บทที่ 52 เอาชีวิต
ช่วงเช้ามืด เวินจิ้งได้แต่พลิกตัวไปพลิกตัวมา พร้อมกับความฝันที่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อสามปีก่อน
“อาเหิง นายไม่เชื่อฉันเหรอ ฉันไม่ได้ขโมยงานทีซิสนั่นไปจริงๆนะ”
“จิ้ง หลักฐานขนาดนี้ เธอยอมรับมาเถอะ ไม่งั้นคนที่จะขายหน้าไปกับเธอด้วยก็คือฉันนะ”
“ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ขโมยไง ฉันไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้นแหละ!”
“จิ้ง ฟังฉันนะ เธอยอมรับมาเถอะเพื่ออนาคตของเธอเอง เพราะถ้าเธอไม่ยอมรับเธอจะไม่ได้แม้แต่ใบจบ”
ทันใดนั้น เธอก็ตกใจตื่นขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าซีดเผือด เรื่องเมื่อตอนนั้น มันยังคงเป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีมีดมากรีดแทงกลางใจเธออยู่จนถึงทุกวันนี้
เห็นได้ชัดว่าเธอถูกใส่ร้าย แต่แม้แต่คนที่เธอรักมากที่สุดก็ยังไม่เชื่อเธอ
เธอมองไปที่ข้อมือของตัวเองด้วยสายตาอิดโรย รอยแผลนั่น ไม่ว่าจะทำยังไงเธอก็ลบมันไม่ออก
ในขณะที่เธอคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ อยู่ดีๆก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา เวินจิ้งเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็พบว่ามู่วี่สิงได้กลับมาแล้ว
ตัวของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นของแอลกอฮอล์ รู้เลยว่าเขาพึ่งกลับมาจากโรงพยาบาล
เวินจิ้งดูเวลา นี่ก็ตีห้าแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น” มู่วี่สิงเดินเข้ามามองใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอ พลางขมวดคิ้วอย่างกังวลใจ
เวินจิ้งส่ายหน้า เพราะเธอไม่อยากพูดถึงความฝันเมื่อกี้นี้
“นอนสักหน่อยเถอะ” เวินจิ้งบอกพลางขยับตัว
สายตาของมู่วี่สิงลดต่ำลง เขามองไปที่ข้อมือของเวินจิ้งด้วยสายตาเย็นเยียบ
…
ณ บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป
ฉืออี้เหิงที่พึ่งจะกลับมาจากการไปทำงานทางไกลมา พึ่งจะรู้ว่าฉินเฟยได้ทำเรื่องเอาไว้เกี่ยวกับการร่วมงานกันกับบริษัทการผลิตยาเทียนอี
เพราะนี่เป็นโปรเจกต์การวิจัยและพัฒนาโปรเจกต์แรกในเมืองหนานเฉิงซึ่งมันสำคัญสำหรับเขามาก เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นไม่ได้
เขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด พอฉินเฟยเดินเข้ามาหาเขา เขาก็ถามเสียงเย็นว่า : “ทำไมคุณถึงปฏิเสธบริษัทเทียนอีไป”
เรื่องนี้ แม้แต่เขาเธอก็ยังไม่เคยมาปรึกษากันก่อน
“ก็บริษัทเทียนอีไม่ได้อยากจะร่วมงานกับเราซะหน่อย” ฉินเฟยขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับคำถามของอีกฝ่าย
“นี่ถ้าคุณไม่สร้างปัญหา ป่านนี้โปรเจกต์นี้คงจะเริ่มดำเนินการไปตั้งนานแล้ว” ฉืออี้เหิงต่อว่า
ฉินเฟยไม่รู้เลย ว่ามันยากแค่ไหนกว่าเขาจะติดต่อกับบริษัทเทียนอีได้
“นี่คุณต้องโกรธขนาดนี้เลยหรอ เป็นเพราะเวินจิ้งใช่ไหม! คุณรู้อยู่แล้วนี่ว่าเธอทำงานที่นั่นน่ะ ก็เลยจะทำมาเป็นร่วมงานกับบริษัทนั่นใช่ไหมล่ะ!” ฉินเฟยเกรี้ยวกราดโดยไม่ทันคิด
พอฉืออี้เหิงได้ยินอย่างนั้น เขาก็ตกใจ นี่เวินจิ้งทำงานอยู่บริษัทการผลิตยาเทียนอีอย่างงั้นเหรอ
เรื่องนี้… เขาไม่รู้มาก่อนจริงๆ
“ไม่เกี่ยวกับเธอ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอทำงานที่ไหนอะไรยังไง ฉินเฟย อย่ามาหาเรื่องกันเลยดีกว่า”
“หาเรื่องอะไร! นี่ฉันก็อยากจะคุยกับบริษัทเทียนอีดีๆ แต่ทางนั้นเขาปฏิเสธมา แล้วจะให้ฉันทำยังไง” ฉินเฟยก้มหน้า ไม่อยากพูดถึงรายละเอียดมากไปกว่านี้
“คุณไม่ต้องมาดูแลเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“คุณจะทำอะไร”
“บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปพึ่งจะเริ่มขยายตัวในเมืองหนานเฉิงได้ไม่นาน ยังไงก็ต้องร่วมงานกับบริษัทชื่อดังของเมืองนี้อย่างเทียนอีเอาไว้ก่อน เผื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาจะได้ไม่เดือดร้อน”
พอฉินเฟยยิ่งรู้ว่าไม่สามารถโน้มน้าวใจเขาได้ เธอก็ยิ่งกังวลใจ
อาทิตย์หน้าเธอกับเขาก็จะแต่งงานกันแล้ว ถ้าหากถึงตอนนั้นแล้วเวินจิ้งเข้ามาขัดขวางพวกเขาล่ะ
ไม่ ไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นไม่ได้
“ไม่ว่าอาเหิงจะทำอะไรให้มารายงานฉันทุกอย่างนะ” เธอบอกกับเลขาของฉืออี้เหิง
…
ณ บริษัทการผลิตยาเทียนอี
ตอนสี่โมง เวินจิ้งมีนัดให้ไปที่ห้องประชุมเกี่ยวกับเรื่องความคืบหน้าของโปรเจกต์การวิจัยและพัฒนาที่ร่วมงานกันกับบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป
โดยครั้งนี้หัวหน้าฉืออี้เหิงแห่งบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปได้เข้ามาคุยด้วยตัวเอง และพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการร่วมงานกันครั้งนี้ใหม่อีกครั้ง ซึ่งการแสดงความจริงใจและเป็นมิตรของเขาทำให้เสี้ยวหงตอบตกลงที่จะร่วมงานกัน
ฉืออี้เหิงนั่งตรงข้ามกับเวินจิ้งที่กำลังจดรายงานการประชุมอยู่
เธอก้มหน้าก้มตาจดโดยไม่มองไปที่เขาเลยแม้แต่น้อย
“เวินจิ้ง ช่วยไปส่งหัวหน้าฉือทีนะ” เสี้ยวหงบอกหลังจากจบการประชุม
เวินจิ้งพยักหน้า เดินออกไปพร้อมกับฉืออี้เหิงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
จนกระทั่งเข้ามาในลิฟต์ เวินจิ้งที่ยืนอยู่ห่างครึ่งเมตรก็โดนฉืออี้เหิงจับเข้าที่ข้อมือ
เธอขมวดคิ้ว พลางพูดอย่างเกรี้ยวกราด : “หัวหน้าฉือ ช่วยระวังการกระทำของคุณด้วยค่ะ!”
“จิ้ง ฉันไม่ชินกับการที่เธอเย็นชาใส่กันแบบนี้เลย” ฉืออี้เหิงพูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน
“แล้วหัวหน้าฉืออยากให้ฉันทำยังไงล่ะคะ นายเป็นอดีตของฉันไปแล้ว และไม่มีวันที่ฉันจะกลับไปข้องเกี่ยวกับนายอีก” เวินจิ้งพูด ไม่แสดงสีหน้าใดๆ
สัมผัสของเขานั้น มันช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน
“ฉันรู้ แต่พวกเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้เลยเหรอ ฉันแค่อยากให้เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ” ฉืออี้เหิงลดหน้าต่ำลง
เขาคิดขึ้นมาได้ว่า เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเขาได้โทรไปหาเวินจิ้ง แต่พอเป็นมู่วี่สิงรับ เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที
ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะไม่คบใครอีกแล้วแน่ๆถ้าเลิกจากเขาไป แต่มันไม่ใช่
เธอกลับแต่งงานแล้ว และผู้ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะดีกว่าเขาซะด้วย
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะหัวหน้าฉือ แต่ตอนนี้ชีวิตฉันก็มีความสุขดีค่ะ” เวินจิ้งพูดอย่างเย็นชา
พอประตูลิฟต์เปิด เวินจิ้งก็รอให้ฉืออี้เหิงออกไป
ฉืออี้เหิงขมวดคิ้ว พร้อมกับหยิบการ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
“จิ้ง ฉันไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอกับเธออีก นี่การ์ดแต่งงานของฉัน เอาไปสิ” ฉืออี้เหิงพูด
“ไม่กลัวว่าฉันจะไปพังงานแต่งนายเหรอ” เวินจิ้งยิ้มพร้อมกับรับการ์ดนั้นมา
ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่าเป็นงานแต่งของเขากับฉินเฟย
ฉืออี้เหิงเม้มปาก ในจิตใต้สำนึกเขาก็อยากให้เธอทำแบบนั้นเหมือนกัน
“เธอไม่ทำหรอก” เขาพูดอย่างมั่นใจ
ตลอดเวลาที่เขาเคยคบกับเวินจิ้งมา เขารู้ว่าเธอเป็นพวกว่านอนสอนง่ายและไม่ทำตัวงี่เง่าไร้สาระ แม้แต่เรื่องเมื่อตอนนั้น เธอยังไม่โทษหรือต่อว่าเขาสักคำ จะมีก็แต่แค่ร้องไห้ก็เท่านั้นเอง
แล้วเรื่องแบบนี้เธอจะไปทำได้ยังไง ไม่มีทาง
“เอาล่ะๆ หัวหน้าฉืออุตส่าห์ชวนฉันทั้งที ถ้าฉันว่างฉันจะไปแล้วกันนะ” เวินจิ้งถือการ์ดนั้นแน่น พร้อมกับประตูลิฟต์ที่ปิดลง และความเย็นชาที่เธอแสดงออกต่อเขาก่อนหน้านั้นก็ได้พังทลายลงเช่นเดียวกัน
เธออยากจะฉีกการ์ดนี่เป็นชิ้นๆ
แต่ถ้าเธอเกิดอยากไปงานแต่งพวกเขาขึ้นมาจริงๆล่ะ เพราะฉะนั้นจะทำอย่างนั้นไม่ได้
พอกลับมาถึงโต๊ะทำงาน ก็มีพนักงานต้อนรับเอากล่องของขวัญกล่องนึงเข้ามาให้
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ช่วงนี้เธอก็ไม่ได้ซื้ออะไรนี่นา แต่ทำไมตรงชื่อคนรับกลับเป็นชื่อเธอล่ะ
ในกล่องเหมือนจะมีเสียงแปลกๆดังขึ้นมา เธอขมวดคิ้วพลางค่อยๆเปิดกล่องนั้นออก ปรากฏว่าในกล่องนั้นเป็นแมวสีดำตัวใหญ่!
พอมันเห็นเวินจิ้ง มันก็กัดเข้าที่หน้าของเธอ แต่โชคดีที่เธอหลบทัน จากที่โดนหน้าก็เลยโดนตรงแขนแทน
เพื่อนร่วมงานรีบเข้ามามุงดู พร้อมกับส่งเวินจิ้งไปที่โรงพยาบาล
ในกล่องของขวัญนั่นยังมีการ์ดอีกหนึ่งใบ พอเธอเปิดดู หน้าเธอก็ถอดสีขึ้นมาทันที
“เวินจิ้ง เธอมันผู้หญิงชั้นต่ำ ไม่คู่ควรกับหมอมู่ของพวกฉันสักนิด!”
ส่วนด้านหลังของการ์ดนั้น ก็มีคำด่าคำสาปแช่งเธอเต็มไปหมด เธอพยายามสงบจิตสงบใจและไม่คิดอะไรอีก
…
อั้ยเถียนที่รีบมา ทนรอไม่ไหวจึงเข้าไปในห้องที่เวินจิ้งกำลังตรวจอยู่ : “เวินจิ้ง เธอไม่เป็นไรใช่ไหม!”
เวินจิ้งส่ายหน้าทั้งที่แผลนั้นลึกมาก ดูก็รู้ว่าแมวตัวนั้นมันถูกฝึกมาให้ทำร้ายเธอโดยเฉพาะ
“ขนาดหมอมู่ปิดข่าวไปแล้ว พวกแฟนคลับยังจำเธอได้อยู่อีก” อั้ยเถียนพูดอย่างเจ็บใจ
ตอนนี้เวินจิ้งยิ่งเห็นด้วยมากกว่าเดิมว่าดีแล้วที่เธอกับเขาแต่งงานกันแบบเงียบๆตั้งแต่ตอนแรก ไม่งั้นถ้าพวกแฟนคลับรู้ต้องมาเอาชีวิตเธอไปแน่ๆ!
“ไม่เป็นไรหรอก” เวินจิ้งหลับตา เธอไม่คิดด้วยซ้ำว่าเรื่องแต่งงานจะมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอ
“ว่าไงนะ! หมอมู่รู้เรื่องนี้ไหมเนี่ย ถ้าเขารู้เขาต้องเอาเรื่องพวกนั้นแน่ๆ” อั้ยเถียนพูดปลอบพลางตบไหล่เธอเบาๆ
“อย่าบอกเขานะ ตอนนี้อาการแพ้ของเขายังไม่หายดี อีกอย่าง ฉันก็แจ้งตำรวจไปแล้วด้วย ปล่อยให้พวกตำรวจเขาจัดการกันไปเถอะ”
อั้ยเถียนขมวดคิ้ว ลังเลว่าจะบอกหรือไม่บอกมู่วี่สิงดี เพราะเรื่องนี้มันอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็ได้ถ้าปล่อยไป
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงของมู่วี่สิงลอยมา : “เวินจิ้ง”