บทที่ 571 ไม่ได้หึง
เช้าวันนั้นมู่วี่สิงไม่ได้ไปมหาลัย หลังจากที่เวินจิ้งโทรหาเขา แล้วก็ไปหาเจียงฉีแทน
เธอยังไม่ทันได้กินข้าวเช้า พอเจียงฉีรู้เข้า ก็ห่ออาหารให้ทันที
“เจียงฉี จริงๆแล้วฉันยังไม่หิว” เวินจิ้งรู้สึกขัดเขิน
เธอไม่อยากรบกวนเจียงฉี
“ไม่เป็นไร คุณกินก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราค่อยเริ่มกัน” เจียงฉีแสดงยิ้มอ่อนโยนออกมาบนใบหน้า
เขาหล่อมาก พอยิ้มขึ้นมาเลยมีทำพลังทำลายล้างสูง
แต่เพราะเธอได้เจอกับผู้ชายที่หล่อเหลาสมบูรณ์แบบอย่างมู่วี่สิงตลอดเวลา เลยดูเหมือนว่าเสน่ห์ของผู้ชายคนอื่นก็ไม่ได้ดึงดูดขนาดนั้น ในสายตาเธอ
เมื่อกินอาหารเที่ยงง่ายๆเสร็จ ทั้งคู่ก็เริ่มคุยกัน
ครั้งนี้งานที่ทั้งสองทำเสร็จด้วยกัน ไม่เพียงแต่เป็นการบ้านเท่านั้น ถ้าผ่านการอนุมัติจากศาสตราจารย์เฉิน งานนี้ก็สามารถเป็นหัวข้อวิจัยใหม่ได้ และยังสามารถตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่มีชื่อเสียงได้ด้วย
เจียงฉีก็คาดหวังเรื่องนี้อยู่ ดังนั้นจึงทุ่มเทและใส่ใจเวินจิ้งมาก
หัวข้อที่พวกเขากำลังทำคือการศึกษาปฏิกิริยาของเกลือแอมโนเนีย เจียงฉีมีความสามารถมากกว่าที่เวินจิ้งคาดเสียอีก ความรู้หลายๆจุดเขาก็สามารถอธิบายออกมาได้อย่างละเอียด
แต่เวินจิ้งอ่อนในด้านนี้ ทำให้ระหว่างที่เจียงฉีกล่าวออกมา เธอจึงต้องเสริมความรู้ไปด้วย
จนกระทั่งตกเย็น ทั้งคู่ถึงได้กำหนดทิศทางของหัวข้อ
“หิวหรือยัง” เจียงฉียิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความสนิทสนม
เวินจิ้งลูบคอน้อยๆ เธอหิวจริงๆ
เวลาผ่านไปเร็วมาก
“ไปกัน ผมเลี้ยงมื้อดึก ผมว่างานนี้พวกเราทำกันมาเยอะแล้ว” เจียงฉีประเมินความคืบหน้า
“เหมือนว่าฉันจะเป็นตัวถ่วงแล้ว” เวินจิ้งรู้สึกอึดอัดใจ
“ที่ไหนกัน พวกเราก็เป็นกลุ่มเดียวกัน ยังไงก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว” เจียงฉีพูดให้กำลังใจ
ทันใดนั้น โทรศัพท์ของเจียงฉีก็ดังขึ้นมา เวินจิ้งจึงหยุดเดิน และหันกลับไป
และทันทีที่หันกลับไป เธอก็เห็นเงาของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า และกำลังจะโจมตีท้ายทอยของเธอ เวินจิ้งดึงสติกลับมาได้ แต่ก็ไม่สามารถต่อสู้ได้เลย
เจียงฉีที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้นหันกลับมา และรีบวิ่งมาจับข้อมือของคนร้ายไว้ได้ทัน แต่เพราะตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว เวินจิ้งจึงเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายไม่ชัด
คนร้ายหนีไปอย่างรวดเร็ว และเจียงฉีก็ไม่ได้ตามไป แต่เลือกที่จะเดินมาหาเธอและถาม “ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
เวินจิ้งส่ายหน้าด้วยใบหน้าซีดเผือด
แต่คนเมื่อกี้เป็นคนประเภทไหนกัน
เธอยังคงกลัวอยู่ไม่น้อย
“อยากแจ้งความมั้ย”
เวินจิ้งพยักหน้า จากนั้นก็มีเสียงของเจียงฉีตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “แถวนี้กล้องวงจรปิดเสีย แสดงว่าอีกฝ่ายคงจะเตรียมการมาดี”
“คุณเลือดไหล!” เธอพูดออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็รีบหยิบทิชชู่จากกระเป๋าออกมาอย่างรวดเร็ว
เพราะเป็นนักเรียนแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์เธอจึงพกติดตัวไว้เสมอ
“ไม่เป็นไร” เจียงฉียิ้มออกมาบางๆ
แต่เพราะรอยแผลลึกไม่น้อย ทำให้สีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีเหมือนกัน
“พวกเราไปโรงพยาบาลกันเถอะ” เวินจิ้งพันแผลเบื้องต้นให้เจียงฉีแล้ว แต่ก็ยังต้องจัดการอีกอยู่ดี
“เวินจิ้ง คงต้องรบกวนคุณแล้ว” เจียงฉีลูบหัวตัวเอง ด้วยความลำบากใจ
“พูดอะไรแบบนั้น คุณมาช่วยปกป้องฉันจากคนคนนั้น ฉันสิที่รบกวนคุณ ขอโทษด้วยนะคะ” เวินจิ้งพูด
ถ้าให้พูดกันจริงๆ เจียงฉีเจ็บตัวก็เพราะเธอ
เจียงฉีมองเธอ พร้อมทั้งมีความรู้สึกแปลกๆผ่านเข้ามาในสายตาของเขา
เมื่อถึงโรงพยาบาล เวินจิ้งก็รออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เพราะเวลานี้มีแต่แผนกฉุกเฉินเท่านั้นที่เปิดบริการ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเธอเองที่ไม่ได้ยินเสียง ทั้งๆที่มู่วี่สิงก็โทรหาเธอแล้วหลายสาย
เธอจึงรีบรับโทรศัพท์ในทันที
“จิ้งจิ้ง ยังไม่กลับหอหรอ” น้ำเสียงของมู่วี่สิงค่อนข้างเย็นชา
“เจียงฉีได้รับบาดเจ็บ ฉันมาโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเขา”
“ดึกขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวผมจะไปรับคุณกลับมา” น้ำเสียงของมู่วี่สิงหนักแน่น
เวินจิ้งขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรไป
“โอเค”
เมื่อดูเวลา ก็พบว่ามันเกือบเที่ยงคืนแล้ว
ไม่นานประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก แต่คนที่เดินออกมากลับไม่ใช่เจียงฉี แต่เป็นคุณหมอที่เดินออกมาพร้อมสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก “แผลของคนไข้ติดเชื้อ ต้องอยู่รอดูอาการหนึ่งคืนครับ”
“แผลของเขาติดเชื้อร้ายแรงมั้ยคะ”
“ครับ ผมสงสัยไว้แผลของเขาได้รับยาพิษอื่นๆด้วย”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว พอคิดไปถึงชายคนร้ายคนนั้น สีหน้าของเธอก็ยิ่งเคร่งขึ้น
เมื่อมาถึงห้องผู้ป่วย เวินจิ้งก็เดินเข้าไป พร้อมทั้งเทน้ำอุ่นให้กับเจียงฉี
“ขอโทษนะ” เธอพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร ผมโอเคจะตาย”พูดจบ เจียงฉีก็เบ่งกล้ามโชว์ตามไปด้วย
แต่แค่แป๊บเดียวเขาก็หมดแรงจนหลับไป
เวินจิ้งจับแขนของเขา และเมื่อเห็นรอยแผลที่เริ่มดำขึ้นมา สายตาเธอก็ยิ่งร้อนแรงขึ้น
“เวินจิ้ง…”
ทันใดนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก และตอนที่มู่วี่สิงเดินเข้ามาก็ทันได้เห็นตอนเวินจิ้งจับแขนของเจียงฉีพอดี
ดวงตาเธอมีน้ำตาคลออยู่
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก จากสีหน้าที่อบอุ่นก็กลายเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
“มู่วี่สิง” เวินจิ้งปล่อยมือจากเจียงฉี พร้อมวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
แต่ในตอนที่เวินจิ้งกำลังจะจับมือใหญ่ของเขานั้น เขาก็หลบหลีกไป
และในวินาทีต่อมา เขามาจับมือเล็กพร้อมจูงเดินออกไปด้วยกัน
“มู่วี่สิง…ฉัน…ฉันยังไม่กลับ” กว่าเธอจะรู้ตัว ก็ถูกมู่วี่สิงลากให้เดินออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้ว
แผ่นหลังของเขาเย็นชา ไม่ได้คิดจะหยุดเพราะคำพูดของเวินจิ้งเลยสักนิด
“มู่วี่สิง…” เวินจิ้งเพิ่งจะรู้ชัดในตอนนี้ว่ามู่วี่สิงกำลังโกรธ
แล้วเขาโกรธเรื่องอะไรล่ะ
“เจียงฉีต้องนอนที่โรงพยาบาล ฉันอยากกลับดึกหน่อย” เมื่อเดินเข้ามาในลิฟต์ต์ เวินจิ้งจึงมองเขาแล้วพูด
มู่วี่สิงหันกลับมา สายตาที่ดำมืดและล้ำลึกนั้นทำให้เธอกลัวเล็กน้อย
เวลานั้นเวินจิ้งสั่นน้อยๆ
สีหน้าของมู่วี่สิงน่ากลัวจริงๆ
“ผมไม่อนุญาต”
เวินจิ้งอึ้งไป ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ของมู่วี่สิงนัก
“แต่ฉันอยากอยู่” เธอก็เริ่มโมโหแล้ว
“จิ้งจิ้ง คุณมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา” จู่ๆมู่วี่สิงก็เดินเข้ามาประชิดเธอ พร้อมยกแขนยาวขึ้นและในเวลานั้นเวินจิ้งก็ตกไปอยู่ในอ้อมกอดเขาทันที
อากาศรอบๆตัวต่างก็เป็นกลิ่นกายของผู้ชายอย่างมู่วี่สิง
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน” เวินจิ้งพูดอย่างตรงไปตรงมา
”งั้นก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน คงไม่ต้องให้รอทั้งคืนหรอกมั้ง”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว และก็ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ อย่าบอกนะว่ามู่วี่สิงหึงเธอกับเจียงฉี
“คุณหึงหรอ” เธอโพล่งออกไป
เมื่อได้ยิน สีหน้าของมู่วี่สิงก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น
“เปล่า” เขาพูดเสียงเย็น พร้อมด้วยสีหน้าแปลกๆ
เวินจิ้งขยับเข้าไปใกล้เขาอีกก้าว พร้อมกอดเอวเขาไว้ “คุณไม่ต้องหึงแล้ว เจียงฉีช่วยฉันเขาถึงได้รับบาดเจ็บ ฉันก็เลยรู้สึกผิด”
มู่วี่สิงขมวดคิ้วมุ่น วินาทีที่เวินจิ้งกอดเขา ใจเขาก็อ่อนลงในทันที
เขาหรี่ตาลงพร้อมดึงเวินจิ้งออก
“ผมไม่ได้หึง” น้ำเสียงของเขาเย็นชา
แต่เวินจิ้งก็ไม่เชื่อ ยิ่งเขาผลักเธอออกเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเข้าไปชิด
เธอถูกแก้มกับหน้าอกของเขา พร้อมพูดเสียงเขา “ไม่หึงก็ไม่หึง งั้นพรุ่งนี้ฉันค่อยมาก็ได้”