บทที่ 546 สภาพจิตใจเธอทรมานมาก
หลังจากโครงการวิจัยและพัฒนาได้บทสรุป เวินจิ้นได้รับสายจากศาสตราจารย์ว่าเธอจำเป็นต้องไปประชุมที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปกับโจวเซินในนามของมหาวิทยาลัยF
เวินจิ้งเพิ่งออกจากหอพัก รถของโจวเซินก็ได้รออยู่ใต้ตึก
เธอทำหน้าสงสัย แต่โจวเซินเปิดประตูรถให้เธอแล้ว
“โจวเซิน เดี๋ยวฉันไปเอง” เวินจิ้งเดินอ้อมไป
“เวลาประชุมเลื่อนเข้ามาแล้วนะ อีกครึ่งชั่วโมง คุณคิดว่านั่งรถประจำทางไปจะทันเหรอ?” เสียงของโจวเซินตะโกนจากด้านหลัง
เวินจิ้งหยุดเดินแล้วหันไปมองโจวเซินด้วยสายตาเย็นชา
เป็นเรื่องจริง ถ้าเธอนั่งรถประจำทางไปคงไม่ทันเวลาประชุมอย่างแน่นอน
“ฉันนั่งแท็กซี่ไปเอง”
“โครงการวิจัยและพัฒนานี้อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งปีเลยนะ คุณแน่ใจเหรอว่าทั้งปีนี้คุณจะมีความสัมพันธ์กับผมแบบนี้” โจวเซินขมวดคิ้ว
เวินจิ้งเม้มริมฝีปากไว้ แล้วมองโจวเซินด้วยสายตาที่เย็นชา
“งั้นก็รบกวนคุณแล้วล่ะ” เธอขึ้นไปนั่งบนรถ
โจวเซินแสดงสีหน้าได้ใจ
“คุณรู้ไหมว่าทำไมโครงการนี้ถึงต้องกลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง” โจวเซินแกล้งถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
“คุณต้องการบอกว่าคือความช่วยเหลือจากคุณเหรอ?” เวินจิ้งตอบตามน้ำ
“ตระกูลโจวร่วมลงทุนด้วย”
เวินจิ้งถึงกับตกใจ แล้วมองโจวเซินอย่างไม่คาดคิด
ถึงว่า ทำไมโจวเซินได้เป็นผู้รับผิดชอบหลัก
แล้วมู่วี่สิง……
บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปยังยืนยันจะเข้าร่วมต่อไปเหรอ?
“ไม่ต้องกังวลหรอก บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปไม่ยอมปล่อยโครงการนี้ไปง่าย ๆ หรอกนะ งบประมาณการลงทุนของตระกูลโจวในโครงการก็ไม่ได้เยอะมาก ตอนนี้อำนาจหลัก ๆ ก็ยังเป็นของทางมหาวิทยาลัยF”
เวินจิ้งแปลกใจ ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว แต่ว่า อำนาจการตัดสินใจทุกอย่างตกอยู่ที่โจวเซิน
ทั้งสองเดินทางไปถึงบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปเวลาบ่ายสองครึ่ง และส้งวี่เป็นคนลงไปต้อนรับเขา
โครงการวิจัยและพัฒนาในปัจจุบันได้ตัดการประชาสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ออกไปและตอนนี้ให้ความสำคัญกับทางด้านการพัฒนาของโครงการมากขึ้น และตัวของโจวเซินมีประสบการณ์ทางด้านนี้ บวกกับทีมงานของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป เวลาในการดำเนินโครงการคาดว่าจะใช้เวลาสองปี และทางบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปจะเป็นผู้ประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าตามความเป็นจริงของโครงการนี้
หลังจากสรุปแผนงานทั้งหมดนี้เวลาก็ค่ำแล้ว เวินจิ้งรับผิดชอบในการบันทึกการประชุมเท่านั้น แต่หลังจากนั้น ส้งยี่ก็มีเรื่องที่จะคุยกัยโจวเซินต่อ เวินจิ้งจึงออกไปก่อน
วันนี้เป็นวันศุกร์ มู่วี่สิงคงใกล้เลิกงานแล้ว เธอจึงไปหาเขาที่โรงพยาบาล
ณ ขณะนี้ในโรงพยาบาล
มู่วี่สิงกำลังประชุมเกี่ยวกับอาการของคุณนายหลิงกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยาสามคน การประชุมนั้นยืดยาวมาจนเวลาดึก
หลิงเหยาที่รออยู่ข้างนอก เมื่อเห็นมู่วี่สิงเดินออกมาจึงรีบเข้าไปถาม “คุณแม่หนูต้องเข้าผ่าตัดใช่ไหมคะ?”
“ณ ตอนนี้ เข้าผ่าตัดถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับอาการท่าน” มู่วี่สิงพยักหน้าพูด
“งั้น……มีความเสี่ยงสูงไหม”
“ห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
เมื่อได้ยินคำนี้ หลิงเหยาแทบจะล้มทั้งยืน เมื่อเห็นอาการเธอ มู่วี่สิงจึงรีบประคองเธอไว้ แต่เธอไม่รู้สึกดีขึ้นในชั่วขณะ จึงพิงอยู่ที่อ้อมแขนของเขา
เวินจิ้งเพิ่งก้าวออกจากลิฟต์ก็ได้เห็นภาพตรงหน้า
มู่วี่สิง……กอดหลิงเหยาไว้ ผู้หญิงในอ้อมแขนเขากำลังร้องไห้อย่างอ่อนแอ
เท้าของเวินจิ้งแข็งทื่อเหมือนจะเดินต่อไปไม่ได้
มู่วี่งสิงกำลังจะเดินกลับไปห้องผู้ป่วย แต่หลิงเหยากอดเขาไว้แน่น ๆ “มู่วี่สิง ขอร้องแล้ว……ช่วยแม่หนูที……”
“ผมรับปากได้ว่า จะทำสุดความสามารถ” มู่วี่สิงผลักเธอออกไปเบา ๆ
แต่หลิงเหยาเหมือนจะคาดสติ เธอเกาะมู่วี่สิงไว้แน่น ๆ “คุณอย่าไปไหน……อย่า”
มู่วี่สิงสีหน้าเคร่งขรึม เขาตบไหล่หลิงเหยาเบา ๆ “หลิงเหยา ปล่อยมือได้แล้ว ที่นี่คือโรงพยาบาลนะ”
หลิงเหยาร้องไห้จนตาแดงไปหมด เธอได้แต่มองหน้ามู่วี่สิงไว้ แล้วสั่นไปทั้งตัว
เธอนั่งอยู่บนโซฟาด้วยน้ำตาที่ไหลพราก
ด้านนอกนั้น เวินจิ้งทำตัวไม่ถูก ในสมองมีแต่ภาพของหลิงเหยาที่กอดมู่วี่สิงไว้
เธอรู้สึกเจ็บปวดใจมาก
เธอควรจะเดินเข้าไปถาม เพราะเธอเป็นแฟนของมู่วี่สิง
แต่ขาของเธอได้แต่เดินถอยหลัง
เธอกลัว
เพราะว่าหลิงเหยารู้จักมู่วี่สิงก่อนเธออีก ความสัมพันธ์ของเขาก็ดีไม่แพ้เธอ
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ
น้ำตาค่อย ๆ ไหลลงทั่วใบหน้า เวินจิ้งรู้สึกเพียงว่าเธอถูกบีบคอไว้ หายใจไม่ออก
เธอนั่งลงช้า ๆ ด้วยความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก และในวินาทีต่อมา เธอตัดสินใจว่าจะเดินเข้าไปถามให้ชัดเจนไปเลย!
เธอเชื่อว่ามู่วี่สิงจะไม่มีความสัมพันธ์พิเศษกับหลิงเหยาแน่นอน
ไม่มีทางหรอก
ทันทีที่ยืนขึ้น เวินจิ้งเหมือนเข้าสู่อ้อมแขนที่คุ้นเคย เธอขมวดคิ้ว แล้วค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมอง
โจวเซินแต่งชุดสีดำทั้งตัวจนแทบจะกลมกลืนกับยามค่ำคืนอันมืดมิด
โจวเซินเห็นเธอตั้งแต่เพิ่งเดินออกจากโรงพยาบาลแล้ว
เขาเดินตามเธอมา แล้วเห็นเธอร้องไห้ และร้องไห้อย่างช้ำใจ
คนที่ทำให้เธอรู้สึกแย่ได้ขนาดนี้ก็คงมีแต่มู่วี่สิงคนเดียวเท่านั้น
โจวเซินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า เขาพยายามเช็ดน้ำตาของเธอ แต่เวินจิ้งกลับเดินถอยหลังไป
“ฉันไม่เป็นไร” เธอหันหลังแล้วเดินจากไป
แต่โจวเซินดึงแขนเธอไว้ แล้วลากเธอเข้าไปในรถเก๋งที่จอดอยู่ด้านข้าง
“คุณร้องไห้ขนาดนี้แล้วยังบอกไม่เป็นไรได้ไง?” น้ำเสียงของโจวเซินเต็มไปด้วยความโมโห
เวินจิ้งกัดริมฝีปากแล้วหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ “งั้นรบกวนคุณส่งฉันกลับไปที่มหาลัยที”
“อื้ม” โจวเซินบอกคนขับเขา
ระหว่างทางทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลย จนกว่ามู่วี่สิงโทรเข้ามา แล้วเวินจิ้งรับสาย
“คืนนี้คงกลับไปไม่ได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะ โอเคไหม?” เสียงของมู่วี่สิงไม่สามารถซ่อนความเหนื่อยล้าของเขาได้
“โอเค”
“คุณมาโรงพยาบาลเหรอ?”
“เปล่า ฉันมีธุระ ขอวางก่อนแล้วนะ” เวินจิ้งรีบกดวางสายไป
ได้แต่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างรถ
จนกว่ารถจะหยุดที่มหาวิทยาลัยF
“ขอบคุณนะ” เวินจิ้งลงจากรถ โจวเซินก็เดินตาม จนส่งเธอกลับไปถึงหอพักแล้วค่อยกลับไป
เขายืนสูบบุหรี่อยู่ข้างนอกรถสักพัก คนขับอดไม่ได้ที่จะถามเขา “คุณนายครับ จะกลับแล้วยังครับ?”
“อื้ม ไปตระกูลโจว”
คืนนั้น เวินจิ้งนอนไม่หลับทั้งคืน จนตื่นขึ้นมาด้วยขอบตาที่ดำไปทั้งสองข้าง
ในขณะนั้น มู่วี่สิงโทรหาเธอ ซึ่งเขารู้เวลาตื่นนอนของเธอและไม่เคยจำพลาดมาตลอด
“เมื่อคืนไม่ได้กลับการ์เด้นมูเจียวานเหรอ?”
“อื้ม มีธุระในมหาลัยหน่อย เลยไม่ได้กลับไป” เวินจิ้งพูดเบา ๆ
“เดี๋ยวผมไปรับที่มหาลัยนะ”
“ไม่ต้อง วันนี้ฉันต้องทำการบ้าน……” เวินจิ้งพยายามหาข้ออ้าง
“จิ้ง ๆ เราไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์แล้วนะ คุณไม่อยากเจอผมเหรอ? หืม?” น้ำเสียงมู่วี่สิงค่อนข้างไม่พอใจ
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก แล้วเงียบไปสักพัก
จริงเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว
สัปดาห์นี้มู่วี่สิงยุ่งอยู่แต่ในโรงพยาบาล แล้วเขายุ่งกับเรื่องอะไรล่ะ?
มัวยุ่งกับการกอดกับหลิงเหยาเหรอ?
เธอรู้สึกหึงหวง หึงจนจะเป็นบ้าแล้ว
เธอบอกกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเธอเชื่อในตัวเขา แต่……เธอลืมภาพของเมื่อวานไม่ได้จริง ๆ
อีกอย่าง เธอไม่อยากรับฟังคำอธิบายจากมู่วี่สิงเลย เธอจึงพยายามปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว
“ฉัน……”
ทันทีที่เธอกำลังจะพูด มู่วี่สิงก็รีบขัดจังหวะเธอ “รอผมอยู่ที่ห้อง เชื่อฟังนะ”