บทที่63 ชดเชยยังไง
ณ โรงพยาบาลเหยินหมิน
มู่วี่สิงเสร็จเคสผ่าตัดตอนเช้าแล้ว พอกลับมาถึงห้องสำนักงานตัวเอง ก็มีเย่กวนกวนผู้นั่งอยู่ในห้องแล้ว
“ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเช็คอาการผู้ป่วยซ้ำของคุณเลยนะ” มู่วี่สิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นวาบ
“ฉันไม่ได้มาเพื่อเช็คอาการซ้ำ ฉันมาเพื่อมาบอกความจริงกับคุณนะคะ”
มู่วี่สิงไม่เหลียวมองเธอ รับข้อมูลเคสผู้ป่วยมาจากพยาบาลมาแล้วก้มหน้าก้มตาเขียนอย่างเฉยเมย
มู่วี่สิงไม่แลมองใยดีต่อเธอนั้นเป็นเรื่องปกติจนชินแล้ว จึงเอ่ยพูด “แฟนของคุณอ่ะสวมเขาให้กับคุณนะ ผู้หญิงแบบนั้นคุณรีบเลิกแล้วทิ้งไปเถอะค่ะ”
จากการได้ยินนั้น แววตามู่วี่สิงก็เย็นเฉียบลง จนเกือบทำปากกาแตกหักเสียแล้ว
“ออกไป” เขาเงยมอง แววตาคมกรีดดั่งมีด
เย่กวนกวนไม่สะทกสะท้านอะไร จึงเอ่ยต่อ “หมอมู่คะ หมอก็พิเคราะห์พิจารณาฉันดูสิค่ะ ฉันสวยกว่าเวินจิ้งตั้งเยอะ และยังรักเดียวใจเดียวอีก ไม่มีสวมเขาให้แน่นอนค่ะ”
มู่วี่สิงขมวดคิ้วชนกัน จับถือโทรศัพท์บ้านในห้องขึ้นมาเตรียมโทรออก
เย่กวนกวนรู้ดีว่าเขาคิดจะทำอะไร จึงเร่งรีบขัดขวางเขาไว้ก่อน “ทำไมคุณมันแน่วแน่ตายใจแบบนี้เนี่ย ฉันไม่เข้าว่าเธอมีอะไรดีหนักหนาค่ะ”
“เย่กวนกวน” มู่วี่สิงลุกพรวดยืนขึ้น “ผมจะจัดยาให้คุณเป็นเวลาสามเดือน คุณจะได้ไม่ต้องมาโรงพยาบาลอีก”
“ไม่ค่ะ”
ต่อมามู่วี่สิงก็เอ่ยสั่งร.ป.พ.ด้านนอก “ต่อไปถ้าปล่อยให้เย่กวนกวนเข้ามาโรงพยาบาลอีก พวกคุณก็ไม่ต้องมาทำงานอีก”
เย่กวนกวนโมโหขัดเคืองจ้องมองเขา “มู่วี่สิง คุณพอได้แล้วนะ!”
“ตอนนี้ ออกไป” มู่วี่สิงหันหลังให้กับเธอ
เย่กวนกวนโกรธเคืองกัดฟันจนเป็นสัน ทว่า เธอคงไม่เลิกสนใจเขาไปแบบนี้หรอก
ไม่นานมากนัก ผู้ช่วยเกาเชียนก็เดินเข้ามายังห้องของมู่วี่สิง
“ได้เรื่องอะไรมาหรือเปล่า?”
“ฉินเจิ้งเป็นคนปล่อยข่าวออกมาเองครับ” เกาเชียนก้มหน้ารายงาน
“ฉินเจิ้ง……”
“แล้วฝั่งบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมีการเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า?”
“ตอนนี้ฉืออี้เหิงไม่ได้ถูกตัดออกครับ แต่ว่าทางบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมีบ่นไม่พอใจเกิดขึ้นแล้วครับ บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปไม่มีการประชุมคณะกรรมการเลยครับ กำลังผันผวนอยู่ครับ”
“นานแล้วที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปไม่ได้ออกลงมือ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้ละทิ้งฉืออี้เหิง” มู่วี่สิงเอ่ยอย่างเสียงเรียบเย็น
“ขั้นต่อไป คงอาจปล่อยข่าวเยอะมากขึ้น ผมเกรงว่าจะกระทบต่อคุณผู้หญิงได้ครับ” เกาเชียนขมวดคิ้ว
“ไม่มีขั้นต่อไปหรอก ตอนนี้เขาได้ตามเป้าหมายที่เขาต้องการแล้ว”
ภายในห้องสำนักงาน มู่วี่สิงนั่งพิงเบาะหลังเก้าอี้ แววตาคมคายลึกล้ำเดายาก
เวลานี้ สาวพยาบาลหลี่ซานเปิดประตูเข้ามา “คุณหมอมู่คะ เวินจิ้งถูกส่งเข้าโรงพยาบาลค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้ นัยน์ตาดำก็เย็นวาบ แล้วรีบลุกพรวดไป
กระเพาะอักเสบ อั้ยเถียนยืนวิตกกังวลไม่นิ่งเฉยอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
เมื่อมู่วี่สิงมาถึง ก็เดินมุ่งตรงเข้าไปยังห้องฉุกเฉิน
เวินจิ้งกำลังอยู่ในระหว่างตรวจสอบ ความเจ็บปวดของท้องนี้เจ็บจนทะลักเข้ามดลูกแล้ว
“เป็นกระเพาะอักเสบครับ สำหรับต้นเหตุเกิดจากอาหารชนิดใดนั้น ยังต้องรอดูผลตรวจก่อนครับ” หมอผู้ตรวจเช็ครายหนึ่งเอ่ยกล่าว
เวินจิ้งนอนตะแคงอยู่ มือบางกดทับหน้าท้องอย่างไม่ขาดสาย มือหนายาวคู่หนึ่งยื่นมา จับกุมมือบางเย็นเฉียบเธอไว้
เวินจิ้งเงยสายตามอง ผู้ที่สวมใส่ชุดหมอสีขาวเหมือนสำลีคือมู่วี่สิง
“คุณมาแล้วเหรอค่ะ” ใบหน้าเวินจิ้งเต็มเปี่ยมไปด้วยหยาดเหงื่อ และน้ำเสียงเหนื่อยล้า
“ตอนเกิดเรื่องทำไมไม่โทรหาผมก่อน?” มู่วี่สิงเอ่ยถาม ด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย
มีเรื่องราวมากมาย เขามักจะรู้จากปากคนอื่นเสมอ
เวินจิ้งตะลึงอึ้ง แววตาแปลกไปเล็กน้อย
“ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้วนี่ค่ะ”
“ผมเป็นห่วง” มู่วี่สิงตอบกลับ
ไม่นานเวินจิ้งก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังห้องผู้ป่วยธรรมดา และมีเสียงคำพูดแผ่วของมู่วี่สิงเร่ร่อนซ้ำอยู่ข้างหู
เป็นห่วง เขาห่วงเป็นด้วยเหรอ?
“จิ้งจิ้ง เมื่อตอนเที่ยงอาหารที่เรากินก็เหมือนกันหนิ ทำไมแกถึงท้องเสียได้ขนาดถึงเนี่ย?” อั้ยเถียนเอ่ยอย่างสงสัย
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน…..” เวินจิ้งขมวดคิ้ว ถึงตอนนี้ก็ยังเจ็บตุบ ๆ ที่ท้องอยู่
มู่วี่สิงเป็นคนไปเอาผลตรวจของเธอ ส่วนอั้ยเถียนอยู่เป็นเพื่อนเธอ
ภายในห้องตรวจนั้น มู่วี่สิงมองดูใบผลตรวจ เกิดจากอาหารไม่สะอาดจึงทำให้กระเพาะอักเสบ
เขากดโทรสายออก “ไปตรวจสอบดูว่าวันนี้ในโรงอาหารตึกเทียนอีมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
แล้วเดินไปยังห้องผู้ป่วย เวินจิ้งนอนอ่อนปวกเปียกอยู่บนเตียง
ตอนนี้เธอไม่มีเรี่ยวมีแรงเลยสักนิด และเปลือกตาหนักหน่วง
“หมอมู่คะ จิ้งจิ้งคงไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ? นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาท้องเสียหนักถึงขนาดนี้เลยค่ะ” อั้ยเถียนเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“เมื่อตอนเที่ยงเธอทานอะไรไปครับ?” มู่วี่สิงเอ่ยถาม
“พวกเราทานข้าวผัดสับปะรดค่ะ”
“อืม คุณกลับก่อนได้เลยครับ ช่วงนี้คุณก็ช่วยเธอลาไปก่อนนะครับ” มู่วี่สิงเอ่ย
“งั้นฝากคุณดูแลจิ้งจิ้งด้วยนะค่ะ”
ภายในห้องผู้ป่วยนั้น เมื่อทานยาที่มีส่วนผสมสารที่ทำให้ง่วงแล้ว ไม่นานเวินวิ้งก็นอนหลับไป
พอเบิกตาโพลงโตตื่นมาฟ้าก็มืดค่ำแล้ว และมีมู่วี่สิงนอนเฝ้าอยู่ข้างกาย
“หมอมู่คะ” เธอขมวดคิ้วแล้วขมวดอีก แล้วพยุงตัวมานั่งแทน
“ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า?” มู่วี่สิงช่วยพยุงเธอขึ้นนั่ง
เวินจิ้งส่ายหน้าไปมา “ฉันทานอาหารที่เป็นพิษเข้าไปใช่มั้ยคะ”
“อืม อาหารเที่ยงของคุณมีอะไรใส่เพิ่มอยู่ คุณลองคิดดูว่า ใครกันที่คิดจะทำร้ายคุณ” มู่วี่สิงหน้าเฉยเมย
นี่เป็นสิ่งที่เขาตรวจพบเบื้องต้น แต่ว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้นั้น ยังสืบไม่พบ
เวินจิ้งขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดจากในส่วนของบริษัท นอกจากช่วงนี้ที่มีเรื่องข่าวบ้าแพร่กระจายนั้น ก็ไม่มีใครโจมตีเธอ
พอพลางนึกอะไรออก เวินจิ้งจึงเอ่ยพูด “ช่วงนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบหน้าฉัน”
มู่วี่สิงหรี่ตา แล้วจดจำมันไว้
ทั้งสองกลับบ้านยามค่ำเย็น เมื่อเขาไปยังบ้าน ก็มีมู่เฉิงนั่งอยู่ห้องรับแขกแล้ว
คุณปู่มู่กลับมาตอนไหนกัน?
เวินจิ้งตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย ดึงจับเสื้อของมู่วี่สิงไว้
“กลับมากันแล้วเหรอ ได้ยินมาว่าหลานสะใภ้ เข้าโรงพยาบาล ไม่เป็นมากใช่มั้ย?” แม้ว่ามู่เฉิงจะเอ่ยถาม แต่สายตาเย็นเฉียบ
“คุณปู่คะ หนูไม่เป็นไรค่ะ” เวินจิ้งฝืนยิ้ม
“ทำไมไม่ติดต่อให้ฉันไปรับหละ” มู่วี่สิงเดินเข้ามา จูงมือเวินจิ้งนั่งลงบนโซฟา
มู่เฉิงสีหน้าเข็ม มือที่จับไม้ค้ำไว้สั่นระริก
“ฉันเกรงกลัวว่าจะทนไม่ไหวลงมือในสนาม” เขาจ้องมองเวินจิ้ง “หลานสะใภ้ ฉันชื่นชอบและเอ็นดูเธอมากนะ แต่ว่าตอนนี้หนูกำลังทำอะไรอยู่!”
เวินจิ้งกัดริมฝีปากบางตัวเอง และแล้ว คุณปู่ก็เห็นข่าวนั่นไปแล้ว
“คุณปู่คะ หนูบริสุทธิ์ใจนะค่ะ” เวินจิ้งอธิบาย
“โชคดี ที่เรื่องแต่งงานของพวกเธอยังไม่หลุดออกไป ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงตระกูลมู่ได้เสื่อมเสียไปหมดแน่ ช่วงนี้ พวกแกก็อยู่เงียบ ๆ ไปก่อนละกัน” มู่เฉิงเอ่ยสั่ง
เวินจิ้งขมวดคิ้วมุ่น และไม่รู้ว่าคุณปู่ยอมเชื่อเธอหรือไม่
“สำหรับหลายสะใภ้แล้ว ถ้าเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริง ๆ ปู่จะช่วยสะสางเรื่องนี้ให้เอง”
“คุณปู่ครับ เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง คงไม่ต้องรบกวนคุณปู่หรอกครับ” มู่วี่สิงปริปากบอก
“ทางทีดี แกจำไว้แล้วกัน ว่าตระกูลมู่ของเราจะเสื่อมเสียไม่ได้” มู่เฉิงเอ่ยย้ำเตือน
“ช่วงนี้ฉันจะไม่กลับไปเมืองบีก่อน ถ้าเรื่องนี้ยังไม่จบลง ฉันวางใจไม่ได้!”
“มู่วี่สิง ขอโทษนะค่ะ ที่สร้างปัญญาให้คุณ” เวินจิ้งกล่าวขอโทษ
เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมู่วี่สิงนั้นล้วนเป็นความต้องการของต่างฝ่ายเอง แต่หากเรื่องนี้ส่งผลกระทบถึงตระกูลมู่ เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะชดเชยอย่างไรดี
“รู้ก็ดี แล้วจะชดเชยผมยังไง?” สีหน้ามู่วี่สิงเปี่ยมไปด้วยความเฉยเมย เวลาที่มองเวินจิ้งนั้น กลับเร่าร้อนมากโข
หัวใจเวินจิ้งเต้นเร็วรัวชุลมุนวุ่นวาย ทุกครั้งที่มู่วี่สิงมองเธอด้วยแววตาแบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหยื่อที่เขาหมายปอง อย่างไม่มีทางหนี