บทที่ 523 เป็นเกียรติสุดๆ
ในตอนที่เวินจิ้งมาถึงห้องพักผู้ป่วย หลิงเหยาก็เพิ่งจะทำการตรวจเสร็จ และพรุ่งนี้ก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
เมื่อเห็นเวินจิ้ง เธอก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง “เวินจิ้ง คงลำบากแกแย่ ต้องมาเยี่ยมฉันตลอดเลย”
“ฉันเป็นห่วงแก…..” เวินจิ้งมุ่นคิ้ว เมื่อนึกไปถึงคำพูดของเจียงฉีเมื่อวาน ไม่คิดเลยว่าคนสองคนที่เคยรักกันจนหวานเลี่ยน คนสองคนที่ดีต่อกันขนาดนั้น จะถึงกับเลิกกันเพียงเพราะอุบัติเหตุในครั้งนี้
ความรักบางครั้งมันก็เปราะบางจนทำให้คนต้องร้องไห้ฟูมฟาย
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก แกรีบกลับไปที่มหาลัยเถอะ”
“อืม มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอดเลยนะ”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว และเมื่อเวินจิ้งหมุนตัวเดินจากไป ร่างกายของหลิงเหยาก็สั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ความเยือกเย็นเอ่อล้นขึ้นมาในดวงตา
เมื่อกลับมาถึงมหาลัย อารมณ์ของเวินจิ้งก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ขนาดรถหรูจอดลงแล้วยังไม่รู้ตัว
“จิ้งจิ้ง” เมื่อมือถูกกอบกุม เวินจิ้งถึงได้มีสติกลับมา
“งั้นฉันไปเรียนก่อนนะ เจอกันวันศุกร์” เวินจิ้งหันไป ถูหน้ากับอกแกร่งของมู่วี่สิงเบาๆ
“เรื่องของหลิงเหยาก็อย่าคิดมากเกินไปล่ะเข้าใจไหม หืม?”
“อืม ไม่คิดแล้ว ในเมื่อเหยาเหยาตัดสินใจแล้วว่าจะเลิก เธอก็คงมีเหตุผลของเธอ”
เมื่อกลับมาเรียน ก็เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ยุ่งมาก และเรื่องที่ไม่คาดฝันก็คือเป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ได้เรียนกับส้งเชน แต่กลับมีโจวเซินมาอยู่ข้างๆแทบจะตลอดเวลา
เมื่อถึงวันศุกร์ โรงพยาบาลจะแจ้งเรื่องการฝึกงาน ซึ่งส้งเชนมีโควตาให้นักศึกษาติดตามแค่หนึ่งคน และในฐานะที่โจวเซินเป็นนักศึกษาปริญญาเอก ก็สามารถให้นักศึกษาติดตามได้ด้วยเช่นกัน โดยมีโควตาให้สองคน ถ้าหากนักศึกษาคนใดอยากติดตามศาสตราจารย์คนอื่น ก็ต้องทำการยื่นคำร้องเอง
เวินจิ้งอ่านประกาศในอีเมล เธอไม่คิดจะติดตามโจวเซินอยู่แล้ว นักศึกษาที่สมัครกับศาสตราจารย์ส้งเชนก็มีเยอะแล้ว และมู่วี่สิง ปัจจุบันก็มีนักศึกษาไปสมัครด้วยเยอะที่สุด
นักศึกษาทุกคนสามารถเขียนชื่อศาสตราจารย์ที่ตนปรารถนาอยากฝึกงานด้วยได้สองคน เวินจิ้งคิดอยู่สักพัก คนแรกที่เธอเขียนลงไปก็คือส้งเชน ส่วนคนที่สองก็คือมู่วี่สิง
แต่เมื่อประกาศผลออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะได้ฝึกงานกับโจวเซิน
ผลประกาศอันนี้ ทำให้เธอไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
เมื่อถึงวันศุกร์ เป็นวันที่ต้องไปฝึกงานวันแรก ถึงเวินจิ้งจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่เธอก็ต้องไป
เมื่อเดินออกมาจากหอ ก็เห็นโจวเซินยืนพิงรถหรูคันสีดำรออยู่ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งสามารถดึงดูดสายตาจากผู้หญิงได้ไม่น้อยเลย
แต่เมื่อเห็นเวินจิ้งลงมา บนใบหน้าของเขาก็เริ่มมีอารมณ์ความรู้สึก
“โจวเซิน คุณเองเหรอ” เวินจิ้งมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
มักจะมีความรู้สึกว่าโจวเซินอาจจะใช้อำนาจในทางไม่ชอบทำให้เธอได้ฝึกงานกับเขาแน่ๆ….
“แปลกใจเหรอ?”
“อืม แปลกใจมาก ฉันไม่อยากติดตามกับคุณ” เวินจิ้งเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
“ถึงยังไงมันก็เป็นสิ่งที่ทางมหาลัยวางไว้แล้ว เราก็ทำได้แค่ปฏิบัติตาม ไม่ใช่หรือไง? ไปเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่โรงพยาบาล” โจวเซินเปิดประตูรถออก
แต่เวินจิ้งกลับเดินผ่านไป เพื่อไปขึ้นรถเมล์
ใบหน้าของโจวเซินขุ่นมัว จากนั้นก็เข้าไปนั่งในรถ นิสัยเย่อหยิ่งที่มีมาตั้งแต่เด็กๆทำให้เขาไม่คิดจะวิ่งตามผู้หญิงคนไหน
แต่เมื่อเห็นเวินจิ้งยิ่งเดินห่างไกลออกไป ก็ยิ่งทำให้เขาโกรธเอาง่ายๆ
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เวินจิ้งก็ไปรายงานตัว ต่อจากนั้นก็มายังห้องทำงานของโจวเซิน
ในตอนนี้นักศึกษาที่ติดตามโจวเซิน…….มีแค่เธอคนเดียว
ถึงแม้ว่าโจวเซินจะยังไม่จบปริญญาเอก แต่เขากลับเป็นอัจฉริยะในวงการศัลยแพทย์มาหลายปี ทั้งยังได้รับการยกย่องอย่างล้นหลาม ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ชื่อว่าเป็น “แพทย์ที่ดี” ในประเทศFอีกด้วย
เมื่อก่อน ในภาพจำของเวินจิ้ง โจวเซินก็เป็นแค่นักธุรกิจที่เย็นชาคนหนึ่ง แต่ไม่คิดเลยว่าหลายปีมานี้ อาชีพหลักของเขาจะเป็นถึงคุณหมอ
ไม่นานโจวเซินก็ตามเข้ามา เมื่อเขาเปลี่ยนมาใส่ชุดกาวน์สีขาว รังสีอึมครึมที่มักจะถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขาในยามปกติกลับลดลงไปไม่น้อยเลย
“มานี่” เขาเชิดสันกรามขึ้น
“ค่ะคุณหมอโจว” น้ำเสียงของเวินจิ้งเรียบนิ่ง
“เวลาติดตามผม ต้องเขียนรายงานการเรียนรู้ทุกวัน นี่คือตัวอย่าง” โจวเซินส่งเอกสารฉบับหนึ่งไปให้เธอ
“ได้ค่ะ” เวินจิ้งรับมา จากนั้นก็ตั้งใจอ่านให้ละเอียด
ไม่ช้าก็ได้เวลาทำการตรวจ ความกดดันเวลาต้องเรียนรู้อยู่ข้างๆโจวเซินมีมากกว่าตอนอยู่กับมู่วี่สิงเป็นไหนๆ
มีบางครั้งที่เวินจิ้งตามโจวเซินไม่ทัน จึงเกิดข้อผิดพลาดขึ้นบ่อยครั้ง
แต่ไม่ว่าจะยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็น การที่ทั้งสองคนไม่รู้ใจกัน
ตอนนี้เองที่เวินจิ้งได้รู้ตัวว่า ตอนที่ได้เรียนรู้อยู่ข้างๆมู่วี่สิง เขามักจะรอเธออยู่เสมอ พร้อมทั้งอธิบายความรู้ต่างๆให้กับเธอ แต่โจวเซินกลับทำอะไรเฉียบขาดและรวดเร็ว ไม่ทันไรก็ตรวจคนไข้ทั้งหมดเสร็จ
ประสิทธิภาพในการทำงานนี้ทำให้เวินจิ้งแปลกหูแปลกตา แต่หลังจากตรวจคนไข้เสร็จเวินจิ้งก็ค่อยๆซึมซับความรู้ เริ่มมีระดับความยากที่แน่นอนแล้ว
“อีกเดี๋ยวอยากกินอะไร?” เมื่อตรวจคนไข้เสร็จ ท่าทีของโจวเซินก็อ่อนลงมาบ้าง
“ฉันกินอะไรก็ได้” เวินจิ้งอ่านข้อมูล กำลังจดความรู้เพิ่มอย่างบ้าคลั่ง
โจวเซินขยับเข้าไปใกล้ๆ จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วชี้ไปยังข้อความหนึ่ง “คาร์บามาเซพีนยาชนิดนี้ควบคุมอาการชักแบบมีสติได้ โดยเฉพาะเวลาใช้กับอาการชักแบบขาดสติยิ่งมีประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีผลข้างเคียงที่รุนแรงมากๆเหมือนกัน…..”
เวินจิ้งรีบจดลงไปในทันที จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาเป็นระยะๆ
เป็นพยาบาลผู้ติดตามของโจวเซินนั่นเอง
“คุณหมอโจว บ่ายสามโมงแผนกศัลยกรรมจะมีการประชุมนะคะ”
“อืม ออกไปได้แล้ว”
เมื่อพยาบาลมองคนสองคนที่อยู่ใกล้ชิดกัน ความอิจฉาในดวงตาก็ปรากฏออกมา แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น
เมื่อถึงเวลาเที่ยง เวินจิ้งก็ปฏิเสธการไปกินข้าวกับโจวเซิน เมื่อนึกได้ว่ามู่วี่สิงก็อยู่ที่โรงพยาบาลจงซินเหมือนกัน เธอจึงวางแผนไว้ว่าจะไปกินข้าวกับเขา
แต่เมื่อโทรไปหาเขากลับไม่มีใครรับ เธอจึงมาหาเขาที่แผนกประสาทวิทยา
แต่โจวหย่านที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์พยาบาล เอ่ยปากห้ามเธอเอาไว้
“คุณหมอมู่ยังตรวจคนไข้อยู่นะ” โจวหย่านพูดขึ้นมาเสียงเย็น
เวินจิ้งดูเวลา ตอนบ่ายเธอไม่ต้องเข้าประชุม เพราะงั้นยังมีเวลา เธอก็เลยรอยู่ข้างนอก
จนเมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วโมงถึงได้เจอกับมู่วี่สิง เพียงแต่ว่าทันทีที่เขาเดินออกมา โจวหย่านก็รีบเอากล่องอาหารยื่นไปให้เขา “คุณหมอมู่ นี่ข้าวของคุณค่ะ”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเวินจิ้งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“เอาไปให้หมอคนอื่นเถอะ”
พูดจบ ขายาวๆก็เดินมาหาเวินจิ้ง
“วันนี้มาฝึกงานเหรอ?”
“ใช่ ศาสตราจารย์มู่ให้เกียรติไปทานข้าวกับฉันสักมื้อได้ไหม?” เวินจิ้งเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปหาก่อน
มือใหญ่ของมู่วี่สิงกอบกุมมือเล็กๆของเวินจิ้งเอาไว้แน่น
“เป็นเกียรติสุดๆเลยล่ะ”
“คุณหมอมู่ บ่ายโมงคุณต้องเข้าประชุมนะ ออกไปกินข้าวคงมาไม่ทันแน่” ขณะเดียวกัน เมื่อโจวหย่านเห็นว่าทั้งสองกำลังจะออกไปข้างนอก ก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้ามาหา
“ผมจะไม่เข้าร่วมการประชุม คุณช่วยบอกศาสตราจารย์เฉินให้หน่อยนะ”
“แต่ว่า……”
โจวหย่านพูดอ้ำๆอึ้งๆ เพราะยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่มู่วี่สิงกลับเดินออกไปไกลแล้ว
เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง เวินจิ้งเห็นสายตาอาลัยอาวรณ์ของโจวหย่านแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าในทุกๆวันรอบตัวเขาคงมีคนชอบอยู่เยอะล่ะสินะ เธอจึงรู้สึกหึงขึ้นมา
“คุณโจวทำอาหารเที่ยงมาให้คุณทุกวันเลยเหรอ” เวินจิ้งถามออกมาอย่างใจคิด
“ที่โรงพยาบาลสั่งอาหารมาเหมือนกันหมด” มู่วี่สิงอธิบายอย่างใจเย็น
“งั้นเธอก็เป็นคนเอาอาหารมาให้คุณเองกับมือทุกวันเลยสินะ”
“ปกติแล้วจะเป็นผู้ช่วยเอาอาหารเที่ยงมาให้ผม”
“อ่อ” เวินจิ้งพองแก้ม
ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าระหว่างมู่วี่สิงกับโจวหย่านมันไม่มีอะไรเลย แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“มหาลัยจัดให้คุณติดตามโจวเซินเหรอ?” มู่วี่สิงเอ่ยถาม
“ใช่…..ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมได้ติดตามเขา” เวินจิ้งพึมพำ
“ถ้าคุณต้องการ ผมย้ายคุณมาอยู่กับผมได้นะ” มู่วี่สิงมีสิทธิ์นี้อยู่