flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 564 ฉันติดหนี้บุญคุณเธอ

บทที่564 ฉันติดหนี้บุญคุณเธอ

ในวันถัดไปนั้น ในที่สุดเวินจิ้งก็ได้เจอกับศาสตราจารย์ส้ง

เธอสารภาพว่าการลาออกในครั้งนี้เป็นคำสั่งการโยกย้ายจากเบื้องบน เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เธอเองก็ไม่ได้คาดคิดเช่นกัน

ตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยได้จัดศาสตราจารย์คนอื่นๆให้มารับมือกับนักศึกษาของเธอแล้ว นอกจากเวินจิ้ง นักศึกษาคนอื่นๆก็ได้ติดต่อกับอาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เวินจิ้ง อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอจะมาในสัปดาห์หน้านะ”

“ศาสตราจารย์คะ อาจารย์ที่ปรึกษาของฉันเป็นใครคะ?”

“เธอรู้จักอยู่แล้ว” ส้งเชนยิ้ม แล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

เวินจิ้งรู้สึกสงสัย เธอรู้จักด้วยอย่างนั้นหรือ?

ไป๋สือ?

แต่ช่วงนี้เธอเพิ่งจะติดต่อกับศาสตราจารย์ไป๋ไปเมื่อไม่นานมานี้เอง เขากำลังไปเที่ยวรอบโลกอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะมารับตำแหน่งนี้

ที่เธอรู้จัก….เหมือนจะไม่มีแล้ว

คืนวันนั้น บรรดานักเรียนพากันจัดงานเลี้ยงส่งให้กับศาสตราจารย์ส้ง เวินจิ้งมาช้าไปเล็กน้อย และส่วนโจวเซินนั้นก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน

เขากับศาสตราจารย์ส้งมีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นาน

สีหน้าท่าทางของศาสตราจารย์นั้นดูจริงจังมาก ส่วนสีหน้าของโจวเซินเองนั้นก็ดูไม่สู้ดีเช่นกัน

เวินจิ้งดื่มน้ำผลไม้ รู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง

เวลานี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น กลับเป็นร่างที่คุ้นเคยเดินเข้ามา

เวินจิ้งเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นเองจึงเห็นว่าเป็นเจียงฉี

เขา…..

เห็นเจียงฉีแล้ว ส้งเชนจึงมานั่งลงตรงตำแหน่งตรงกลางเพื่อแนะนำกับทุกคน “ยังไม่ได้แนะนำกับทุกคน นี่คือเจียงฉีนักศึกษาที่เพิ่งจะย้ายมาสาขาศัลยกรรมของเรา แต่ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาจะติดตามศาสตราจารย์เฉิน”

เวินจิ้งรู้สึกทั้งแปลกใจและตกใจ

ตอนนั้นเจียงฉีลาออกจากมหาวิทยาลัยไป เธอก็รู้สึกเสียดายมาก แต่ตอนนี้เขาสามารถเข้ามาที่มหาวิทยาลัยFได้แล้ว นี่นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวเลย

“ผมเจียงฉี ก่อนหน้านี้ผมเรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยหลินไห่ ดีใจมากครับที่ได้เข้ามาที่มหาวิทยาลัยF” เจียงฉีที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนกางเกงสีดำ ดูสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยนยิ่งนัก

เขาใส่แว่นตาไร้ขอบ แววตาที่ถูกซ่อนเอาไว้นั้นทำให้คนมองรู้สึกสบาย

เขาหน้าตาดีอยู่แล้ว ระหว่างมื้ออาหารนั้นก็มีเพื่อนผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่จ้องมองเขาอยู่ตลอด ต่างพากันส่งสายตาเป็นรูปหัวใจให้เขา

เขายิ้มออกมาบางๆ ท่าทางยังคงดูอบอุ่นอ่อนโยนอยู่เช่นเดิม

“เจียงฉี ขอโทษด้วยนะที่ต่อไปฉันจะเป็นคนนำเธอไม่ได้แล้ว แต่ศาสตราจารย์เฉินเองก็เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่โดดเด่นมาของคณะเราเหมือนกัน เธออยู่กับเขาฉันเองก็จะได้วางใจ”

“ศาสตราจารย์ครับ ขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้เข้ามายังมหาวิทยาลัยFนะครับ”เจียงฉียิ้ม

เขามองเวินจิ้งแวบหนึ่ง แล้วหลังจากที่พูดคุยกับส้งเชนซักพักหนึ่งแล้วนั้น เขาก็นั่งลงข้างๆเวินจิ้ง

“ต่อไปพวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมคณะกันแล้วนะ”

เวินจิ้งมองเขา เธอไม่ได้ติดต่อกับเจียงฉีมานานมากแล้ว แต่หลังจากนั้นเจียงฉีก็มีทางฝ่ายตำรวจคอยปกป้องอยู่ คิดดูแล้วก็คงจะไม่มีอันตรายแล้วเช่นกัน

ตอนนี้เห็นเขาฟื้นคืนสภาพแทบจะเป็นปกติแล้ว และดูมีชีวิตชีวามากขึ้นอีกด้วย

“ยินดีด้วยนะ” เวินจิ้งขยิบตาให้อย่างซุกซน

เจียงฉีเพียงแค่รู้สึกว่าสายตาของเขามองได้แค่แวบเดียว ก็ต้องละสายตาออกไปแล้ว

“ตอนนั้นที่ไม่มีใครยอมช่วยฉัน ก็มีเธอนี่แหล่ะที่คอยช่วยฉันเอาไว้ เวินจิ้ง ฉันจำได้เสมอเลยนะว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธออยู่” เจียงฉีดื่มชา แล้วนึกย้อนกลับไปตอนนั้นวันที่เลิกกับหลิงเหยาแล้วถูกทำร้าย มีเพียงแค่เวินจิ้งที่ให้ความช่วยเหลือเขา

“ตอนนั้นพวกเราก็เป็นเพื่อนกันนี่นา ช่วยเหลือกันก็เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว อีกอย่างฉันเองก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” เวินจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ

เธอไม่ได้ลำบากออกแรงอะไรเลยด้วยซ้ำ

“ต่อไปเธอมีอะไรต้องการให้ฉันช่วย ก็บอกฉันได้เลยนะ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วนะ” เป็นการยากที่จะปฏิเสธ เวินจิ้งชนแก้วกับเขา

ในมุมที่ไม่ไกล โจวเซินมองดูสถานการณ์การพูดคุยของทั้งสองคน ดวงตาสีดำนั้นหรี่ลงเล็กน้อย

จนถึงช่วงดึก งานเลี้ยงถึงได้สิ้นสุดลง ส้งเชนกลับออกไปก่อนตั้งนานแล้ว เหลือเพียงแค่กลุ่มนักเรียนที่ยังคงอยู่เพียงเท่านั้น

เวินจิ้งไม่ชอบงานที่คึกคักแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว และนี่ก็ใกล้เวลาที่เธอควรจะต้องกลับไปแล้วเช่นกัน เจียงฉีก็ยังคงยืนยันว่าจะไปส่งเธอ

เพียงแต่เมื่อออกมาจากประตูแล้วนั้น โจวเซินกลับมาดักหน้าเธอเอาไว้

“นายมีรถหรือ? ฉันไปส่งเวินจิ้งเองจะสะดวกกว่า” น้ำเสียงของโจวเซินดูหนักแน่นขึ้นมา

เขาเป็นนักศึกษาปริญญาเอกเพียงคนเดียวที่ศาสตราจารย์ส้งรับเอาไว้ สถานะของเขานั้นเป็นที่เคารพจากเพื่อนๆในคณะเดียวกัน

“ไม่รบกวนรุ่นพี่โจวดีกว่าค่ะ” เวินจิ้งเอ่ยปากปฏิเสธขึ้นก่อน

“เวลานี้นั่งรถกลับไปก็ไม่ปลอดภัยหรอก อีกอย่างฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะไปส่งเธอแค่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องระวังฉันขนาดนี้ก็ได้”

“รุ่นพี่คะ พวกเราไปกันได้รึยัง?” ไม่ไกลมากนั้น ยังมีเพื่อนผู้หญิงอีกสองสามคนกำลังรอโจวเซินอยู่จริงๆ

“ไปกันเถอะ” ว่าแล้วนั้น โจวเซินก็ดึงข้อมือของเวินจิ้งไว้

สายตาของเจียงฉีมองมาที่ทั้งสองคน ดวงตาของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

เวินจิ้งพยายามออกแรงดิ้นให้หลุด แต่ด้วยโจวเซินที่มีแรงมากกว่า เวินจิ้งจึงผลักเขาไม่ได้เสียที

เพื่อนผู้หญิงไม่กี่คนนั้นมองเธอด้วยสายตาแห่งความอิจฉา เวินจิ้งรู้สึกเพียงแค่ว่าน่ากลัวเสียจริงๆ

“โจวเซิน!” เวินจิ้งโมโหแล้ว

โจวเซินกลับเพียงแค่ยิ้มออกมา “ฉันไม่วางใจให้เจียงฉีไปส่งเธอ”

“ฉันต่างหากที่ไม่วางใจที่จะให้คุณไปส่ง” เวินจิ้งกระซิบกระซาบออกมา

เพิ่งจะเดินออกมาจากร้านอาหารนั้น ในที่สุดเวินจิ้งถึงได้ผลักตัวโจวเซินออก เพียงแต่ร่างสูงที่ยืนอยู่ทางด้านนอกร้านอาหารนั้น ทำให้เวินจิ้งรู้สึกทั้งประหลาดใจและตกใจไปพร้อมๆกัน

หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ มู่วี่สิงได้ถามเธอถึงสถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้ เธอจึงส่งแชร์ตำแหน่งไปให้เขา

คิดว่ามูวี่สิงที่ช่วงนี้เขากำลังยุ่งกับเรื่องของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปอยู่นั้น เธอคิดว่าเขาจะเอ่ยถามไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าเขาจะมา….

รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินจิ้งนั้นขยายกว้างขึ้น เธอแทบจะวิ่งเข้าไปหาอ้อมกอดของเขาในทันที

สายตาที่เย็นชาเล็กน้อยของมู่วี่สิงนั้นกวาดมองไปทางโจวเซิน ด้วยดวงตาที่เคร่งขรึม

ตอนที่จับมือเล็กๆของเวินจิ้งนั้น เขาก็เห็นรอยแดงบนข้อมือของเธออย่างชัดเจน แววตาเย็นชาแสดงออกมาอย่างเปิดเผย

“คุณมาได้อย่างไรคะ?” เวินจิ้งเงยหน้าขึ้นมา ดวงตามีรอยยิ้มเปล่งประกายออกมา

สีหน้าที่ตึงเครียดของมู่วี่สิงอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ไม่มีอะไรให้ต้องจัดการแล้วก็เลยมาน่ะครับ ไม่อยากเจอผมหรือ?”

“ไม่ใช่อยู่แล้วค่ะ” สิ้นคำพูดเวินจิ้งก็เรอออกมาหนึ่งครั้ง

เธอมีท่าทางเก้ๆกังๆ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว แล้วลูบผมของเธอด้วยความเอ็นดู ตอนที่มองใบหน้าแดงๆของเวินจิ้งนั้น จึงขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง

“ผมไม่ได้อยู่ด้วยยังจะกล้าดื่มเหล้าอีกหรือครับ?”

เวินจิ้งแลบลิ้นออกมา เธอดื่มกับเจียงฉีไปเพียงแค่แก้วเดียวเท่านั้น……

“ต่อไปจะไม่กล้าทำอีกแล้วค่ะ” เวินจิ้งหัวเราะออกมา

อยู่ต่อหน้ามู่วี่สิงเธอจะยอมแพ้เขาเสมอ

พาเธอขึ้นมาบนรถ มู่วี่สิงกอดเธอเอาไว้ แม้ว่าร่างของเวินจิ้งจะมีกลิ่นต่างๆมากมาย แต่เขาก็ไม่ได้ผลักไสเธอ

“คุณรู้ไหมคะว่าศาสตราจารย์ส้งถูกย้ายไปอยู่ที่ไหน?” เวินจิ้งหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย แล้วเอ่ยพึมพำขึ้นมา

“ตระกูลโจว” แววตาของมู่วี่สิงชัดเจนมาก

คำพูดนี้หลุดออกไปแล้ว ดวงตาของเวินจิ้งเบิกกว้างขึ้น แอลกอฮอล์ที่อยู่ในร่างกายหายไปไม่น้อย

“อะไรนะคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

จู่ๆก็นึกถึงตอนที่อยู่ในร้านอาหารเมื่อครู่นี้ ศาสตราจารย์ส้งและโจวเซินพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา

“อืม ช่วงนี้ตระกูลโจวมีรายการหนึ่ง โดยมีส้งเชนเป็นผู้รับผิดชอบ ค่าตอบแทนที่ตระกูลโจวให้มากกว่าที่มหาวิทยาลัยFอยู่มากเลยน่ะครับ” มู่วี่สิงเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ

เรื่องนี้ยังไม่ถูกเผยแพร่ออกไป เก็บเอาไว้เป็นความลับมาโดยตลอด

ระยะนี้ที่เขาจับตามองตระกูลโจว ถึงได้รู้เรื่องนี้เข้า

“แต่ศาสตราจารย์ทำไมถึงได้ทิ้งการวิจัยทางวิชาการแล้วไปที่ตระกูลโจวล่ะคะ……” เวินจิ้งไม่เข้าใจ

เข้าไปในตระกูลโจว สิ่งที่ตามหาก็คงจะเป็นเงินและผลประโยชน์อยู่แล้ว

แต่เธอให้ความเคารพกับศาสตราจารย์ส้งมาโดยตลอด และรู้สึกว่าศาสตราจารย์ไม่ใช่คนแบบนี้

“ระยะนี้ตระกูลโจววุ่นวาย การเข้าไปที่นั่นของส้งเชนจะสามารถช่วยให้สถานการณ์คงที่ได้เป็นการชั่วคราว แต่ตระกูลส้งนั้นไม่ใช่ง่ายๆเลย” มู่วี่สิงหยุดเอาไว้แค่ตรงนี้

ในหัวของเวินจิ้งนั้นกลับยังไม่เข้าใจ ในใจของเธอนั้นรู้สึกว่า การพัฒนาของศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยนั้นดีที่สุดแล้ว

อีกทั้งเธอก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรโจวเซินนั่นด้วยเช่นกัน

flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

Options

not work with dark mode
Reset