บทที่ 644 ทำไมพาฉันมาที่นี่
รุ่งขึ้น เมื่อเวินจิ้งตื่นขึ้นมาก็ค่อนข้างที่จะมึนเบลอ ไม่รู้ว่าเมื่อวานตัวเองหลับไปอีกทีตอนไหน
ที่นอนข้างกายว่างเปล่า และเย็นชืด บ่งบอกได้ชัดว่ามู่วี่สิงตื่นได้สักพักแล้ว
เมื่อหลับตาลงอย่างขี้เกียจอีกครั้ง เวินจิ้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบย่ำขึ้นมาจากบันได
จากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก “เสี่ยวจิ้ง ตื่นหรือยัง?”
เวินจิ้งรีบไปล้างหน้า จากนั้นก็มาเปิดประตู
“โจ๊กนี่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆเลย” คุณยายยิ้มตาหยีแล้วยกของกินมาวางไว้บนโต๊ะ “กินเสร็จแล้วค่อยกินซุปขิงต่อนะ เมื่อวานตากฝนมาทั้งวันเลยนี่”
เวินจิ้งนึกไปถึงซุปน้ำขิงเมื่อวาน ก็ยิ้มออกมา “รบกวนคุณยายแย่”
“ที่ไหนกันล่ะ ต้องโทษฉันเสียอีกที่ไม่เตือนคุณว่าอย่าไปทางเขาซีซาน เพราะมันหลงทางง่าย……เมื่อวานตอนที่เสี่ยวมู่กลับมาแล้วไม่เห็นคุณ ก็รีบร้อนออกไปตามหาทันทีเลย หลังจากนั้นคนที่ไปตามหาคุณกับเขาก็พากันกลับมาหมดแล้ว แต่เขาก็ยังยืนยันจะตามหาต่ออยู่ที่นั่น จนกระทั่งหาคุณเจอนี่แหละ”
เวินจิ้งกินโจ๊กเงียบๆ ส่วนคุณยายก็ยังคงพูดจ้อ “หลังจากนั้นก็กำชับฉันอยู่บ่อยๆว่าให้ทำซุปน้ำขิงไว้ให้คุณอีกด้วย…….”
“ฉันอิ่มแล้วค่ะ” จู่ๆเวินจิ้งก็พูดตัดบทขึ้นมา พูดยิ้มๆว่า “ขอบคุณนะคะ”
เพราะว่าตอนเย็นก็ต้องกลับแล้ว เวินจิ้งจึงรีบเก็บกระเป๋าไว้รอเลย
เธอค่อยๆพับเสื้อทีละตัว จากนั้นก็จัดใส่กระเป๋าให้เป็นระเบียบ
วางเสื้อผ้าของตัวเองเข้าไปก่อน แล้วค่อยตามด้วยเสื้อผ้าของมู่วี่สิง แต่ว่าในตอนที่กำลังหยิบเสื้อผ้าของเขาขึ้นมาพับ เธอก็ดึงทึ้งเสื้อผ้าของเขาอย่างโมโห
นึกไปถึงเรื่องที่มู่วี่สิงข่มขู่ตัวเอง เธอกับเขาถึงได้มีความสัมพันธ์ลับๆกันอย่างนี้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็รู้สึกได้แค่ว่าตรงช่วงอกคับแน่นไปด้วยความอึดอัด
และในตอนนี้เอง ที่มู่วี่สิงมานั่งลงตรงหน้าเธอ โดยที่ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน เขานั่งมองเธอเงียบๆ สายตาดูลุ่มลึกคาดเดาได้ยาก
เวินจิ้งกัดริมฝีปากแน่น เธอไม่อยากหลุดอาการใดๆก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้ามู่วี่สิง จึงหันหลังให้เขา แล้วเริ่มจัดเสื้อผ้าอีกครั้ง
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ มู่วี่สิงก็ไม่รีบร้อนกลับเสียเท่าไหร่ เขาเลิกคิ้วมองไปทางเวินจิ้ง แล้วถามเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณเดินได้ไหม?”
เธอละเลียดดื่มชา ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเขา “ทำไม?”
คุณยายเหมือนจะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีระหว่างเขาทั้งสอง จึงพูดเชียร์ขึ้นมาว่า “ไม่งั้นพวกคุณลองออกไปเดินเล่นกันไหมล่ะ วันนี้บรรยากาศดีมากเลยนะ ในเมื่อตอนเย็นๆพวกคุณถึงจะกลับ งั้นก็ออกไปเดินเล่นกันสักประเดี๋ยว พวกเราจะทำอาหารไว้ ตอนพวกคุณกลับมาก็คงได้กินพอดี”
เวินจิ้งเงยหน้าขึ้นไปเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของคุณยายเข้าพอดี จึงหลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็พยักหน้า
หลังจากผ่านการพักผ่อนมา ข้อเท้าของเวินจิ้งก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เธอก็ยังเดินได้ค่อนข้างช้า เขาเองก็ไม่ได้เร่งเธอ ทั้งสองคนเดินเรียบไปตามแม่น้ำช้าๆ
“เด็กคนนั้น เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเหรอ?” จู่ๆเวินจิ้งก็ถามขึ้นมา
เธอได้ยินเสียงเด็ก ตอนที่หลิงเหยา โทรมาหามู่วี่สิง
แต่ว่าได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
มู่วี่สิงมุ่นคิ้ว เขาเอาแต่มองตามสายน้ำที่ไหลไปเงียบๆ บนใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
“ผู้ชาย” เขาตอบ
เวินจิ้งยิ้ม ตอนแรกอยากถามว่าเขากับหลิงเหยาแต่งงานกันหรือยัง แต่ก็คิดว่ามันไม่ได้สำคัญอะไร เธอไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรก็ตามเกี่ยวกับมู่วี่สิงอีกแล้ว
เธอยอมปิดหูปิดตายังจะดีกว่า
เมื่อเขาหันหน้ามา แล้วเห็นว่ามุมปากของเวินจิ้งในเวลานี้มีรอยยิ้มราวกับไม่แยแสกัน เขาก็ขบเม้มริมฝีปากในทันที
ทั้งสองเดินเล่นไปอย่างเงียบๆอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นเวินจิ้งก็ช้อนตาขึ้น แล้วพึมพำถามขึ้นมาว่า “ทำไมคุณถึงพาฉันมาที่นี่?”
เขาไม่ตอบแต่กลับย้อนถามว่า “ชอบที่นี่ไหม?”
“อืม ที่นี่สบายมาก” อารมณ์ของเวินจิ้งในเวลานี้สงบลงอย่างเต็มร้อย ก็เหมือนกับแม่น้ำสายนี้ที่ไหลไปอย่างเงียบๆ
“ทุกครั้งที่มาที่นี่ ผมไม่อยากกลับเลย” มู่วี่สิงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มที่หาดูได้ยาก เมื่อมองไปยังต้นหลิวที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ สายตาก็เขาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและผูกพัน “ซือซือเติบโตมาจากที่นี่”
เธอไม่ได้เจอกับมู่ซือซือนานแล้ว ตอนนี้คงแต่งงานกับส้งวี่ไปแล้วล่ะมั้ง?
มู่ซือซือไม่ใช่น้องสาวแท้ๆของมู่วี่สิง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองกลับแน่นแฟ้นราวกับเป็นพี่น้องแท้ๆ
“ตอนนี้…..ซือซืออยู่ที่เมืองหนานเฉิงเหรอ?” เมื่อเวินจิ้งมองมู่วี่สิง เธอก็สังเกตได้ถึงสีหน้าเจ็บปวดของเขา
ว่าแต่ทำไมเขามีสีหน้าอย่างนั้นล่ะ และเธอก็พลอยสงสารเขาไปด้วย
“เธอไม่ได้อยู่ที่เมืองหนานเฉิง เธอไม่อยู่แล้ว” มู่วี่สิงช้อนตาขึ้นมาช้าๆ ใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์ต้องแสงอาทิตย์ แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นเลยสักนิด กลับกันกลับดูหนาวเหน็บเป็นอย่างมาก
เวินจิ้งอุทานออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย ลังเลอยู่สักพักถึงได้เอ่ยถามขึ้น “เป็นแบบนี้ได้ยังไง?”
มู่ซือซืออายุยังน้อยอยู่เลย เธอเพิ่งจะยืนได้โดยไม่ต้องใช้รถเข็นได้ไม่นาน ทำไมถึง…….
นัยน์ตาของมู่วี่สิงพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุดันน่ากลัว จนเวินจิ้งสั่นกลัวและก้าวถอยหลังอย่างช่วยไม่ได้ และในตอนนั้นเองเนื่องจากเธอไม่ทันระวังจึงเหยียบก้อนหินจนข้อเท้าพลิก เธอเจ็บจนต้องมุ่นหน้า จากนั้นร่างกายก็ซวนเซจวนจะล้มลงบนพื้น
เธอคิดว่ามู่วี่สิงไม่มีทางมาพยุงเธอแน่ และเธอจะไม่ยอมแสดงท่าทีเจ็บปวดร้องขอให้เขาช่วยเด็ดขาด
เพียงแต่ว่าในตอนที่กำลังจะล้ม มือข้างหนึ่งของเขาก็ยื่นออกมารวบเอวบางของเธอเอาไว้ได้ จากนั้นก็ดึงเธอเข้ามาในวงแขนได้อย่างทันท่วงที
สัมผัสแบบนี้ทำให้เธอแปลกใจมาก ราวกับว่าใครก็คาดคิดไม่ถึง
ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันแค่คืบ ลมหายใจเกี่ยวพันและใกล้ชิดเหมือนตอนที่คลอเคลียกันเมื่อไม่กี่วันก่อน
แต่แค่เวลาไม่กี่วิ มู่วี่สิงก็เก็บสีหน้าอาการ แล้วรีบปล่อยเวินจิ้งออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปตามแม่น้ำโดยหันหลังให้เธอ
แสงแดดยิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของชายหนุ่มสูงตระหง่าน ผ่านไปพักใหญ่ เขาถึงได้หันหน้ามาแล้วกวักมือเรียกเวินจิ้ง “มานี่”
เวินจิ้งเดินเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า จากนั้นเขาก็ดึงเธอเข้ามาอยู่ในวงแขนอย่างแผ่วเบา แล้วโอบเอวของเธอไว้
เขาหยิบก้อนหินเล็กๆมาวางไว้บนมือของเธอ จากนั้นก็กุมมือเธอเดินไปโยนมันทิ้งลงในแม่น้ำ หินก้อนนั้นกระเพื่อมไหวอยู่บนผืนน้ำห้าถึงหกระลอก จากนั้นถึงได้ค่อยๆจมลงไปในก้นสระ
เวินจิ้งเบิกตากว้างอย่างแปลกใจในทันที
ข้างๆหูได้ยินเสียงหัวเราะของมู่วี่สิงเบาๆ เหมือนรู้ว่าเธอกำลังตกตะลึง เสียงหัวเราะขี้เล่นจึงดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เวินจิ้งหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดิ้นออกจากวงแขนของมู่วี่สิงอย่างเงอะงะ แต่เขากลับไม่คิดจะปล่อยเธอออก เวินจิ้งจึงรู้สึกไม่สบายใจและลุกลี้ลุกลน
แต่เรื่องที่ทำให้เธอไม่สบายใจก็คือ เรื่องที่มู่วี่สิงเพิ่งพูดถึง เรื่องที่ว่ามู่ซือซือจากโลกนี้ไปแล้ว
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่รู้อะไรเลย และท่าทีของเขาก็ดูแปลกเอามากๆ
เพราะเมื่อก่อนเธอรู้ดีว่า มู่ซือซือสำคัญกับเขามาก
ในตอนนี้เอง ที่มู่วี่สิงวางคางลงบนไหล่ของเวินจิ้งอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะว่าสองสามวันมานี้เขาไม่ได้โกนหนวด ดังนั้นบริเวณไหล่จึงมีความแสบคันขึ้นมานิดหน่อย เขาพูดขึ้นว่า “กลับกันเถอะ”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว รู้สึกไม่อยากไปจากที่นี่
“ไม่อยากกลับเหรอ?” มู่วี่สิงอ่านความคิดของเธอออก เขายกยิ้ม จากนั้นก็หอมลงบนแก้มของเธออย่างแผ่วเบา เหมือนเมื่อสามปีก่อนที่เขายังรักและเอ็นดูเธอ
เวินจิ้งเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็เดินนำไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “แน่นอนว่า….อยากกลับ”