บทที่ 614 ทำไมเธอต้องหลบเขา
“ขโมย? งั้นเธอไม่เป็นไรใช่ไหม? เงินทองเป็นของนอกกาย ความปลอดภัยสำคัญที่สุก” เวยอานพูดอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร พอดีเจอเพื่อนคนหนึ่ง”
“เพื่อน? ดังนั้นถึงได้มีความรักแล้ว?”เวยอานยิ้ม
“คือหยูจิ่งห้วน”เวินจิ้งถอนหายใจ
“มีความหวังนะเนี่ย”
“คิดเยอะไปแล้ว”เวินจิ้งแตะที่หน้าผากของเวยอาน แล้วส่ายหัว
“คงไม่ใช่เพราะเขาเด็กกว่าเธอ เธอก็เลยปฏิเสธแล้วเหรอ? หรือจะบอกว่า จริงๆแล้วเธอชอบโจวเซิน เอ่ย เหมือนเขาไม่ได้มาโรงพยาบาลมานานแล้วนะ”เวยอานถึงมีปฏิกิริยา
ปกติโจวเซินจะมาโรงพยาบาลตลอด แต่เวยอานเหมือนไม่เห็นเขามานานแล้ว
“เขาโดนย้ายตำแหน่งแล้ว ปีครึ่งคงไม่อยู่ที่เมืองหนาน”
การตัดสินใจของโจวเซิ่งเกินความคาดหมายของเวินจิ้ง ไม่พอความสัมพันธ์พ่อลูกไม่ค่อยดีมาตลอด เวินจิ้งอยู่บ้านโจวมาสามปี ต้นสายปลายเหตุสามารถเห็นหมด
ตอนเย็นเลิกงาน เวินจิ้งไปเยี่ยมหลินเวยที่โรงพยาบาลเป็นสิ่งแรก อีกหนึ่งอาทิตย์หลินเวยถึงสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ เพราะเวินจิ้งกลับมาแล้ว เวลาของโจวเซิ่งก็สามารถอยู่กับงานได้เยอะขึ้น
“แม่ วันนี้แม่รู้สึกอย่างไรบ้าง?”ทุกวันคนใช้ก็เอาอาหารมาให้ทั้งสามมื้อ เวินจิ้งเปิดกล่องข้าว
“กินอิ่มหลับสบาย แม่วางแผนอยากจะออกจากโรงพยาบาลก่อน”
“หนูลองไปถามหมอดูค่ะ”
สองวันนี้หลินเวยสีหน้าดีขึ้นไม่น้อย มีชีวิตชีวามาก แต่ควรอยู่โรงพยาบาลเพื่อสังเกตการณ์หลังการผ่าตัดจะดีกว่า
หลังจากยืนยันเวลาออกโรงพยาบาล เวินจิ้งกลับมาที่ห้องผู้ป่วย อยู่เป็นเพื่อนแม่ไม่นาน โรงพยาบาลก็โทรมา บอกว่าพรุ่งนี้ในประเทศFมีการประชุมแลกเปลี่ยนวิชาแพทย์ เวินจิ้งเป็นตัวของโรงพยาบาลแผนกประสาท
“มีงานก็รีบกลับไปเถอะ”หลินเวยกำชับ
“พรุ่งนี้มีประชุมค่ะ แม่ งั้นแม่พักผ่อนดีๆนะ”
กลับมาถึงบ้านโจว หวินจิ้งเปิดอีเมลในโทรศัพท์ กำหนดการประชุมพรุ่งนี้ส่งมาแล้ว เวินจิ้งมองอย่างคร่าวๆ สุดท้ายสายตาหยุดที่การประชุมสิบโมงเช้า
เนื้อหาการประชุม: การศึกษารายละเอียดสาเหตุของอาการปวดหัว
ผู้บรรยาย : ดร.หลิงเหยา
เวินจิ้งจ้องชื่ออย่างตกตะลึง ไม่ไร้ร่องรอยของความลุ่มหลงในใจ เธอรีบบังคับตัวเองให้ปิดอีเมล
เช้าวันถัดมา แปดโมงเช้า เวินจิ้งมาถึงโรงแรมระดับดาวอันงดงามใจกลางเมืองตรงเวลา
พึ่งเข้ามานั่งได้ไม่นาน เวินจิ้งก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“ฉันแค่มาลองดู”
เวินจิ้งหันหัวไปอย่างไม่รู้ตัว มองผู้หญิงวัยรุ่นที่ยืนอยู่ข้างๆตัวเอง
เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายและกางเกงขายาวสีเทาเงิน มีเข็มขัดสีแดงไวน์สุดหรูที่เอว บนไหล่เป็นผ้าพันคอผ้าขนสัตว์สีดำขาว…..แต่ตัวอย่างสบายๆ
ตอนนี้หลิงเหยา นิสัยใจคอแตกต่างจากเมื่อสามปีก่อนมาก
เธอมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แถมเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้หญิง
ทันใดนั้นขมับเต้น เวินจิ้งเก็บสายตา ไม่มองเธออีก
“คุณเวิน โทรศัพท์คุณ”
ทันใดนั้นคนด้านหลังเรียกเธอ เวินจิ้งหันหัว สบตากลับหลิงเหยา
หลังจากสามปี ทั้งสองคนคุยกันแบบเห็นหน้าครั้งแรก
“เวินจิ้ง พวกเราเจอกันอีกแล้ว”น้ำเสียงของหลิงเหยาค่อนข้างหยิ่งผยอง
ตอนนี้เธอเป็นศาสตราจารย์ระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยหนานเฉิง แล้วเป็นสมาชิกของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป ในความคิดของเธอ ตำแหน่งเหนือกว่าเวินจิ้ง
“อืม”เวินจิ้งตอบกลับไม่แสดงอาการอะไร
หลิงเหยาไปเตรียมตัวกล่าวสุนทรพจน์อย่างรวดเร็ว เวินจิ้งเรียกสติกลับมา มองลงไปที่กำหนดการของการประชุมอย่างละเอียด ด้านบนมีการแนะนำภูมิหลังของหลิงเหยา
เหตุการณ์พาไป เธอเกือบจะฉีกตารางกำหนดการแล้ว
เช้าสิบโมง เริ่มประชุมอย่างตรงเวลา
ห้องประชุมที่จุคนได้มากกว่าร้อยคนนั้นเต็มไปหมด และผู้หญิงที่สง่างามหน้าเวที กำลังอธิบายความรู้ด้านการวิจัยทางการแพทย์อย่างใจเย็น
คำพูดของหลิงเหยาชัดเจน เป็นระเบียบอย่างชัดเจน แบบนี้ของหลิงเหยาอยู่ในสายตาของเวินจิ้ง รู้สึกไม่คุ้นเคยมากเหมือนกัน
ที่จริงแล้วคนทั้งหมดเปลี่ยนไปแล้ว
มู่วี่สิงเปลี่ยนแล้ว หลิงเหยาก็เปลี่ยนแล้ว
เธอยิ้มอย่างประชดประชัน ปฏิเสธไม่ได้ ตอนนี้ทั้งตัวของหลิงเหยาเต็มไปด้วยเสน่ห์ ไม่น่าแปลกใจที่อยู่ในสายตาของมู่วี่สิง
เธอดูเหมือนปีศาจร้าย ฟังอย่างใจจดใจจ่อ
จนจบการประชุมช่วงบ่าย เวินจิ้งยังนั่งอยู่ หลิงเหยากล่าวสุนทรพจน์ประสบความสำเร็จอย่างมาก หลายคนปรบมือให้กับงานวิจัยของเธอ
เวินจิ้งจดบันทึกอย่างตั้งใจ เป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องประชุม มีงานเลี้ยงฉลองในช่วงเย็น ตัวเอกคือหลิงเหยาอย่างไม่ต้องสงสัย
เวินจิ้งไม่ได้อยากไปมาก แค่เพื่อนที่โรงพยาบาลนั้นไปกันหมดแล้ว เลยลากเวินจิ้งไปด้วย
“ฉันได้ยินมาว่า ศาสตราจารย์หลิงคนนี้เป็นศาสตราจารย์ที่อายุน้อยที่สุดของมหาวิทยาลัยหนานเฉิง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ”
“นั่นแหละ วิจัยเดียวกันคนอื่นสิบปีก็ไม่สำเร็จ เธอประสบความสำเร็จในระยะสั้นๆในเวลาเพียงสามปี ไม่แปลกที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปจะเซ็นสัญญากับเธอ”
“แถมเธอยังสวยอีกต่างหาก พวกเธอเห็นรึเปล่าเมื่อกี้มีหมอผู้ชายหลายคนขึ้นไปพูดคุยด้วย”
“ฉันรู้สึกก็ธรรมดานะ ฉันคิดว่าหมอเวินมีนิสัยใจคอดีกว่าเธอ”
ทันใดนั้นcueมาถึงเวินจิ้งทำให้เธอเรียกสติกลับมาได้ เธอดึงรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา“คุณหลิงโดดเด่นกว่าทุกคน เมื่อกี้ที่กล่าวบรรยาย สะเพร่าไปหน่อย”
เวินจิ้งตั้งใจฟังทั้งหมดไม่ได้ใจลอย เอาที่จดบันทึกของตัวเองขึ้นมา เธอพูดคุยกับแพทย์ข้างกายเธอหลายคน
“คุณหมอเวิน พวกนี้คุณก็ค้นพบได้ ไม่แปลกที่ผู้อำนวยการถึงไว้วางใจคุณ”
“ยังดี ข้อบกพร่องเล็ก ๆ เหล่านี้ สามารถมองข้าม”
“ไม่น่าใช่ เนื่องจากข้อบกพร่องเหล่านี้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตในไม่กี่นาที”
ทุกคนพูดคุยกันแค่คำสองคำ เวินจิ้งหยิบแชมเปญข้างๆขึ้นมา ทันใดนั้นเงยหน้าขึ้น สายตาไม่สามารถมองได้อีกต่อไป
ผู้ชายคนนั้น ยังคงเป็นเสื้อผ้าสีขาวและกางเกงสีดำตามปกติ แต่กลับสะดุดตาของฝูงชน ทำให้คนนั้นยากที่จะลืม
พอดี สายตาเขาไม่หนักไม่เบามองมาที่เธอ ปลายนิ้วยกแก้วไวน์แดง และข้างๆเขาคือหลิงเหยาในชุดกระโปรงสีขาว กำลังพูดคุยกับหมอข้างๆหลายคน
เวินจิ้งหันหน้าอย่างรวดเร็ว แค่ไม่มีความคิดที่อยากจะอยู่ต่ออีกแล้ว
เป็นความคิดเดียวที่อยู่ในสมอง อยากออกจากที่นี่
แต่ว่า ทำไมเธอต้องหลบเขา?
อันที่จริงโลกทางการแพทย์จะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ได้ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็ไม่ได้เล็ก เจอหน้าไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ตอนนี้เธอ…….ต่อต้านมู่วี่สิงจริงๆ
พิเศษคือรู้แล้ว เขาและหลิงเหยาใกล้ชิดกันจนมีลูกแล้วหนึ่งคน งั้นพวกเขา…..แต่งงานแล้วเหรอ?
เธอไม่อยากรับรู้ และก็ไม่อยากไปสืบหา
เงยหน้าขึ้น เธอรินเหล้าเข้าปากเต็มๆ
ของเหลวร้อนผ่าวตกลงไปในกระเพาะอาหาร ทันใดนั้น เวินจิ้งแสบจมูกหายใจติดขัด
เธออยากร้องไห้ แต่ยังคนกลั้นเอาไว้
“โรงพยาบาลทางนั้นยังมีเรื่อง ฉันขอตัวกลับก่อนนะ”เวินจิ้งวางแก้วเหล้า ความรู้สึกวิงเวียนค่อยๆเข้ามาอย่างหนัก
แต่เวลานั้น สายตาของมู่วี่สิงจ้องมองเวินจิ้งอย่างไร้ร่องรอย เห็นว่าเธอออกไปแล้ว เขาค่อยๆหรี่ตา พูดอย่างเย็นชา“สักพักให้คนขับรถส่งเธอกลับไป”