บทที่ 551 ถูกเขายิ่งกอดยิ่งแน่น
ได้ยินชื่อ “เวินจิ้ง” มู่วี่สิง สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“คืนนี้พี่จะอยู่เป็นเพื่อนเธอ”
“พี่ทะเลาะกับเวินจิ้งหรือ” มู่ซือซือเลิกคิ้ว
มู่วี่สิงไม่ได้ตอบใดๆ ได้ผลักรถเข็นของเธอเข้าไป แล้วเปลี่ยนหัวข้อเรื่องสนทนา “พี่จะทำของอร่อยให้เธอทาน ดูสิเธอผอมไปมากเลยนะ”
มู่ซือซือทำปากมุ่ย มองดูพี่ชายด้วยความเป็นห่วง
แต่ทำไมเธอก็รู้สึกว่าพี่ชายเธอก็ผอมลง…..
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ มู่วี่สิงกับส้งวี่กำลังประชุมกันผ่านทางวิดีโอคอล
มู่ซือซือได้ยินเสียงของส้งวี่ ถึงกับสำลักในลำคอ
ยืนอยู่หน้าห้องหนังสือ เธอเอามือปิดปากไว้ ไม่ให้ส่งเสียงของตัวเองออกมา
แต่ว่าเธอคิดถึงส้งวี่จัง อยากเห็นหน้าเขาจังเลย
เมื่อสิ้นสุดการวิดีโอคอล มู่ซือซือได้ร้องไห้ออกมาอย่างเสียงดังโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้
เธอถูกโจวเซินขังเจ็ดวันเต็มๆ ในแต่ละวันที่ผ่านช่างทรมานมากสำหรับเธอ
มู่วี่สิงเดินเข้ามาแตะที่ไหล่เบาๆของมู่ซือซือแล้วปลอบประโลมเธอ
“ซือซือ ไม่กี่วันก็จะดีขึ้นเอง พี่อยู่ตรงนี้เสมอนะรู้ไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ
มู่ซือซือได้แต่พยักหน้า ด้วยความที่อยากเจอส้งวี่จนใจจะขาด แต่ก็ต้องควบคุมอารมณ์เอาไว้ มันช่างเป็นอะไรที่ทรมานเหลือเกิน
“พี่คะ สองสามวันนี้ อย่าเพิ่งไปนะ” มู่ซือซือมองเขาด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น
“พี่จะอยู่เป็นเพื่อนเธอ”
เมื่อปลอบประโลมมู่ซือซือจนหลับไป มู่วี่สิงถึงได้ออกไปจากห้องนอนของน้องสาวแล้วกลับไปที่ห้องหนังสือ เขายืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง ในหัวนั้นมีแต่ภาพที่สวยงามเกี่ยวกับเวินจิ้ง
หยิบบุหรี่ออกมาจุดแล้วคีบไว้ระหว่างนิ้ว เพียงแต่ว่าความคิดถึงนั้นสุดยากที่จะอาจห้ามได้ หนำซ้ำยังทวีคูณยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ดับไฟที่ก้นบุหรี่ลง แล้วออกจากบ้านหลังเก่า ขับรถมุ่งหน้ากลับไปที่การ์เด้นมูเจียวาน
รถที่เพิ่งจะขับเข้ามาในชุมชน ก็มีร่างที่คุ้นเคยออกมาจากการ์เด้นมูเจียวาน
ร่างที่สวมชุดเดรสสีขาว ผมยาวสลวยจรดบ่า ใบหน้าที่ไม่ชัดเจนภายใต้ความมืด แต่เงารูปร่างนี้ ก็คือผู้หญิงที่อยู่ในความคิดถึงและคร่ำครวญหาตลอดเวลา
เขาจับพวงมาลัยไว้แน่น ดวงตาร้อนผ่าว
เห็นเวินจิ้งขึ้นรถแท็กซี่คันหนึ่ง เขาจึงเหยียบคันเร่งแล้วตามแท็กซี่คันนั้นไปไม่ห่าง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถแท็กซี่มาจอดอยู่ที่ประตู F สายตามู่วี่สิงจดจ่ออยู่ที่ร่างบอบบางนั้น จนกระทั่งร่างนั้นลับหายไปจากสายตา เขาถึงขับรถกลับไปที่การ์เด้นมูเจียวาน
เปิดไฟขึ้น สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคืออาหารสามอย่างและซุปอีกถ้วยหนึ่ง
หน้าตาอาหารไม่ค่อยน่ารับประทานเท่าไร ดูแล้วคงเป็นฝีมือของเวินจิ้ง ด้วยอาหารที่น่าจะทำเสร็จไว้นาน จึงไม่ค่อยได้กลิ่นความหอมของอาหาร
ข้างๆมีถ้วยสองใบและตะเกียบสองคู่ มู่วี่สิงรู้ว่า เป็นอาหารเย็นที่เวินจิ้งเตรียมไว้สำหรับเขา
แต่เธอทำไมถึงไม่บอกเขา
มู่วี่สิงเม้มริมฝีปากอันบอบบาง แล้วพาร่างที่ยาวเหยียดให้นั่งลง หยิบตะเกียบขึ้นมา
เขาทานอาหารทุกจานอย่างตั้งใจ ถึงแม้อาหารจะเย็นมากแล้วก็ตาม แต่ว่าเขาก็ค่อยๆทาน ค่อยๆเคี้ยวจนกระทั่งทานจนหมด
หลับตาลง ความหนักหน่วงที่มีก็อันตรธานไป
……
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา งานศพคุณนายหลิงได้ฝังไว้ที่สุสานในเขตชานเมืองทางตะวันตก
เวินจิ้งกลับไปบ้านใหญ่ตระกูลหลินก่อน แล้วค่อยไปพร้อมกับหลินเวย
ใบหน้าที่โรยราของเธอ หลินเวยมองแวบแรกก็สังเกตเห็นได้
“วี่สิงละ ทำไมถึงไม่มาพร้อมกับเธอ” หลินเวยถามด้วยความแปลกใจ
ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเวินจิ้งก็แน่นิ่งไป ไม่มีคำพูดใดๆจากปากเธอ
“เสี่ยวจิ้ง” บอกแม่มาสิว่าเกิดอะไรขึ้น หลินเวยหยุดชะงักเดิน พร้อมสายตาที่เป็นห่วง
ความผิดปกติของเวินจิ้ง เธอสังเกตเห็นนานแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณหมอมู่ช่วงนี้ยุ่งมาก หนูไม่ได้ติดต่อกับเขามาสักพักแล้วค่ะ” เสียงเวินจิ้งพูดแผ่วเบาๆ
ในสัปดาห์นี้เธอไม่ได้เจอหรือโทรศัพท์หามู่วี่สิงจริงๆ แม้แต่สักครั้งเดียว
เขาคงอยู่ข้างกายหลิงเหยา
ถ้าเธอไปหาเขา เกรงว่าจะเป็นการไปรบกวน
เมื่อนึกขึ้นความจี๊ดก็กระจายไปทั่วจิตใจ
“วี่สิงเด็กน้อยนั่นก็ยุ่งตลอดเวลา เมื่อก่อนเขาไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้ พวกเธอทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”
เวินจิ้งก้มลงแล้วส่ายหน้า
“แม่ เราไปกันเถิด”
หลินเวยก็ยิ่งเป็นห่วง แต่มันเป็นเรื่องของหนุ่มสาวสองคน ซึ่งเธอก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปก้าวก่ายได้
ณ สุสาน
หลินเวยกับเวินจี้งมาถึงเวลาที่เหมาะเจาะพอดี สำหรับคุณนายหลิงเธอไม่ถึงกับสนิท แต่หลินเวยกับคุณนายหลิงเขาเป็นเพื่อนกัน หลินเวยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เวินจิ้งยืนอยู่ด้านหลัง เธอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นรูปร่างที่คุ้นเคยกระแทกเข้ามาในดวงตาเธอ
เขาอยู่…..ข้างๆหลิงเหยา
เสื้อดำกางเกงดำ บรรยากาศที่เยือกเย็น ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
ทันใดนั้น ดวงตาที่ลุ่มลึกคู่นั้นได้เงยขึ้น ประสานเข้ากับดวงตาของเธอท่ามกลางผู้คนในงาน
เวินจิ้งกะพริบตา มุมปากของเธอค่อยๆเผยอขึ้นเชิงแดกดันเล็กน้อย
ไม่ได้สบตากับเขาอีก เธอพยุงแม่ยืนเงียบๆอยู่หน้าหลุมฝังศพคุณนายหลิง
เมื่อตอนที่หันหลัง ไม่รู้ว่าหลิงอี้นั้นอยู่ด้านหลัง เกือบจะชนเข้าทรวงอกของหลิงอี้
หลิงอี้ประคองเธออย่างสุภาพบุรุษ เวินจิ้งค่อยๆถอยหลังออกเพื่อรักษาระยะห่าง
“คุณนายหลิน เวินจิ้ง ขอบคุณที่มานะครับ” ท่าทีหลิงอี้แสดงออกอย่างเคารพ
“หลิงอี้ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ” หลินเวยกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
หลิงอี้พยักหน้าอย่างช้าๆ ถึงแม้ความรู้สึกของเขาจะถูกซ่อนไว้ลึกๆภายในใจ แต่ความเศร้าในดวงตาของเขานั้นยากที่ปกปิดไว้ได้
ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ที่นี่นาน หลินเวยมองมู่วี่สิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วมองกลับมาที่เวินจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมา
“อยากจะคุยกับมู่วี่สิงไหม” เห็นลูกสาวที่เศร้าซึมไม่มีความสุขแบบนี้ คนที่เป็นอย่างเธอเห็นแล้วก็ทุกข์ใจแทน
เวินจิ้งแน่นิ่ง ค่อยๆเม้มริมฝีปากที่อมชมพู ไม่มีการพยักหน้าหรือส่ายหน้าใดๆ
เมื่อเธอแข็งทื่ออยู่กับที่ มู่วี่สิงจึงได้เดินมุ่งตรงมาที่เธอ
หลินเวยขึ้นรถไปก่อน เวินจิ้งมองมู่วี่สิงที่ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ ด้วยเธอที่อารมณ์โกรธ จึงทำการหันหลังแล้วอยากจะจากไป
เธอ…..เดาไม่ออกความคิดของผู้ชายคนนี้จริงๆ
พักนี้ที่เขาใกล้ชิดกับหลิงเหยา เป็นเพราะการเสียชีวิตของคุณนายหลิงหรือ
ทำไมแม้แต่คำอธิบายสักคำเดียวเขาก็ไม่มีให้เธอ
ระหว่างพวกเขา…..จริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้น
เวินจิ้งไม่ชอบสถานการณ์ที่เป็นอยู่เช่นตอนนี้เลย ความสัมพันธ์ของสองคนที่ไม่ชัดเจน
“เดี๋ยวกลับพร้อมกับผมนะ” น้ำเสียงโทนต่ำของมู่วี่สิงดังขึ้น
ได้ยินดังนั้น เวินจิ้งค่อยๆเงยหน้าขึ้น ปากอมชมพูนั้นยิ้มเยาะออกมา “คุณมู่กลับไปกับคุณหลิงเถอะค่ะ”
“จิ้งๆ” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว
“อย่าเรียกฉันแบบนี้” เวินจิ้งสะบัดหน้าหนี
หากต้องเผชิญหน้ามู่วี่สิงต่อ เธอกลัวเธอจะใจอ่อน
เธอไม่ชอบ…..ที่ตัวเองเป็นแบบนี้
วินาทีต่อมา มู่วี่สิงได้จับข้อมือเธอไว้ เวินจิ้งเซไปสองสามก้าว แล้วเธอก็ถูกโอบกอดเข้าไว้ในทรวงอก
ลมหายใจที่คุ้นเคยทำให้เธอถึงกับเคลิบเคลิ้ม
เธอคิดถึงเขาเหลือเกิน
แต่ว่า เธอก็ยังขัดขืนการกระทำของเขา
“จิ้งๆ เมื่อครู่เธอเรียกผมว่าอะไรนะ” น้ำเสียงมู่วี่สิงถึงกับเย็นชาลง
ดวงตาดำลุ่มลึกที่เย็นชาและน่ากลัว
เวินจิ้งสบตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว เวลานี้เมื่อจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา สิ่งที่สะท้อนกลับมาให้เห็นคือตัวเธอที่เล็กๆอยู่ในนั้น
เธอพูดแดกดันอีกครั้ง “คุณมู่”
“จิ้งๆ คุณกำลังโกรธผม” น้ำเสียงมู่วี่สิงพูดออกมาอย่างแน่ใจ
แต่เธอสู้แรงมู่วี่สิงได้ที่ไหนกัน ยิ่งขัดขืนกลับถูกเขายิ่งกอดยิ่งแน่น