บทที่565 เข้าข้าง
กลับมาถึงการ์เด้นมูเจียวาน เวินจิ้งหลับไปเรียบร้อยแล้ว
มู่วี่สิงมองใบหน้าด้านข้างที่สงบนิ่งของเธอ ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นมา ริมฝีปากเย็นๆประทับลงบนริมฝีปากของเธอ และลึกซึ้งขึ้น
หลังจากที่รถจอดแล้ว เขาก็อุ้มเธอลงมาจากรถ เธอถึงได้ค่อยๆตื่นขึ้นมา
“ทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะคะ” เวินจิ้งเอ่ยพูดขึ้นในลำคอ
เธอลืมตาขึ้นมา มู่วี่สิงได้อุ้มเธอขึ้นมายังห้องนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้านหลังของเธอแนบลงกับเตียงนุ่มๆ ร่างสูงยาวของเขากดทับลงมา เธอถูกเขากักตัวเองไว้โดยไม่มีทางหนีไปไหนได้
“นอนเถอะครับ เดี๋ยวผมช่วยอาบน้ำให้นะ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของมู่วี่สิงดังขึ้น
สิ้นคำพูดของเขาแล้ว เขาก็เริ่มถอดเสื้อผ้าของเธอออก
เวินจิ้งอดที่จะตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ แล้วความรู้สึกต่อมานั้นเธอก็ได้หดร่างของตัวเองไป
ตอนนี้เธอไม่หลงเหลือความง่วงอยู่แล้ว
“ฉันอาบเองได้ค่ะ”
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะ “ปฏิบัติต่อกันด้วยความซื่อสัตย์” แต่บางครั้งเวินจิ้งก็ยังมีอาการเขินอายอยู่มาก
ตามองดูหญิงสาวที่หนีออกจากอ้อมกอดของเขา เขาก็จับตัวเธอกลับเข้ามาสู่อ้อมกอดของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
และวินาทีต่อมานั้น เวินจิ้งก็ถูกมู่วี่สิงอุ้มเข้าห้องน้ำไป……
ภายใต้สภาพที่มึนเมานี้ มู่วี่สิงสามารถยั่วเย้าทำให้ทั้งร่างของเวินจิ้งอ่อนลงได้อย่างง่ายดาย เธอพิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา อย่างตกอยู่ในสภาพที่ยอมจำนนแต่โดยดี
“มู่วี่สิง พรุ่งนี้คุณยังต้องทำงานนะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว”
ชายหนุ่มที่มีพละกำลังที่เต็มเปี่ยม ริมฝีปากพรมจูบลงบนหลังหูของเธอ น้ำเสียงแหบพร่านั้นกลับให้ความเซ็กซี่ออกมา
“พรุ่งนี้ไม่ทำงานครับ”
………
วันถัดมา เวินจิ้งตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลากลางวันแล้ว ใบหน้ารูปไข่นั้นอดที่จะหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้
ล้างหน้าล้างตาออกมาแล้วนั้น มู่วี่สิงกำลังนั่งอ่านประวัติอาการป่วยอยู่ในห้องรับแขก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาใส่แว่นตาไร้ขอบ ออร่าที่แผ่ออกมาทั่วทั้งร่างกายของเขาช่างดูสูงส่งและสง่างามยิ่งนัก
ภาพตรงหน้าที่สวยงามเช่นนี้ ยังคงทำให้คนมองต้องรู้สึกหน้าแดงและใจเต้นแรงได้จริงๆ
เวินจิ้งไม่อาจละสายตาออกไปได้เลย จนกระทั่งมู่วี่สิงใช้ขายาวๆของเขาเดินเข้ามาหาเธอ
เขาประคองด้านหลังศีรษะของเธอ แล้วก้มลงจูบเธออย่างลึกซึ้ง
เวินจิ้งตื่นขึ้นมาในทันที ตอนนี้เธอรู้สึกตัวก็ขัดเขาขึ้นมาในทันที
เธอยันหน้าอกเขาเอาไว้ แล้วผลักเขาออก
มู่วี่สิงอุ้มเธอขึ้นมาตรงข้างๆโต๊ะอาหาร อาหารกลางวันที่วางอยู่เต็มโต๊ะนั้นส่งกลิ่นหอมออกมา
“วันนี้คุณไม่ต้องไปทำงานจริงๆหรือคะ?” เวินจิ้งกัดมะเขือเทศหนึ่งคำ ริมฝีปากที่ชุ่มฉ่ำนั้นเปิดออกเล็กน้อย ช่างร้อนแรงมากเหลือเกินในสายตาของมู่วี่สิง
ดวงตาของเขาลึกซึ้ง ลูกกระเดือกขยับไปมา
“อืม วันนี้อยู่บ้านเป็นเพื่อนคุณไงครับ”
“เย็นนี้ต้องกลับไปทานข้าวที่บ้านหลินนะคะ คุณยังจำได้ใช่ไหม?”
“จำได้สิครับ เดี๋ยวรอกลับไปพร้อมคุณนี่แหล่ะ”
เวินจิ้งยิ้ม หลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้วนั้น เธอเคยชินกับการมานั่งไล่ดูข้อความในwe chat เพื่อนๆของเธอนั้นมีการจัดอาจารย์ที่ปรึกษากันหมดแล้ว แต่ตอนนี้เธอกลับไม่มีเสียอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่มีอาจารย์ที่ปรึกษาคนไหนที่ยอมจะมาเป็นคนนำเธอ แต่เมื่อคิดว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น ในใจนั้นรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก
เวลานี้ โทรศัพท์มือถือของมูวี่สิงดังขึ้นมา หลังจากที่รับโทรศัพท์แล้วนั้น เขามองไปทางเวินจิ้งอย่างรู้สึกผิด “เดี๋ยวผมต้องไปประชุมที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป ตอนเย็นผมจะพยายามไปที่บ้านหลินให้เร็วหน่อยแล้วกันนะครับ?”
“งานสำคัญสินะคะ เย็นนี้ฉันจะรอคุณนะ”
หลังจากที่มู่วี่สิงออกไปแล้วนั้น เวินจิ้งจึงเก็บของเพื่อกลับไปยังบ้านหลิน แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อไปถึงที่บ้านหลินแล้วนั้นจะพบกับโจวเซิน
เขาสวมใส่ชุดสีดำกางเกงสีดำ ออร่าที่ออกมาทั่วทั้งร่างกายนั้นช่างดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ขาที่ก้าวอยู่ของเธอนั้นชะงักค้างไป ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามพ้นประตู
เขาและหลินเวยคงจะกำลังพูดคุยเรื่องงานกันอยู่ ด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“เสี่ยวจิ้งกลับมาแล้ว” เมื่อเห็นลูกสาว สีหน้าที่ดูเคร่งขรึมของหลินเวยนั้นจึงอ่อนโยนขึ้นมาอยู่บ้าง
“ค่ะแม่” สีหน้าของเวินจิ้งนิ่งมาก
“คุณนายหลิน ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” โจวเซินลุกขึ้นยืน ตอนที่อยู่ต่อหน้าของหลินเวยนั้นเขามีท่าทางที่ดูนอบน้อมมาก
หลินเวยพยักหน้า และตอนที่โจวเซินจะเดินผ่านเวินจิ้งไปนั้น ขาของเขาก็ชะงักลง
เวินจิ้งเดินไปข้างๆแม่ เมื่อเห็นว่าโจวเซินไปแล้วนั้นเธอถึงได้เอ่ยขึ้น “แม่คะ แม่กับเขามีอะไรต้องคุยกันอย่างนั้นหรือคะ?”
“เขาเป็นรุ่นพี่ของลูกนะ ลูกดูเหมือนกับไม่พอใจเขาอย่างนั้นแหล่ะ?” ในที่สุดหลินเวยก็มองต้นสายปลายเหตุนี้ออก
“ก็ปกตินี่คะ ความสัมพันธ์ของพวกเราก็เป็นปกติ” เวินจิ้งเอ่ยพูดขึ้นอย่างเรียบๆ
“ช่วงนี้สถานการณ์ของตระกูลโจวไม่ค่อยจะดีนัก โจวเซินหวังจะให้แม่ช่วยลงทุนรายการใหม่ให้เขาน่ะ” หลินเวยไม่ได้ปิดบัง
ทั้งสองบริษัทนับว่าไม่ใช่บริษัทคู่แข่ง อีกทั้งช่วงนี้กิจการของบริษัทหลินซื่อเองก็นับว่าไปได้สวย ดังนั้นจึงมีเงินทุนที่จะเอามาหมุนเวียนอยู่ไม่น้อย
แต่ถ้าหากลงทุนให้กับตระกูลโจว ก็นับว่ายังมีความเสี่ยงอยู่
“ถึงอย่างไรเรื่องทางธุรกิจหนูเองก็ไม่เข้าใจอะไรมากอยู่แล้ว ถ้าหากทำแล้วได้กำไร ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” เวินจิ้งกล่าว
“แม่รู้สึกว่าลูกไม่อยากจะให้แม่ร่วมงานกันกับโจวเซินเลยนะ” หลินเวยมองความคิดของลูกสาวตัวเองออก
เมื่อครู่นี้ที่เห็นตอนที่โจวเซิน อยู่นั้น สีหน้าของเธอดูเคร่งขรึมมาก
“ที่ไหนกันล่ะคะ” เวินจิ้งพึมพำขึ้นอย่างระแวง
“เมื่อกี้โจวเซินบอกกับแม่ว่า อาจารย์ที่ปรึกษาลูกลาออกแล้ว เขาสามารถแนะนำอาจารย์ที่ปรึกษาให้ลูกได้นะ” หลินเวยมองลูกสาว
เรื่องนี้เธอไม่รู้เลย โดยปกติแล้วเวินจิ้งจะพูดคุยเรื่องที่อยู่ในใจกับเธอน้อยมาก ดังนั้นหากเธอมีเวลาจึงทำได้เพียงให้เธอกลับมาบ้านบ่อยๆ พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกให้มากขึ้น
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ” เวินจิ้งปฏิเสธออกมาโดยไม่ต้องคิดเลยเสียด้วยซ้ำ
“อืม แม่เคารพการตัดสินใจของลูกนะ แต่อาจารย์ที่ปรึกษาของลูกยังไม่ได้รับการยืนยันเลย แม่กังวลว่า….” หลินเวยขมวดคิ้วขึ้น เธอกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงทางฐานะของลูกสาวที่รวดเร็วนี้ จะทำให้สุดท้ายแล้วเธอจะต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย
ผลลัพธ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่เธอไม่อยากเจอมากที่สุด
ดังนั้นเมื่อครู่นี้เธอจึงไม่ได้ปฏิเสธโจวเซินไป
“แม่คะ ถ้าหากไม่มีอาจารย์ที่ปรึกษาคนไหนยอมที่จะเป็นคนมานำหนู หนูก็จะคิดหาวิธีอื่นได้อยู่แล้วค่ะ” เวินจิ้งเอ่ยขึ้นมาอย่างดื้อรั้น “หนูจะไม่ไปขอความช่วยเหลือจากโจวเซิน ไม่จำเป็นต้องให้เขามาช่วยหนู”
“ลูกดูมีเจตนาเป็นศัตรูกับเขาจริงๆนะ” ครั้งนี้น้ำเสียงของหลินเวยเอ่ยขึ้นมาด้วยความมั่นใจ
เวินจิ้งเม้มปาก ไม่ได้ปฏิเสธใดๆ
“ครั้งนี้รายการที่โจวเซินคุยกับแม่ ผู้รับผิดชอบก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาของลูก นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ฮือฮาเรื่องหนึ่งในอุตสาหกรรมทางการแพทย์นี้”
ได้ยินแล้วนั้น เวินจิ้งจึงเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “ศาสตราจารย์ส้งหรือคะ?”
เธอนึกขึ้นมาได้ ว่าก่อนหน้านี้มู่วี่สิงเคยบอกกับเธอ ว่าตอนนี้ส้งเชนจะไปอยู่ที่ตระกูลโจว
“อืม ดังนั้นภาพของโครงการนี้ในอนาคต นับว่าไม่เลวเลยนะ” หลินเวยพิจารณาในมุมของนักธุรกิจ
เวินจิ้งขมวดคิ้วขึ้น เวลานี้ในใจของเธอนั้นรู้สึกไม่สบายเท่าไรนัก
“แม่คะ ถ้าหากแม่รู้สึกว่าทำได้ จะร่วมงานกับเขาก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ” เวินจิ้งเอ่ยขึ้น
เธอไม่อยากให้ทัศนคติของตัวเองต้องมาส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของหลินเวย
“คิดแบบนี้จริงๆหรือ?” หลินเวยเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมากในวงการธุรกิจ เธอมองดูการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเวินจิ้งออก
“ตอนนี้ในวงการธุรกิจต่างก็รู้ว่าตระกูลโจวกับบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปกำลังแข่งขันกัน แม่ร่วมงานกับตระกูลโจว นั่นก็เท่ากับเป็นการโจมตีบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปเหมือนกันนะ” หลินเวยยิ้ม
คำพูดนี้ ทำให้สีหน้าของเวินจิ้งไม่สามารถสงบนิ่งลงได้แล้ว
“แม่ ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ช่วยตระกูลโจวไม่ได้แล้วล่ะค่ะ” เวินจิ้งกระซิบกระซาบออกมาด้วยความระแวง
มู่วี่สิงเป็นผู้ชายของเธอ เธอจะต้องเข้าข้างเขาอยู่แล้ว
“อืม แม่เองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน โจวเซินคนนี้ นิสัยของเขานั้นคาดเดาได้ยากเกินไป วิธีการของเขาเองก็ทำให้แม่ไม่ชอบใจเท่าไหร่เหมือนกัน เพียงแต่แม่คิดว่าเขาอยู่ที่มหาวิทยาลัยFนี่บางทีอาจจะช่วยเหลือลูกได้บ้างก็แค่นั้น”