่มาเสียแล้ว” โจวหย่านรินไวน์ให้เขาเบาๆ
“คุณโจวกล้าขู่ผม ผมไม่มาได้เหรอ?” มู่วี่สิงหยอกล้อเธอด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“คุณรู้นี่ ฉันก็แค่ชอบคุณ” เมื่อเผชิญหน้ากับมู่วี่สิง แต่ไหนแต่ไรโจวหย่านก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้
หนึ่งปีที่ผ่านมาเธอถูกมู่วี่สิงขับออกจากหนานเฉิง หลังจากนั้นพ่อแม่ของเธอก็หย่ากัน เธอเลือกที่จะอาศัยอยู่กับแม่ แม้แต่ชื่อเธอก็ได้เปลี่ยนไปด้วย มีแต่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวที่เธอมีต่อมู่วี่สิงที่ไม่ได้ลดน้อยลงมีแต่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้เธอไม่ใช่เย่เฟยเฟย แต่เป็นโจวหย่าน
แต่โจวหย่านยังคงหลงรักมู่วี่สิงไม่จืดจาง
แต่เธอไม่ได้เป็นอดีตเย่เฟยเฟยอีกต่อไปแล้ว อยากได้อะไร เธอก็จะพยายามให้ได้ตามที่เธอต้องการ
“คำพูดที่ออกจากปากคุณที่บอกว่าชอบผม เพียงแค่ขู่ผมครั้งแล้วครั้งเล่า” น้ำเสียงของมู่วี่สิงทั้งเบาบางและเยือกเย็น
“ฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ฉันรู้ว่าคุณกับเวินจิ้งได้หย่าร้างกันแล้ว ตอนนี้ฉันควรได้รับโอกาสแล้วสินะ”
โจวหย่านจ้องมองแต่มู่วี่สิง
เมื่อไรเธอก็แกล้งทำเป็นผู้ใหญ่ แต่ในสายตาของมู่วี่สิง เธอยังคงเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง