บทที่500 การยึดครอง
เมืองหนาน
หลังจากลงจากเครื่องปุ๊บ มู่วี่สิงสั่งให้บอดี้การ์ดส่งเวินจิ้งกลับไปที่การ์เด้นมูเจียวาน
“คุณจะไปที่โรงพยาบาลหรอ?” เวินจิ้งถาม
“ใช่” มู่วี่สิงพยักหน้า
เวินจิ้งรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เธอไม่อยากให้มู่วี่สิงยุ่งเกี่ยวกับโจวหย่าน ผู้หญิงคนนั้นน่ารำคาญมาก แม้ว่าเธอจะเชื่อมั่นในตัวมู่วี่สิงก็ตาม
แต่เขาก็เป็นผู้ชายของเธอ เหมือนว่าตอนนี้เธอต้องการอยากได้เขาไม่น้อยเลย
“จิ้งจิ้ง ผมไปดูโจวหย่านในฐานะหมอเท่านั้น คุณจะไปกับผมมั้ย?” มู่วี่สิงถาม
“ฉันจะกลับบ้านไปดูแม่ก่อน คุณไปเลย” เวินจิ้งส่ายหัว
สำหรับโจวหย่านแล้ว เธอไม่อยากที่จะเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ
มู่วี่สิงพยักหน้า รอดูเวินจิ้งขึ้นรถแล้ว เขาถึงขึ้นไปในรถอีกคันหนึ่ง
มาถึงโรงพยาบาล นอกห้องตรวจ สายตาก็มองเห็นโจวเซิน
“แม่ฉันขอร้องนายกลับมาได้จริง ๆ” น้ำเสียงของโจวเซินดูไม่เป็นมิตรเลย
“อาการป่วยของโจวหย่านพิเศษมาก มีหมอเพียงไม่กี่คนที่สามารถรับมือได้” น้ำเสียงมู่วี่สิงดูไม่แยแส
“ถ้านายรักษาน้องฉันให้หายได้ นั่นจะดีมาก” โจวเซินถอยหลังเล็กน้อย แล้วเปิดประตู
โจวหย่านหันหลังให้ประตูอยู่ ได้ยินเสียงฝีเท้าก็นึกว่าเป็นพี่ชาย
“พี่ ฉันจะนอนแล้ว……”
ไม่มีสัญญาณตอบกลับจากคำพูดของโจวหย่าน มู่วี่สิงกำลังดูรายงานการตรวจร่างกายของเธออยู่ ผลที่ออกมาในทุกครั้ง
หลังจากนั้น เขาถึงพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “โจวหย่าน คุณไม่จำเป็นต้องผ่าตัด”
เมื่อได้ยินเสียงของมู่วี่สิง ตัวโจวหย่านก็แข็งทื่อ ไม่มีสติอยู่พักหนึ่ง
ใช่มู่วี่สิง……
มู่วี่สิงมาแล้ว!
หันกลับมา คนหล่อที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมเป็นคนที่เธอคิดถึงทั้งวันทั้งคืน
“คุณมาแล้ว!”
“คุณมาได้ยังไง!”
แววตาที่แสดงออกถึงความแปลกประหลาดใจของโจวหย่าน
มู่วี่สิงยังคงทำหน้าเย็นชา เมื่อเทียบกับอาการตื่นเต้นของโจวหย่าน เขาดูนิ่งมากเลย
เขาไม่ได้ตอบอะไรเธอ แค่เพียงเขียนคำวินิจฉัยลงไปเท่านั้น
เนื่องจากโจวหย่านไม่ให้ความร่วมมือ จึงไม่มีหมอคนไหนอยากรับเธอเป็นคนไข้ ถ้าไม่ใช่ความกดดันจากตระกูลโจว โรงพยาบาลจะไม่ยอมให้โจวหย่านเข้ามาเป็นคนไข้
หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เขาก็ไม่ได้อยู่ต่อ
โจวหย่านจะต้องผ่าตัดหรือไม่ เรื่องนี้เขาไม่สามารถตัดสินใจได้
รู้ว่ามู่วี่สิงมาแล้ว คณบดีก็รีบมาหาเขาทันที
เรื่องที่มู่วี่สิงถูกถอดถอนนั่น เขาก็โดนบีบบังคับให้ทำ แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“ประธานมู่……หมอมู่”
“คณบดี” ท่าทางที่อ่อนน้อมของมู่วี่สิง
ทั้งสองคนเดินมาถึงห้องทำงาน สีหน้าคณบดีดูหมอง ๆ ไม่รู้จะเอ่ยปากพูดก่อนยังไงดี
ตรงกันข้ามกับมู่วี่สิงที่นิ่งมาก “คณบดี เรื่องการถอดถอน ผมเข้าใจว่าคุณลำบากใจ”
“หมอมู่ คุณรู้ก็ดีแล้ว คุณปู่มู่ถือหุ้นของโรงพยาบาลอยู่30% เพียงแค่คำพูดหนึ่งคำของเขา ผมในฐานะคณบดีก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
สองผู้มีอำนาจแห่งตระกูลมู่ ต่อไปเขาไม่กล้ายั่วยุอะไรแล้ว
แต่ว่า กลัวว่ามู่วี่สิงจะเสียใจที่ตอนนั้นรับปากจะยกที่ดินให้เพื่อใช้ในการแพทย์
“อาการป่วยของโจวหย่านผมได้เขียนลงในประวัติการรักษาอย่างละเอียดแล้ว” มู่วี่สิงพูด “ผมคิดว่า คณบดีควรจะหาหมอที่เหมาะสมเพื่อติดตามดูอาการของโจวหย่านนะครับ”
คณบดีรับประวัติการรักษามา สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมขึ้น
คนไข้โจวหย่าน ตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก
ก่อนหน้านี้หมอในโรงพยาบาลไม่มีใครยอมรับเธอเป็นคนไข้ ความเสี่ยงจากการผ่าตัดมีมากเกินไป และยาก็ให้ผลได้ไม่ดี
“หมอที่เหมาะสมที่สุด มีแค่คุณ” คณบดีถอนหายใจ
เกรงว่าเขากำลังทำให้ตระกูลโจวขุ่นเคือง เขาได้ติดต่อขอย้ายโจวหย่านไปโรงพยาบาลอื่นแล้ว หวังว่าโรงพยาบาลอื่นจะรับคนไข้คนนี้
แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับอะไรเลย
“ที่มาครั้งนี้ เพราะผมไว้หน้าคุณหญิงโจว ผู้อำนวยการ ที่ผมมายังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
“คุณพูด” ผู้อำนวยการพูดอย่างอ่อนน้อม
“นอกจากคุณปู่แล้ว ผมต้องการรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนอื่น ๆ”
“คุณคิดจะ……” คณบดีตาเบิกโต
“ถ้าคุณยังอยากให้ผมมอบที่ดินให้ ผมคิดว่าคณบดีเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรจะทำอย่างไร” มู่วี่สิงพูดอย่างเคร่งขรึม
คณบดีที่นั่งอยู่กับที่ถึงกับอึ้งไปเลย ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหยื่อระหว่างการต่อสู้ของคนในตระกูลมู่
……
บ้านตระกูลหลิน
มู่วี่สิงจัดบอดี้การ์ดตามรักษาความปลอดภัยให้เวินจิ้งไม่น้อยเลย มีรถประกบด้านหน้าหนึ่งคันด้านหลังอีกหนึ่งคัน การขับขี่แบบนี้ทำให้เวินจิ้งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้เวินจิ้งได้ติดต่อกับแม่ของเธอแล้ว รู้ว่าเธออยู่กับมู่วี่สิงก็ค่อยสบายใจหน่อย
แต่เมื่อเห็นเวินจิ้งกลับมา เห็นได้ชัดว่าเธอผอมลงไปเยอะมาก ก็รู้สึกปวดใจ
“อยู่ประเทศB ไม่ค่อยสะดวกสบายใช่มั้ย” หลินเวยถามด้วยความกังวล
“ใช่ค่ะ ไม่ค่อยสะดวก ไม่สบายเท่ากับอยู่เมืองหนาน” เวินจิ้งพูดพร้อมหัวเราะ
กลับมาถึงบ้านหลิน ที่นี่ทำให้เธอรู้สึกคิดถึงเล็กน้อย
“ทางมหาวิทยาลัย เจ้ามู่วี่สิงจัดการยังไง?”
“กลับคืนสถานะเดิมแล้วค่ะ พรุ่งนี้หนูจะกลับไปที่มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ไป๋ก็ติดต่อหนูมาแล้ว แต่ตอนนั้นหนูถูกขอให้ย้ายมหาวิทยาลัย เขาก็โกรธและมีปัญหากับทางมหาวิทยาลัย แล้วลาออกไปก่อนแล้ว” เวินจิ้งพูดด้วยความผิดหวัง
เมื่อกี้ศาสตราจารย์ไป๋แจ้งให้เธอรู้ เธอถึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้ดำรงตำแหน่งในมหาวิทยาลัยแล้ว ถึงแม้เวินจิ้งจะกลับไปเรียนต่อ ก็ทำได้แค่เรียนกับอาจารย์ท่านอื่น
แต่เวินจิ้งจำได้ว่า นอกจากศาสตราจารย์ไป๋แล้ว ก็ไม่มีอาจารย์ท่านไหนในมหาวิทยาลัยที่จะรับเธอ
เมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่อยากกลับไปแล้ว
เธอแค่อยากจะเรียนกับศาสตราจารย์ไป๋ให้จบการศึกษา แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก
“ศาสตราจารย์ไป๋เกษียณก่อนกำหนดแล้ว……” หลินเวยอุทาน “เสี่ยวจิ้ง ไม่งั้นแม่ลองหามหาวิทยาลัยอื่นให้ลูกดูมั้ย”
หลินเวยพอจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเวินจิ้งในช่วงที่อยู่มหาวิทยาลัยหลินไห่ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลูกสาวชอบ เธอคงไม่ยอมให้เธออยู่ที่นั่นต่อ
“ก็ดีค่ะ ช่วงนี้หนูก็ดูมหาวิทยาลัยอื่นอยู่ แต่หนูไม่อยากไปจากเมืองหนาน” เวินจิ้งขมวดคิ้วทำหน้าเศร้า
นี่ถึงเป็นความกังวลของเธอ
มหาวิทยาลัยหลินไห่เป็นมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ที่ดีที่สุดในเมืองหนาน มหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ ที่เทียบเท่าก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองหนาน
ถ้าเธอไม่อยู่ที่เมืองหนานแล้ว…… งั้นกับมู่วี่สิง ก็คงต้องแยกจากกันแล้ว
คิดแบบนี้แล้ว เธอก็ไม่อยากจะคิดต่อแล้ว
หลินเวยพอจะเข้าใจความกังวลใจของเวินจิ้ง พูดอย่างอ่อนโยน “เมืองเหนือมีมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ที่ดีอยู่ที่หนึ่ง หรือว่าลูกอยากไปมหาวิทยาลัยที่ดีกว่านี้ จะไปต่างประเทศ แม่ก็เคารพในการตัดสินใจของลูก”
เวินจิ้งหรี่ตาลง ยิ่งรู้สึกสับสนโคลงเคลง
“ความรู้สึกของลูกกับมู่วี่สิงก็มั่นคงแล้ว แม่คิดว่าห่างกันชั่วคราว ก็เป็นเรื่องที่น่าจะยอมรับได้อยู่”
ถ้าเธอไปต่างประเทศ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามปีถึงจะเรียนจบ
สามปี
มู่วี่สิงเป็นเหมือนเทพบุตรที่ลงมาจากสวรรค์ มีผู้หญิงมากมายที่โลภต้องการอยากได้เขา ใครจะรู้ว่าในระหว่างสามปีนี้ จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อใจมู่วี่สิง แต่ว่า เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ต้องการอาชีพ แล้วก็ต้องการความสุขจากความรัก
“แม่ค่ะ หนูขอคิดดูก่อน” เวินจิ้งวิ่งไปที่ห้องนอน
เปิดมือถือดู เวลานี้ มู่วี่สิงน่าจะดูอาการโจวหย่านเสร็จแล้ว
เขายังไม่ได้ยื่นขอความต้องการจากเลี่ยวหยง แต่คิดไปคิดมาแล้ว เลี่ยวหยงเป็นถึงนายหญิงของตระกูลโจว มีอำนาจไม่ใช่น้อย มู่วี่สิงทำธุรกิจกับเธอ ก็ยุติธรรมแน่นอน
เกาหัวด้วยความหงุดหงิด ระหว่างที่ลังเลอยู่ มู่วี่สิงก็โทรมาก่อนแล้ว