บทที่ 592 เวินจิ้ง เราเลิกกันแล้ว
เจี่ยนอีมองลูกสาว อยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่พูด
“แม่ ทำไมแม่ต้องมาอยู่ที่โรงพยาบาล เวินโม่ล่ะ?” เวินจิ้งเริ่มสงบลง แต่น้ำเสียงก็ยังคงสั่นอยู่
“เขา….เขาเสียแล้ว” เสียงของเจี่ยนอีเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง
เวินจิ้งสั่นระริกไปทั้งตัว สติหลุดหายไปนาน
“เป็นแบบนี้ได้ยังไง……”
“เขาจะมารับฉันแล้ว จริงๆแล้วฉันก็อยากเคียงข้างเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย” น้ำเสียงของเจี่ยนอีปนไปด้วยเสียงสะอื้น ผ่านไปพักใหญ่ อารมณ์ถึงได้ค่อยๆสงบลง
“เวินจิ้ง ที่แม่ไม่ติดต่อแกไป เป็นเพราะว่าเวลาของแม่เหลือไม่มากแล้ว” เจี่ยนอีถอนหายใจออกมา
“ไม่จริง” เวินจิ้งรีบส่ายหน้า
เจี่ยนอีจะต้องไม่เป็นอะไร
แต่ว่า เจี่ยนอีจะเอาเรื่องนี้มาโกหกเธอทำไม
แต่เวินจิ้งก็อยากจะหลอกตัวเอง
“ฉันเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จริงๆแล้วฉันไม่อยากบอกแกหรอก แต่โจวเซินเป็นฝ่ายมาหาฉันก่อน ฉันเลยเปลี่ยนใจ” “แม่ ฉันรักษาแม่ให้หายได้นะ…….” เวินจิ้งพึมพำ เธอหยิบเอาประวัติคนไข้ที่วางอยู่ข้างๆแม้ขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง แต่เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดสุดท้าย น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาราวเขื่อนแตก
“เด็กโง่ แม่รู้ร่างกายของตัวเองดี ตอนนี้ก็แค่ใช้ชีวิตที่เหลือไปวันๆ แต่แม่ไม่อยากให้แกรู้สึกไม่ดีเลย”
“ฉันไม่เป็นอะไรเลยแม่ ฉันสบายดีมาก” เวินจิ้งพูดเสียงหนักแน่น
แต่เจี่ยนอีไม่เชื่อ “แล้วแกกับมู่วี่สิง เลิกกันแล้วเหรอ?”
เวินจิ้งชะงัก “เรายังรักกันดี”
“ฉันเห็นข่าวช่วงนี้แล้ว เขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อโจวหย่านอะไรนั่น แล้วแกจะยอมเป็นเมียน้อยให้เขาหรือไง? แม่ไม่ยอมให้แกได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้หรอก!” เสียงของเจี่ยนอี่เต็มไปด้วยความโกรธ
“แม่ ฉันไม่ใช่เมียน้อย ฉันรักกับมู่วี่สิงมาตลอด ส่วนข่าวพวกนั้น…..เอ่อ….” ชั่วขณะเธอก็ไม่รู้ว่าควรโต้กลับไปอย่างไรดี
เธอยังติดต่อมู่วี่สิงไม่ได้ แม้ว่าจะเชื่อใจเขา แต่ว่าในเวลานี้ ก็ต้องมีลังเลกันบ้าง
“รูปแบบนั้น ใครๆเขาก็ดูออกว่าสนิทชิดเชื้อกันขนาดไหน เวินจิ้ง แกอย่าหาข้อแก้ตัวแทนเขาหน่อยเลย อีกอย่าง แม่ไม่อยากให้แกรักกับมู่วี่สิงอีกแล้ว” น้ำเสียงของเจี่ยนอีเด็ดขาดมาก
เวินจิ้งชะงักนิ่ง “แม่….ฉัน…..”
“เวินจิ้ง ถ้าแกยังเห็นฉันเป็นแม่อยู่ ก็ยอมอยู่ที่ประเทศFดีๆซะ อย่ากลับไปที่เมืองหนานเฉิงอีกเลย แล้วก็อย่าติดต่อกับมู่วี่สิงอีก”
“ทำไมล่ะคะ?”
“ลูกแม่ แกรู้เอาไว้แค่ว่า แม่หวังดีกับแกก็พอ” ความเจ็บปวดในดวงตาของเจี่ยนอีค่อยๆแพร่กระจายไปทั่ว แต่ไม่นานเธอก็สามารถเก็บซ่อนมันเอาไว้ได้
คำพูดของเจี่ยนอีทำให้เวินจิ้งสติหลุดไปนาน ไม่ให้กลับไปที่เมืองหนานเฉิงงั้นเหรอ เลิกยุ่งกับมู่วี่สิงงั้นเหรอ
คิดว่าเธอ….ทำได้ไหม?
“โจวเซินพูดอะไรกับแม่ใช่ไหม? แม่อย่าปล่อยให้เขาชักนำสิ ฉันกับมู่วี่สิงรักกันดีมาตลอด” เวินจิ้งพยายามอธิบาย
แต่เธอมองออก ว่าเจี่ยนอีไม่ได้ถูกใครชักจูงทั้งนั้น
“โจวเซินไม่ได้พูดอะไรกับฉันทั้งนั้น เวินจิ้ง แม่อยากให้แกมีความสุข แต่มู่วี่สิงให้ความสุขกับแกไม่ได้หรอก ฉันรู้สึกคิดผิดมาตลอดที่เมื่อก่อนเคยอนุญาตให้พวกแกแต่งงานกัน” ในเวลานี้ ดวงตาของเจี่ยนอีเต็มไปด้วยอารมณ์แค้นเคือง“แม่ เรื่องข่าวในครั้งนี้ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ แม่อย่าพึ่งอคติกับมู่วี่สิงสิ” ผ่านไปพักใหญ่ เวินจิ้งถึงได้หาเสียงตัวเองเจอ
มู่วี่สิงที่เธอรู้จัก ไม่ใช่คนอย่างนี้
“ลูกออกไปก่อนเถอะไป” เจี่ยนอีถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไรอีก
เธอเองก็ไม่อยากก้าวก่ายความคิดของลูก แต่มันก็มักจะอดไม่ได้
เมื่อนึกถึงเวินโม่ เธอก็ไม่คิดที่จะยอมให้ลูกสาวกลับไปรักกับมู่วี่สิงอีก
อีกอย่างในสายตาของเธอตอนนี้ ผู้ชายคนนั้นก็กระทำความผิดไว้เยอะมาก
“ก็ได้ ฉันไม่พูดแล้วก็ได้ ให้ฉันอยู่กับแม่นะ” เวินจิ้งไม่ยอมจากไปไหน
กว่าจะได้เจอเจี่ยนอีก็ไม่ใช่ง่ายๆ แล้วยิ่งมารู้เรื่องสุขภาพของแม่อีก ตอนนี้เธอต้องอยู่ข้างๆแม่
“ลูก ฟังแม่นะ ต่อไปนี้อยู่ที่ประเทศFได้ไหม? ที่ฉันไม่ปฏิเสธคำพูดของโจวเซิน ก็เพราะว่าฉันหวังว่าเขาจะดูแลแกได้” เจี่ยนอีกับโจวเซินไม่ได้รู้จักอะไรกันมากมาย แต่เธอดูออก ว่าโจวเซินชอบลูกสาวตัวเอง
และเขาก็รับปากแล้วด้วย ว่าจะปกป้องเวินจิ้งไปตลอดชีวิต
แม่ทุกคนบนโลกนี้ ต่างก็ต้องการแบบนี้กันทั้งนั้น ขอแค่ลูกตัวเองไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นกังวล เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก ไม่ได้ตอบกลับอะไรไป
“แม่ นอกจากข่าวพวกนั้นแล้ว แม่บอกได้ไหมว่าทำไมถึงได้ต่อต้านมู่วี่สิงขนาดนั้น? เมื่อก่อนแม่ชอบเขามากไม่ใช่หรือไง?” เวินจิ้งถามอย่างสงสัย
ท่าทีของเจี่ยนอีในตอนนี้ทำให้เธอสงสัยมาก
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อที่เจี่ยนอีพูด เพียงแต่ว่า มู่วี่สิงคือคนที่เธอต้องการมาตลอด ถ้าหากไม่มีเขาอยู่ข้างกาย เธอก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าวันข้างหน้าเธอจะเป็นอย่างไร
เป็นเขาที่คอยสนับสนุนทุกการก้าวเดินของเธอมาจนถึงวันนี้
เพียงแค่คิดว่าต้องไปจากเขาจริงๆ ก็ถือเป็นความเจ็บปวดที่ในชีวิตนี้เธอคงไม่มีทางรับได้
เธอทำไม่ได้
“ที่แม่ไม่ได้ติดต่อแกมาตลอด มันมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั้นก็เพราะตระกูลมู่คอยขัดขวางอยู่ตลอด”
เวินจิ้งนั่งฟังที่แม่พูดเงียบๆ จากนั้นก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาชั่วขณะ
“มู่วี่สิงไม่มีทางทำอย่างนี้แน่!” ผ่านไปนาน เธอถึงได้มีสติโต้กลับไป
“คนของตระกูลมู่ไม่ยอมให้ฉันกลับไปที่เมืองหนานเฉิง และฉันก็คิดว่าเป็นฝีมือของมู่วี่สิง เขาใจร้ายได้ถึงขนาดนี้ แล้วฉันจะวางใจยกแกให้เขาได้ยังไง อีกอย่างต่อให้ไม่ใช่มู่วี่สิง ตระกูลมู่ก็ไม่มีทางยอมรับแกหรอก แม่ไม่อยากให้เห็นแกโดนกระทำไม่ดีใส่ เข้าใจไหมลูก?” เจี่ยนอีพูดออกมาจากใจจริง
“ฉันไม่ได้โดนกระทำอะไรนะ” เวินจิ้งหลุบตาลง
ถึงตอนนี้มู่เฉิงจะไม่ชอบเธอจริงๆก็เถอะ แต่มู่วี่สิงก็ปกป้องเธอมาตลอด เธอไม่เคยโดนกระทำอะไรเลยจริงๆ
“แม่เหนื่อยแล้ว แกออกไปเถอะ ฉันพูดได้เท่านี้แหละ ส่วนจะตัดสินใจยังไงมันก็เรื่องแก”
เวินจิ้งไม่ได้ออกไปไหน ด้านเจี่ยนอีก็หลับไปแล้ว เธอนั่งเหม่ออยู่ข้างเตียง ตอนนี้เธออยากถามเรื่องราวทั้งหมดกับมู่วี่สิงให้มันรู้เรื่องไปเลย เธอพร้อมที่จะเชื่อเขา
แต่ก็ไม่คาดคิดเลย ว่างานแต่งงานของมู่วี่สิงกับโจวหย่านจะดำเนินการเร็วถึงขนาดนี้
สามวันต่อมา เวินจิ้งก็ได้เห็นข่าวบนอินเทอร์เน็ต โจวหย่านในชุดเจ้าสาวสีขาวคล้องแขนมากับชายหนุ่มรูปหล่อ งานแต่งงานจัดอยู่ในโรงแรมที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปร่วมลงทุน พูดได้เลยว่าเป็นงานที่เปล่งประกายเจิดจ้าเป็นอย่างมาก
รอยยิ้มของโจวหย่านดูมีความสุขเอามากๆ
ทั้งๆที่ไม่อยากเห็น แต่น้ำตาของเวินจิ้งก็ไหลอาบหน้าอย่างห้ามไม่ได้
แหวนบนนิ้วนางของโจวหย่านดึงดูดสายตาได้เป็นอย่างดี จนเธอมองเห็นมันได้ในทันที
และตอนนี้เวินจิ้งก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ที่ตอนแรกเธอไม่ยอมรับแหวนจากมู่วี่สิง ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้แต่งงานกัน แต่ถ้ามีแหวนวงนั้น ก็สามารถเป็นหลักประกันให้เธอเชื่อใจเขาได้
แต่ว่าตอนนี้ มู่วี่สิงแต่งงานกับโจวหย่านไปแล้วเรียบร้อย
เธอติดต่อเขาไม่ได้ ทำได้เพียงแค่นั่งดูมู่วี่สิงกับผู้หญิงอีกคนเข้าพิธีแต่งงานด้วยกันอยู่อย่างนั้น คนข้างกายเขา ไม่ใช่เธอแล้ว
ความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตนี้ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ค่อยๆดังขึ้นมา ไม่ต้องเงยหน้าไปมองเวินจิ้งก็รู้ว่าเป็นโจวเซิน
“ฉันอยากโทรหาเขา” เธอมองไปยังโจวเซินด้วยน้ำตาที่พราวระยับ
“ได้สิ”
ครั้งนี้ โจวเซินไม่ได้ปฏิเสธ ในเวลานี้ มู่วี่สิงกับโจวหย่านคงเข้าหอไปแล้วล่ะมั้ง แล้วเขาจะรับสายเธอเหรอ?
“ตู๊ดๆๆ…..”
หัวใจของเวินจิ้งเต้นเร็วมาก จนแทบจะทะลุออกมานอกอก
เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร ในที่สุด เสียงของมู่วี่สิงที่เธอรอคอยอยากได้ยินมาตลอด ก็ดังขึ้นมา “เวินจิ้ง เราเลิกกันนะ”