บทที่61 หลงรักมากขึ้นเรื่อย ๆ
“โทษเธอนั่นแหละ ที่ปากพล่อยพูดไปเรื่อยเปื่อยผู้หญิงเอาไม่เลือก” เวินจิ้งพูดราวยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ก่อนจะสะบัดหน้าเดินจากไป
แต่อีกฝ่ายกลับไม่นิ่งเฉย วิ่งลิ่วขึ้นมาถีบไปยังเวินจิ้ง แต่ถูกเวินจิ้งหลบเลี่ยงไปได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เธอกล้าด่าฉันเหรอ? ยศตำแหน่งฉันสูงกว่าเธอตั้งเยอะ เธอไม่อยากอยู่บริษัทอีกต่อไปแล้วใช่มั้ยฮ้า?” หญิงสาวหรี่ตามองบูดบึ้งเป็นฟืนเป็นไฟ
เวินจิ้งขมวดคิ้วมุ่น แม้ว่าขั้นตำแหน่งจะไม่ได้สูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้คนอื่นมาด่าทอโขกสับกันได้
“ถ้าหากเธออยากให้เรื่องนี้มันบานปลายไปกันใหญ่ละก็ ฉันไม่แคร์หรอก” เวินจิ้งเอ่ยเสียงเรียบ ชี้ไปยังกล้องที่อยู่ในมุมต่ำ “ใครกันแน่ที่พูดเสียดสีเสียมารยาทกันก่อน หลักฐานหน่ามีชัดอยู่แล้ว”
เพลิงโทสะหญิงสาวลดเลือนไม่น้อยในทันที กลับต้องสงบใจเย็นวาบลง
เมื่ออั้ยเถียนพูดถึงเรื่องตอนรินชา เลยมาปลอบประโลมเวินจิ้ง “ผู้หญิงอย่างหูชิรายนั้นก็เกินไป แกไม่รู้หรอก ว่าเธอแอบชอบประธานเสี้ยงมาตลอดเลยแหละ แต่ว่าประธานเสี้ยงก็ไม่เคยแยแสเธอเลย”
“ไม่ได้ ฉันจะไปฟ้องรายงานเรื่องเธอ” อั้ยเถียนไม่สบอารมณ์ แต่กต่างจากเวินจิ้งสงบเย็นเรียบเฉยแล้ว
“แกไปรายงานเรื่องเธอ ให้เธอมาเหยียบเท้าตัวเองสะดุดล้มต่อหน้าประธานเสี้ยงเองไม่ดีกว่าเหรอ” เวินจิ้งเอ่ยอย่างเย็นชา
อั้ยเถียนพลางกุมปิดปาก ฮือฮือ สาวเวินจิ้งนี่ดั่งเสือซ่อนเล็บเชียวนะ
เพราะแผนเปิดโครงการของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปหยุดชะงักลง เวินจิ้งถูกลดตำแหน่งมาทำงานเอกสารแทน แต่พอได้เลื่อนกลับได้เลื่อนขั้นตำแหน่งทวีคูณขึ้นสองขั้น ยามค่ำคืนอั้ยเถียนจึงชักชวนพาเธอไปเฉลิมฉลองกันหน่อย
สำหรับการถูกเลื่อนขั้นตำแหน่งในครั้งนี้ เวินจิ้งรู้สึกมันแปลก ๆ ยังไง ๆ อยู่
ซ้ำยังบาดเจ็บจากการไปทำธุระจากต่างจังหวัดอีก และสร้างปัญหาให้กับบริษัทวุ่นวายไปหมด คิดไม่ถึงเลยว่ายังได้เลื่อนขั้นตำแหน่งอีก
“ต้องใช่ที่ประธานเสี้ยงเห็นศักยภาพของเธอแล้วแน่ ๆ” อั้ยเถียนเอ่ยพูด
“คาดว่าน่าจะเห็นศักยภาพของฉันจากการบาดเจ็บแล้ว” เวินจิ้งวิพากษ์ตัวเอง
เลือกร้านอาหารที่เงียบสงบหน่อยก็ไม่ปาน ทั้งสองนั่งทานอาหารอยู่หน้าระเบียง ในยามค่ำคืนพอดี ช่างคึกคักเหลือล้น
เวินจิ้งมองจอโทรศัพท์อย่างไม่ห่างหาย เธอจำได้ว่าคืนนี้มู่วี่สิงมีเคสผ่าตัด ไม่รู้ว่าเสร็จหรือยัง
“อยากโทรหาเขาก็โทรเลยสิ” อั้ยเถียนเดินมา
“ไม่เอาอะ” เวินจิ้งหยิ่งทะนงเล็กน้อย
แต่ยังอย่างไรก็ตาม ก็ยังส่งข้อความให้เขาได้รู้ว่าเธอและอั้ยเถียนอยู่ที่ชิงบาร์
ขนาดนี้ ในอีกมุมด้านหนึ่งของระเบียง สายตาฉืออี้เหิงที่แลเห็นเวินจิ้งตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว
ในมือถือแก้วไวน์ไว้ และมองด้วยแววตาชื่นชมหลงใหลทะลักล้นอย่างลึกล้ำ
ช่วงนี้ทุกอย่างที่เขาเผชิญพบเป็นดั่งผ่านรถไฟเหาะ จากจุดสูงสุดดิ่งร่วงลงไปยังจุดต่ำสุด อย่างไม่หยุดหย่อน
และในช่วงเวลานี้ ทำให้เขาได้รู้เข้าใจบางเรื่องแจ่มแจ้งมากขึ้น
ว่าเขาลืมเวินจิ้งไม่ได้จริง ๆ
ทว่า มันไม่ง่ายดายเลยกว่าเขาจะได้ทุกอย่างในวันนี้มา และจะทำลายมันย่อยยับอีกไม่ได้แล้ว
เมื่อสายฉินเฟยโทรติด เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เฟยเฟย ผมไม่ได้ทำพิลึกอะไรเลยนะ คุณฟังผมอธิบายก่อน”
“คุณไปหาเวินจิ้ง ใช่มั้ยคะ?”
“ครับ แต่มันไม่มีอะไรที่เกินเลยจริง ๆ นะครับ”
“อาเหิง ถ้าหากฉันให้คุณทำร้ายเวินจิ้ง คุณยอมมั้ยคะ?” เฉินเฉยเอ่ยถาม
ฉืออี้เหิงตะลึงค้าง แววตาปรายมองหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลห่างอย่างไม่อาจยับยั้ง เธอยืนนิ่งสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น ก็เพียงพอต่อเสน่ห์ชวนให้หลงใหลตามแล้ว
เขากล้ำกลืนฝืนตัวเองเบือนสายตากลับมา หายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่งก่อนเอ่ย “ผมโอเค เฟยเฟย เพื่อคุณแล้ว ผมยอมทำทุกอย่างเลยครับ”
“มันสายไปแล้วค่ะ อาเหิง เราเลิกกันเถอะค่ะ”
ได้ยินเสียงปลายสายรีบร้อนลอดมาจากโทรศัพท์ ใบหน้าฉืออี้เหิงสลดเย็นชาลง แล้วดื่มด่ำเหล้าเข้าไปหลายคำ ควบคุมความตระหนักของตัวเองไม่อยู่ เขาเดินเซถลาไป
“เสี่ยวจิ้ง” เสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีแผ่วมา
เพียงเวิ้นจิ้งเบือนศีรษะกลับมาก็ถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นเหล้าหึ่ง
“ฉืออี้เหิง…..ปล่อยฉันนะ!” เวินจิ้งใบหน้าสลดลง ใช้พละกำลังของตนผลักไสเขาอย่างสุดแรง
แต่ฉืออี้เหิงกลับโอบรัดแนบแน่นยิ่งขึ้น พอปล่อยคลายเวินจิ้งออก เธอก็สะดุดล้มพรวดลงบนเวที อย่างมิอาจหลบเลี่ยงได้
อั้ยเถียนไปเข้าห้องน้ำแล้ว ส่วนมือถือของเวินจิ้งก็อยู่ในกระเป๋า เธอขมวดคิ้วมุ่นชนกัน จ้องมองผู้ชายที่เมามาย แล้วสะบัดมือตบไปยังใบหน้าเขาอย่างสุดแรงทรหด
“ฉืออี้เหิง คุณพอได้หรือยัง!” เวินจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเพลิงโทสะะลุก
ชายหนุ่มนิ่งงัน ก่อนจะได้สติ แล้วจ้องมองใบหน้ากรุ่นโกรธดั่งเปลวเพลิงไฟของเวินจิ้ง เขากลับยิ้มขบขำ “ไม่พอ เสี่ยวจิ้ง เท่าไหร่ก็ไม่พอ”
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ” เวินจิ้งเบือนหน้ากลับ
“ใช่ ผมมันบ้า เสี่ยวจิ้ง ตอนนี้ผม…….ผมยังชอบคุณมาก” มือทั้งสองของฉืออี้เหิงจับกุมใบหน้างามของเธอ แววตารุ่มเร้าดั่งไฟแผดเผาขึ้นเรื่อย ๆ
“ฉันไม่ได้ชอบคุณแล้ว ฉืออี้เหิง ปล่อย!” เวินจิ้งผลักไสเขาอย่างไม่ถดถอย
ฉืออี้เหิงหรี่ตามอง มือหนาวางทับอยู่บนไหล่บางของเวินจิ้ง แล้วรวบกอดเธอมาอยู่ในอ้อมกอดในทันที
“ไม่ได้นะ เวินจิ้ง ผมไม่เหลืออะไรแล้ว นอกจากคุณ…..”
น้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุดลง ไหล่บางถูกรัดกุมไว้แน่นขึ้นทันที แล้วลำตัวฉืออี้เหิงก็เซถลากถอยไปข้างหลัง
เมื่อหันกลับมา ใบหน้าโมโหขัดเคืองของมู่วี่สิงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ต่อมาก็ซัดหมัดโชกไป ฉืออี้เหิงถึงกลับล้มพรากพราดกองพื้น
เวินจิ้งมองดูชายหนุ่มที่ราวโผล่มาจากฟากฟ้า แล้วรีบวิ่งไปโอบกอดเขาอย่างรวดเร็วในทันที
“คุณเป็นใครเนี่ย?” ฉืออี้เหิงมึนเมา เลยแยกแยะไม่ออกบุคคลตรงหน้าคือใครกัน
มู่วี่สิงปรากฏใบหน้าเยือกเย็นราวน้ำแข็ง จ้องมองเขาอย่างไม่ลับสายตาเลยสักนิด แล้วจับกุมมือบางเวินจิ้งไว้จูงเธอออกไป
เวินจิ้งตระหนกกลัวเล็กน้อย ท่าทางหดหู่ราวเสือของฉืออี้เหิงเมื่อครู่นี้ ช่างหวาดกลัวเหลือเกิน
“คุณมู่ ไม่เป็นไรแล้วครับ” เมื่อเดินออกมาถึงหน้าประตู มู่วี่สิงชะงักฝีเท้าหยุดลง แววตาคมคายทอประกายความกังวลเป็นห่วง
“คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ” เวินจิ้งเอ่ยอย่างเสียงต่ำ และเพิ่งรู้ตัวว่ามือบางของเธอนั้นถูกมู่วี่สิงจับจูงไว้ตลอด
ความอบอุ่นนั้น และความปลอดภัยนั้น
“คุณส่งข้อความให้ผมไม่ใช่เหรอครับ?” มู่วี่สิงตั้งใจจะมารับเธออยู่แล้ว
“ทำไมคุณถึงไม่โทรหาฉันหละคะ?” เวินจิ้งขมวดคิ้ว ด้วยน้ำเสียงแฝงกะหนุงกะหนิงเล็กน้อย
“ซิ่งรถอยู่” มู่วี่สิงปากขมุบขมิบเม้มปาก
แล้วเข้าไปนั่งในรถ นานแล้ว นานแล้วที่มู่วี่สิงไม่ได้สตาร์เครื่องมา แววตามองเธออย่างวาววับ
เวินจิ้งสบสายตามองเขากลับ กุมมือตัวเองไว้อย่างใจจดใจจ่อ
“ทำไงดี? ฉันโกรธมาก” มู่วี่สิงเอียงศีรษะเธอมา แล้วเวินจิ้งอิงซบในทรวงอกเขา แต่กลับไม่ทำให้เขาสงบใจเย็นลงได้เลย
อัตราการเต้นของหัวใจมู่วี่สิงเต้นเร็วรัวขึ้น การเต้นของทุกจังหวะนั้น เวินจิ้งล้วนสัมผัสได้ถึงทั้งนั้น
“เขาดื่มจนเมาไปแล้วค่ะ” เวินจิ้งขมวดคิ้วมุ่น
“เขาสมควรตาย” มู่วี่สิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ
เวินจิ้งสั่นหวิว เมื่อก่อนมู่วี่สิงก็เคยกรุ่นโกรธเป็นเหมือนกัน แต่กลับไม่เคยอารมณ์สีหน้าอย่างตอนนี้เลย
ลึกลับเย็นชา ดุดันร้ายกาจดั่งหมาป่า
จนเธอคร้ามเกรงอยู่เล็กน้อย แววตาหลบประกายขึ้นมา
มือหนาของมู่วี่สิงบังปิดดวงตาเธอไว้ เขาเกรงว่าตัวเองจะหักห้ามใจไม่ไหว แต่ว่าอยู่ต่อหน้าเธอนั้น เขาต้องยับยั้งชั่งใจไว้ให้ได้
เมื่อกลับไปถึงบ้าน มู่วี่สิงอยู่ในห้องสมุด จับก้นบุหรี่ไว้อย่างสบาย
ปกติแล้วเขาเป็นคนไม่สูบบุหรี่อยู่แล้ว แต่ว่าค่ำคืนนี้ เพราะความอยากมันบังเกิด มีเพียงบุหรี่หอมเท่านั้นที่จะทำให้เธอสติไม่ฟันเฟื่อน
สายเรียกเข้าดังสั่นขึ้น เขาจึงกดรับปลายสาย
“คุณผู้ชายครับ ข้อมูลทั้งหมดของฉืออี้เหิงส่งไปให้แล้วนะครับ”
“ส่งคนไปจับตามันไว้ด้วย อย่าให้เข้าใกล้คุณผู้หญิงได้”
ไม่นาน เวินจิ้งไม่เห็นว่ามู้วี่สิงกลับไปห้องนอนตั้งแต่เมื่อไหร่จึงเคาะประตูขึ้น เธอเพิ่งอาบน้ำอาบผ้าเรียบร้อยเสร็จ เรือนร่างสวมด้วยชุดนอนสีขาว ที่เผยโชว์ขาวเรียวออกเล็กน้อย ผิวเนียนเปล่งปลั่ง และผมยาวสลวยยั่วยวนใจ
มู่วี่สิงเงยสายตามอง ความเร่าร้อนในแววตาทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำไมมีกลิ่นบุหรี่คะ?” เธอได้กลิ่นตั้งแต่เข้ามาแล้ว เลิกคิ้วขมวดมุ่น
ทว่าเธอไม่เคยเห็นมู่วี่สิงสูบบุหรี่เลย
“ไม่มีอะไร กลับไปพักผ่อนเถอะ” มู่วี่สิงเอ่ยตอบ ฝืนปรับแววตากลับโหมดปกติ แล้วก้มหน้าก้มตาดูเอกสาร
“คุณยังไม่นอนอีกเหรอคะ?” เวินจิ้งมองดูเขา นัยน์ตาขาวดำทอประกายจ้องมองเขาอยู่
“คืนนี้ผมมีงานที่ต้องเคลียร์ก่อนครับ คงเข้านอนกับคุณสายหน่อย”
เวินจิ้งเม้มปาก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่เธอเคยชินกับการมีมู่วี่สิงอยู่ข้าง ๆ ไปแล้ว