บทที่ 530 มีแต่คนโลภมาก
วันต่อมา เวินจิ้งตื่นเช้าเพื่อไปมหาลัย แต่เมื่อนึกถึงหลิงเหยา ก็เป็นฝ่ายโทรหาเธอก่อน
แต่คนที่รับสายกลับเป็นหลิงอี้ “ผมจะพาเธอกลับประเทศc กำลังจะขึ้นเครื่องแล้วล่ะ”
ตอนนี้หลิงอี้ต้องยึดโทรศัพท์ของหลิงเหยาเอาไว้ ไม่อย่างนั้น เธอต้องหนีไปแน่ๆ เขาจึงต้องขัดขวางเธอด้วยวิธีนี้
“ถ้ากลับประเทศc แล้วเรื่องเรียนของเธอล่ะ?”
“คงต้องพับเก็บเอาไว้ก่อน แต่เธอจะไม่กลับมาที่เมืองหนานเฉิงอีกเด็ดขาด” หลิงอี้พูดเสียงหนัก
“เธอสบายดีใช่ไหม?”
“อืม” หลิงอี้มุ่นคิ้ว ดูเหมือนเวินจิ้งจะไม่รู้เรื่องระหว่างมู่วี่สิงกับหลิงเหยาสินะ
“ต้องขึ้นเครื่องแล้ว ผมวางก่อนนะ”
เมื่อหลิงอี้วางโทรศัพท์ลง หลิงเหยาก็รีบพุ่งเข้ามาเพื่อที่จะแย่งโทรศัพท์ไป แต่หลิงอี้ก็รีบโยนไปให้ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ
จากนั้นก็รวบจับข้อมือของน้องสาวเอาไว้ แล้วพาเธอเดินเข้าไปข้างใน
หลิงเหยายังคงดิ้นขัดขืน พูดขึ้นมาอย่างอารมณ์เสียว่า “ฉันไม่อยากกลับ พี่….ฉันขอล่ะ พี่ก็รู้นี่ว่าถ้าฉันกลับไปฉันต้องไปดูตัว ฉันไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่ฉันไม่ได้รักหรอกนะ”
ดวงตาของหลิงอี้ฉายแววความสงสารขึ้นมาเพียงชั่วแวบ “แต่ฉันไม่อยากให้แกแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รักแก”
หลิงเหยาเม้มปาก จากนั้นก็กุมท้องเอาไว้อย่างกะทันหัน แล้วก็นั่งยองๆ “ฉันอยากไปห้องน้ำ——“
“ฉันไปเป็นเพื่อน”
“พี่ต้องรอข้างนอกสิ!”
หลังจากหลิงเหยาเดินเข้าไป ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหนี หลิงอี้ถึงได้ลดความระแวงลงมาบ้าง แต่สีหน้าก็ยังคงอึมครึมอยู่
“คุณหลิง เวลาประชุมผู้ถือหุ้นในช่วงบ่ายถูกเลื่อนเข้ามาครับ” ผู้ช่วยเข้ามารายงานอย่างกระวนกระวาย
“กลับ!”
เมื่อแอบเห็นว่าพี่ชายขึ้นเครื่องไปแล้ว หลิงเหยาถึงค่อยๆเดินออกมาช้าๆ
เมื่อได้รับสายโทรศัพท์จากหลิงเหยา เวินจิ้งก็รู้สึกแปลกใจมาก
ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์แปลก แต่เธอก็ฟังออกว่าเป็นเสียงของหลิงเหยา
“เวินจิ้ง พี่ชายฉันจะพาฉันกลับประเทศcให้ได้เลย ฉันไม่รู้จะทำยังไงเลยโทรหาแก…..” เสียงปนสะอื้นของหลิงเหยาดังขึ้นมา
“เหยาเหยา แกอยู่ที่ไหน?”
“ฉันอยู่ที่สนามบิน”
เธอเพิ่งมาถึงโรงพยาบาล โจวเซินก็อยู่กับเธอด้วย เมื่อเห็นใบหน้าเป็นกังวลของเวินจิ้ง จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “มีเรื่องอะไร”
เวินจิ้งมองเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“วันนี้ไม่มีตรวจ ถ้าคุณมีธุระจะลาก็ได้นะ” โจวเซินขมวดคิ้ว
“รุ่นพี่โจว ขอบคุณค่ะ” เวินจิ้งพูดอย่างจริงใจ
“ถ้ามันเร่งด่วนมาก ผมไปส่งคุณได้นะ” โจวเซินมองเวลา
“ไม่ต้องค่ะ”
เมื่อเห็นเวินจิ้งวิ่งออกไป สีหน้าของโจวเซินก็ทอแววเข้ม
เมื่อมาถึงสนามบิน เวินจิ้งก็เจอหลิงเหยาหลบอยู่ตรงมุมหนึ่ง
เธอนั่งขดตัว ด้วยใบหน้าซีดๆ กรอบตาแดงไปหมด
เมื่อเห็นเวินจิ้ง ก็ฝืนยิ้มออกมาให้ แต่ก็ไม่ได้ผล
“เวินจิ้ง……”
“เหยาเหยา ฉันจะพาแกกลับตระกูลหลิน” เวินจิ้งพูดเสียงหนักแน่น
“จริงเหรอ? มันจะรบกวนแกเกินไปหรือเปล่า” หลิงเหยาเผยสีหน้ารู้สึกผิดออกมา
“ไม่หรอก ที่ตระกูลหลินมีคนรับใช้ ยังไงก็สะดวกอยู่แล้ว” เวินจิ้งกอดปลอบเธอ
“แกจะมาอยู่กับฉันไหม?” หลิงเหยาพูดพึมพำ “ฉันเหงามากๆเลย…..”
เวินจิ้งนิ่งไป เมื่อนึกไปถึงมู่วี่สิง ก็คิดว่าเขาต้องหึงแน่ๆ
แต่เธอก็ไม่อยากทิ้งหลิงเหยาไว้คนเดียวเหมือนกัน
“แกกลับไปอยู่การ์เด้นมู่เจียวานเถอะ ฉันกลับไปอยู่ที่มหาลัยก็ได้” หลิงเหยาผลักเธอออกเบาๆ
“แต่ร่างกายแกยังไม่หายดี” เวินจิ้งขมวดคิ้ว
“ดีขึ้นแล้วล่ะ และฉันควรเดินออกมา” ดวงตาของหลิงเหยาฉายแววเยือกเย็นขึ้นมาเพียงชั่วแวบ
“เวินจิ้ง ขอบคุณแกนะ ฉันรบกวนแกมากเกินไปแล้ว” น้ำเสียงของหลิงเหยาเต็มไปด้วยความขมขื่น
เวินจิ้งยิ่งรู้สึกสงสารมากกว่าเดิม แต่เรื่องของความรู้สึก คนนอกอย่างเธอไม่อยากเข้าไปสอด
หลิงเหยาคือเพื่อนของเธอ เธอเคารพการตัดสินใจของเพื่อน
เวินจิ้งพาเธอกลับมายังมหาวิทยาลัยหนานไห่ จากนั้นก็มองเวลา เตรียมตัวที่จะไปรอมู่วี่สิงที่โรงพยาบาลจงซิน
แต่เมื่อมาถึงก็เจอกับเคสฉุกเฉินพอดี มู่วี่สิงจึงต้องรีบทำการผ่าตัด แล้วโจวหย่านก็กำลังอยู่ข้างๆเขา
ฝีเท้าของเวินจิ้งแข็งค้าง ตอนนี้เธอไม่ได้ใส่ชุดกาวน์ จึงไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้
“อาการของคนไข้เป็นยังไงบ้าง” เธอเดินเข้าไปถามที่เคาน์เตอร์พยาบาล
เมื่อจำได้ว่าเป็นคุณหมอในโรงพยาบาล พยาบาลจึงรีบรายงานอาการของคนไข้ให้เวินจิ้งฟัง
มองดูเวลา กว่ามู่วี่สิงจะผ่าตัดเสร็จต้องใช้เวลาอย่างน้องสามชั่วโมง
งั้นเธอกลับก็ได้
เมื่อหันหลังกลับ ก็เห็นโจวเซินกำลังจะออกจากโรงพยาบาล
เมื่อเห็นเวินจิ้ง ก็เดินเข้ามา “อยากทำโอทีเหรอ?”
“ทำได้เหรอ?” เธอเลิกคิ้วขึ้น
ถ้าอยู่ทำโอที ก็สามารถรอมู่วี่สิงได้
โจวเซินเข้าใจในทันทีว่าเธออยากรอมู่วี่สิง จึงวกกลับไปที่ห้องตรวจ
ส้งเชนจึงให้การบ้านกับทั้งสองคนมาไม่น้อยเลย เวินจิ้งและโจวเซินต้องช่วยกันทำให้เสร็จ
“เมื่อกี้ไปทำอะไรมา?” โจวเซินถามขึ้นมาลอยๆ
“เรื่องของหลิงเหยาน่ะ” เวินจิ้งไม่ได้ลงรายละเอียด
โจวเซินขมวดคิ้ว ปลายนิ้วควงปากกาเล่น มองไปทางเวินจิ้งด้วยสายตาแวววาว
“ฝึกงานกับผม รู้สึกยังไงบ้าง?”
ไม่ทันไร ทั้งสองก็ร่วมงานกันได้ครึ่งเดือนแล้ว
ถ้าพูดตามภาพรวม ก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ถ้าเป็นปัญหาเล็กๆ โจวเซินก็จะปรับแก้ให้เวินจิ้ง
“รุ่นพี่โจวมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน ทั้งยังมีศักยภาพ ฉันคิดว่าก็โอเคค่ะ” เวินจิ้งพูดอย่างเรียบนิ่ง
“ผมเป็นคนขอให้ศาสตราจารย์ส้งย้ายคุณมาฝึกงานกับผมเองล่ะ” โจวเซินบอกเธอออกมาตามตรง
เวินจิ้งนิ่งไป เธอก็เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้
“โจวเซิน ทำไมคุณทำอย่างนี้” เวินจิ้งหลุบตาลง
“นักศึกษาที่อยากฝึกงานกับผมไม่ได้มีน้อยไปกว่าศาสตราจารย์ส้งเลยนะ แต่คุณดันเข้าตาผม ไม่คิดว่าตัวเองโชคดีหน่อยเหรอ?” น้ำเสียงของโจวเซินมีความถากถางอยู่หลายส่วน
“ไม่คิด” สีหน้าของเวินจิ้งเย็นชาขึ้นหลายเท่า
เธอยังไม่ลืมที่โจวเซินขู่เธอเอาไว้ตอนสอบสัมภาษณ์
“อีกปีเดียวผมก็จะจบแล้ว และปีนี้ คุณต้องอยู่ข้างๆผม” โจวเซินพูดออกมาอย่างยึดมั่น
“โจวเซิน คุณคิดว่า ฉันต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณใช่ไหม?” เวินจิ้งช้อนตาขึ้นมอง นัยน์ตาดูใสซื่อบริสุทธิ์
ดวงตาคู่นี้ ทำให้โจวเซินถลำลึกลงไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ว่า เขาเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ได้ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“อืม ใช่” โจวเซินกระตุกยิ้มมุมปาก
ในเมื่อเธอกล้ามาที่มหาวิทยาลัยF เขาก็กล้าทำแบบนี้
วินาทีต่อมา เวินจิ้งก็ลุกพรวดขึ้นอย่างโมโห โจวเซินในสายตาของเธอตอนนี้ ก็คือหมาป่าห่มหนังแกะดีๆนี่เอง
“กลัวเหรอ?” โจวเซินกระตุกริมฝีปากหยอกล้อ
“ไม่กลัว” เวินจิ้งมองเขาอย่างไร้กังวล
“ช่วงนี้ คุณไม่รู้สึกว่าหลิงเหยาแปลกไปบ้างเหรอ?” จู่ๆโจวเซินก็เอ่ยพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เวินจิ้งนิ่งไป จากนั้นก็มองเขาอย่างงงงวย
“มู่วี่สิงเคยคบกับเธอมาก่อน ยัยโง่ อย่าปล่อยให้เพื่อนหลอกสิ”
“ฉันไม่เชื่อ” เวินจิ้งโต้กลับ
ถ้าเป็นเรื่องจริง มู่วี่สิงคงบอกเธอแล้ว
แต่มู่วี่สิงไม่เคยบอกเธอ
แต่เมื่อนึกไปถึงเมื่อวาน….เรื่องกลิ่นน้ำหอมบนตัวของมู่วี่สิง ใบหน้าของเธอก็ขาวซีด
“ถ้าไม่อย่างนั้น แล้วทำไมหลิงเหยาทำแท้งล่ะ ก็เพราะว่าเด็กคนนั้น ไม่ใช่ลูกของมู่วี่สิงยังไงล่ะ” เมื่อโจวเซินเห็นสีหน้าของเวินจิ้ง ก็รู้ในทันทีว่าคำพูดของตัวเองใช้กับเธอได้ผล
“การที่ผู้ชายคนหนึ่งไม่จริงใจกับคุณ คุณคิดว่าเขาจะรักคุณจริงๆเหรอ?”
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก เธอต้องเชื่อมั่นในความรู้สึกของมู่วี่สิงที่มีต่อเธอเข้าไว้
“โจวเซิน นี่มันเรื่องของฉัน คนนอกอย่างคุณไม่ต้องเสียแรงมาเตือนหรอก” เวินจิ้งพูดขึ้นมาอย่างโกรธๆ
“คุณเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของผม ผมก็แค่บอกคุณด้วยความหวังดี คนของตระกูลมู่น่ะ มีแต่คนโลภมากทั้งนั้น” ความโกรธแค้นในดวงตาของโจวเซินเอ่อล้นออกมา