บทที่ 59 ทะเลาะ
สามชั่วโมงผ่านไป เวินจิ้งฟื้นขึ้นมา พร้อมกับเห็นเพดานสีขาวลายดอกไม้
เธอขยับนิ้ว พยายามที่จะลุกขึ้นนั่งแต่ก็ไม่สำเร็จ เธอจึงนอนอยู่ในท่าเดิม
“จิ้งจิ้ง!” อั้ยเถียนเข้ามาแล้วรีบไปเปิดไฟทันที พอเห็นว่าเวินจิ้งฟื้นแล้วเธอก็โล่งอก
“ฉัน… “ เวินจิ้งขมวดคิ้วพลางทำหน้าหงุดหงิด เมื่อภาพตอนที่เธอยังมีสติอยู่หวนกลับเข้ามาในหัวของเธอ
นี่เธอสร้างปัญหาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย
“ไม่ต้องพูดมาก มาให้ฉันกอดทีมา จิ้งจิ้ง เธอเกือบจะไม่รอดจากพิษเคมีนั้นแล้วนะ!” อั้ยเถียนพูดเหมือนจะร้องไห้
เวินจิ้งตบบ่าของเธอเบาๆเป็นการปลอบ ตอนนั้นเธอกลัวมาก เธอจำได้ว่าตอนหลังเหมือนจะมีคนวิ่งเข้ามาช่วยเธอด้วย
ใช่มู่วี่สิงหรือเปล่านะ
แต่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เห็นเขาเลย
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ” เวินจิ้งพูดเสียงต่ำแล้วถามต่อ : “แล้วนี่มาได้ยังไง”
“หัวหน้าเสี้ยวบอกน่ะ แล้วอีกอย่างฉันก็หายดีแล้วด้วยเลยจะมารับช่วงแทน”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าเดินตรงมายังห้อง พร้อมกับร่างของมู่วี่สิง
เวินจิ้งมอง สายตาของเขานั้นทำให้เธอรู้สึกกลัว
ปกติเขาก็ดูน่ากลัวอยู่แล้ว แต่ยิ่งพอเขาทำสายตาเย็นชาใส่เขาก็ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
ใจของเวินจิ้งเต้นไม่เป็นส่ำ เธอพยายามจะหลบหน้าเขา
พอเห็นว่ามู่วี่สิงมา อั้ยเถียนก็เลยรีบออกไป ทิ้งไว้ให้เธออยู่กับเขาเพียงลำพัง
มู่วี่สิงวางกล่องข้าวลงและเดินเข้ามาใกล้ๆ พอเห็นว่าเวินจิ้งฟื้นแล้วจริงๆ เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“คุณผู้หญิงมู่” เขาพึมพำพลางเชยคางของเธอขึ้น พร้อมกับประกบริมฝีปากเธออย่างอ้อยอิ่งและลึกซึ้ง
เธอตัวแข็งทื่อ ทำไมเธอถึงไม่เรียนรู้กับจูบของเขาสักทีนะ หลายครั้งที่เธอทำให้เขาหัวเสียและเกือบจะทะเลาะกันทุกครั้งเพราะเรื่องนี้
“นาย… คือคนที่เข้าไปช่วยฉันใช่ไหม” เวินจิ้งถาม เธอจำได้ว่ามีคนเข้าไปช่วยเธอจริงๆ และจิตใต้สำนึกของเธอก็จำได้ว่าเป็นเขา
พอได้ยินคำถามนั่น สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที : “ฉืออี้เหิงน่ะ เธอคงไม่หวังให้เป็นเขาหรอกใช่ไหม”
มู่วี่สิงพูดอย่างกล้ำกลืน
พอเวินจิ้งเห็นว่ามู่วี่สิงทำหน้าบึ้ง เธอก็ยิ้มออกมาทันที
นี่เขาหึงเหรอ
“ฉันคิดว่าเป็นนาย และหวังให้เป็นนายด้วย มู่วี่สิง” เธอพูดอย่างจริงจัง
พอเห็นสายตาของเธอเขาก็ยอมที่จะเชื่อ
“เป็นเพราะฉันดูแลเธอไม่ดีเอง” เขาทำหน้าเศร้า สายตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ
“ฉันโง่เองต่างหาก… “ เวินจิ้งหน้าแดง พลางเข้าไปซุกอยู่ตรงอกของเขา
คนอะไรเดินๆอยู่ยังหลงได้
“รู้ก็ดีแล้ว” เขาจับหัวเธอ ไม่ให้เธอตอบโต้อะไรเขาได้
เธอทำสายตาไม่พอใจใส่จนเขาต้องมองเธอแบบอ้อนๆ
หลังจากที่เวินจิ้งฟื้น หมอก็รีบเข้ามาดูอาการของเธอ ซึ่งเธอก็เข้าสู่สภาวะปกติแล้ว แต่ก็ยังต้องรอดูอาการไปอีกสักสองสามวัน
แต่งานของเธอล่ะ… จะทำยังไง แม้ว่าอั้ยเถียนจะมาแล้วก็จริง แต่คนก็ไม่พออยู่ดี
“มู่วี่สิง นายช่วยเอาฉันออกจากโรงพยาบาลที” เวินจิ้งมอง
ชายตรงหน้าขมวดคิ้วมองเธอ พอเขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงบูดบึ้ง : “ถึงจะออกจากโรงพยาบาลฉันก็ไม่อนุญาตให้เธอกลับไปทำงานหรอกนะ”
“นายไม่ต้องมายุ่งได้ไหม” เธอพูดอย่างโกรธๆ ไม่พอใจกับการที่เขามาบังคับเธอนู่นนี่นั่น
“อะไรนะ” เขาหรี่ตามอง “ถ้าไม่อยากให้ฉันยุ่ง แล้วอยากให้ใครยุ่งล่ะ”
“นั่นมันก็เรื่องของฉัน”
“แต่ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของฉันแล้ว” เสียงของมู่วี่สิงทุ้มลง
เวินจิ้งเม้มปาก พลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง ไม่สนใจมู่วี่สิงอีก
“ถ้าฉันยังไม่อนุญาต เธอก็ห้ามไปไหน” พูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องไป
ในห้องแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบ เวินจิ้งหลับตา ทั้งๆที่เขาออกไปแล้วแต่ทำไมอารมณ์ของเขายังคงคุกรุ่นอยู่ในห้องนี้อยู่นะ
…
พอเวินจิ้งทานข้าวเที่ยงเสร็จ เธอก็คิดที่จะออกจากโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่ามีการ์ดสองคนยืนอยู่หน้าห้องของเธอ และไม่ยอมให้เธอออกไปไหน
“ห้ามออกครับ” เสียงเย็นๆลอยมา
เวินจิ้งขมวดคิ้ว นี่เขาจ้างการ์ดมาคุมเธอเหรอ
พอรู้อย่างนั้น เธอก็รีบโทรหาอั้ยเถียนทันที
“จิ้งจิ้ง มีอะไรหรือเปล่า ตอนนี้เธอยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้หรอ อยากให้ฉันไปรับไหม”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันลองคิดหาวิธีอื่นดูอีกรอบ เธอทำงานต่อเถอะ” พอเธอรู้ว่าอั้ยเถียนกำลังทำงานอยู่ เธอก็ไม่อยากรบกวนอั้ยเถียนให้มารับเธอ
“ได้ยินหมอมู่พูดอยู่เหมือนกัน ว่าถ้าเกิดเธอออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ จะพาเธอกลับเมืองหนานเฉิงทันที”
พอวางสาย เธอก็คิดได้ว่าคงไม่มีทางที่เธอจะออกไปจากโรงพยาบาลนี่ได้แน่ๆ พอคิดได้อย่างนั้นเธอก็นอนอ่านหนังสือฆ่าเวลาไปเงียบๆ
แต่พออ่านไปอ่านมา ในหัวก็วกไปคิดถึงมู่วี่สิงอยู่ตลอด
ในขณะที่เธอกำลังคิดถึงเขาอยู่นั้น ประตูห้องของเธอก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของฉินเฟยที่เดินตรงเข้ามาหาเธอ
เวินจิ้งมองเธอ พร้อมกับสายตาที่บังเอิญเลื่อนไปเห็นแหวนหมั้นที่สวมอยู่บนนิ้วนางของเธอ
“คุณฉิน ฉันว่าคุณมาผิดห้องแล้วล่ะค่ะ” เวินจิ้งพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
“ฉันมาหาเธอนั่นแหละเวินจิ้ง ที่อาเหิงเป็นคนช่วยเธอออกมา เธอคิดว่ามันบังเอิญเกินไปรึเปล่า” ฉินเฟยพูดพร้อมกับนั่งลงข้างๆเตียงของเวินจิ้ง
“นี่คุณคิดว่าฉันจัดฉากให้เขามาช่วยฉันอย่างงั้นเหรอ” เวินจิ้งถามโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
“มันก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรอ เธอคงนั่งไม่ติดสินะ พอรู้ว่ามะรืนนี้ก็จะถึงวันแต่งงานของฉันกับอาเหิงแล้ว”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว คำพูดของฉินเฟย… มันยากเกินกว่าที่เธอจะทนฟังได้
“ฉินเฟย คุณไม่มั่นใจว่าอาเหิงจะรักคุณมากพอใช่ไหม” เวินจิ้งมองเธอ
หากความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นแข็งแกร่งจริง แล้วทำไมฉินเฟยถึงดูไม่มีความสุขล่ะ
หนำซ้ำเธอยังมีแต่ความรู้สึกอิจฉาริษยาอยู่ด้วย
“อย่ามาพูดบ้าๆนะ อาเหิงเขารักฉันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้ามีแมลงหวี่แมลงวันมากวนใจ ก็ต้องกำจัดมันออกไปไม่ใช่หรอ”
“ถ้าเกิดคุณมาที่นี่เพื่อที่จะมาพูดเรื่องนี้ คุณกลับไปซะเถอะ เพราะฉันไม่อยากรับรู้เรื่องของพวกคุณ”
ฉินเฟยหรี่ตามอง เวินจิ้งในตอนนี้นั้นไม่เหมือนเมื่อสามปีก่อนเลย
ตราบใดที่เวินจิ้งยังอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีวันที่เธอจะวางใจได้
“ยังไงก็ตาม เวินจิ้ง เธอก็น่าจะรู้ตัวนะว่าตอนนี้เธอแต่งงานแล้ว แล้วถ้าเธอเข้ามายุ่งกับพวกฉันอีกล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
“ตั้งแต่เรื่องเมื่อตอนนั้น พวกเราก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แล้วหนิ” เวินจิ้งพูดพลางจ้องเขม็งไปที่ฉินเฟย
ฉินเฟยพูดเสียงเย็นพร้อมกับเดินออกไป : “แน่นอนว่าไม่”
เวินจิ้งขมวดคิ้วพลางกำมือแน่น
…
ยังไม่ทันที่ฉินเฟยจะได้ออกไปจากโรงพยาบาล ฉืออี้เหิงก็มาถึงพอดี : “คุณมาหาเธอหรอ”
“ใคร เวินจิ้งเหรอ” ฉินเฟยถามอย่างเฉยเมย
เหมือนฉืออี้เหิงเองก็จะพูดเป็นนัยๆด้วยเหมือนกัน
“ถ้าฉันมาหาเธอ แล้วยังไงล่ะ กลัวฉันจะทำอะไรเธออย่างงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ ผมแค่กลัวว่าคุณจะโกรธน่ะ” ฉืออี้เหิงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ทำไมต้องโกรธล่ะ ก็เห็นอยู่ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกัน จะเป็นห่วงกันบ้างก็ไม่แปลกนี่”
ฉืออี้เหิงขมวดคิ้ว อยากจะเข้าไปดูเวินจิ้งเต็มที แต่ในเมื่อฉินเฟยยังอยู่ตรงนี้แล้วเขาจะทำยังไงได้ล่ะ
คิดถึงตอนที่เวินจิ้งหมดสติทีไร เขาก็เป็นกังวลขึ้นมาทุกที
…
ช่วงเย็น พออั้ยเถียนทำงานเสร็จก็รีบมาหาเวินจิ้งทันที แต่คิดไม่ถึงว่าเสี้ยวหงจะอยู่ที่นี่ด้วย
หลังจากที่มู่วี่สิงออกไปตอนนั้น จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่กลับมาหาเธอเลย…
เขาโกรธรึเปล่านะ
เธอเงียบไปอยู่พักนึง เพราะมัวแต่คิดถึงความรู้สึกของมู่วี่สิงอยู่
“หมอมู่ล่ะ” อั้ยเถียนถามพลางวางแก้วน้ำลง
“ไม่รู้เหมือนกัน” เวินจิ้งตอบเสียงเรียบ
เสี้ยวหงขมวดคิ้ว ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนเรื่องโปรเจกต์นี้สักหน่อย แต่มู่วี่สิงกลับเอาแต่อยู่ที่ห้องวิจัยทั้งวัน และดูเหมือนว่าจะอารมณ์เสียมากๆ ถึงขนาดที่ไม่มีใครกล้าคุยด้วยเลย
“นี่พวกเธอทะเลาะกันหรอ” อั้ยเถียนมองเวินจิ้ง เพราะปกติแล้วเวินจิ้งจะเป็นคนอ่อนโยน แต่นี่ดูเหมือนเธอจะอารมณ์เสียยังไงชอบกล
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ทะเลาะอย่างงั้นเหรอ
ดูเหมือนว่าคงจะใช่มั้ง…
…