บทที่ 648 นับวันยิ่งเข้มแข็ง
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ หัวใจของเวินจิ้งก็ว่างเปล่าไปหมด เธอรู้ว่าคืนนี้ตัวเองต้องนอนไม่หลับแน่ๆ ดังนั้นจึงไปจัดการเรื่องงานแทน
เพียงแต่ว่าหลังจากเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะค้นหาข่าวที่เกี่ยวกับตัวเอง
ไม่กี่วันก่อน ชื่อของเธอถูกทำข่าวบนหน้าเว็บไซต์ไปแล้วมากกว่าร้อยหน้า ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นข่าวที่เธอเข้าไปสอดแทรกความสัมพันธ์ของมู่วี่สิงกับหลิงเหยา แต่ว่าตอนนี้ข่าวคราวพวกนั้นกลับไม่มีแล้ว หายไปราวกับว่าไม่เคยเป็นข่าวมาก่อน
ขนาดกดเข้ามาแล้วหลายเว็บ ก็ยังไม่เจออะไร
แต่กระนั้นเวินจิ้งกลับไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้เลยสักนิด ตกลงแล้วที่มู่วี่สิงทำแบบนี้เพราะแคร์ความรู้สึกของหลิงเหยา กลัวว่าข่าวพวกนั้นจะกระทบต่ออารมณ์ของหลิงเหยาสินะ?
แต่ว่าจริงๆแล้ว คนที่รู้เรื่องนี้ก็มีไม่น้อยเลย หลังจากอั้ยเถียนรู้เรื่องก็โทรมาหาเธอทันที แต่แม้แต่ตัวเวินจิ้งเองก็ยังไม่รู้ว่าต้องอธิบายยังไงดี
บางที มันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยก็ได้ เพราะเธอทำอย่างนั้นจริงๆนี่นา
ในตอนที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมา เวินจิ้งยังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานเหมือนเคย เธอไม่ได้หลับเลยสักนิด
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์มาดึงสติเธอ เป็นสายจากเกาเชียน โทรมาบอกเรื่องการเดินทางของมู่วี่สิง “เขาต้องไปร่วมประชุมที่ต่างประเทศ คงไม่ได้อยู่ประเทศFราวๆเดือนหนึ่งนะครับ”
ก็คือจะบอกว่าเธอไม่ต้องมาอยู่ที่คอนโดแห่งนี้แล้วใช่ไหม?
เธอกดวางสายเงียบๆ ในตอนนี้รู้สึกโล่งใจลงไปเยอะเลย
เก็บของอยู่สักพัก ไม่นานเธอก็มาถึงที่บริษัทหลินซื่อ จากนั้นก็หมกมุ่นอยู่กับการทำงานทั้งวัน
ตอนแรกเธอคิดว่าวันนี้ต้องรู้สึกไม่สบายเพราะเมื่อวานไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ก็เหมือนร่างกายของเธอจะชินกับการอดหลับอดนอนแบบนี้ไปแล้ว ตรงกันข้ามนับวันก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้น
แผลน้ำร้อนลวกบนมือค่อยๆยุบลง แต่สีมันค่อนข้างจะดูน่าเกลียดไปหน่อย เพราะว่าทายาแล้ว เธอจึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรมาก
นั่งทำงานทั้งวันจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงช่วงใกล้จะเลิกงาน หซู่เฟินก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้
“มีเรื่องอะไร?” เวินจิ้งยุ่งอยู่กับงานจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง
“รองประธานเว่ยเซวียนที่ทำงานด้วยกันมาตลอด วันนี้พูดถึงเรื่องลาออกด้วยล่ะ” หซู่เฟินถอนหายใจ
ได้ยินแบบนี้เวินจิ้งถึงได้เงยหน้าขึ้น ตอนนี้คนสำคัญของบริษัทเหลือไม่เยอะแล้ว เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นกับบริษัทหลินซื่อ คนลาออกจากงานจึงมีไม่น้อยเลย แต่ว่าเว่ยเซวียนกับหซู่เฟินต่างก็เป็นคนที่คอยควบคุมกิจการทั้งหมดของบริษัทหลินซื่อ ถ้าเว่ยเซวียนลาออก คงมีผลต่อบริษัทหลินซื่อไม่น้อยเลย
“สาเหตุคืออะไร?”
“บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปฉกไปน่ะสิ” หซู่เฟินลอบมองสีหน้าของเวินจิ้งอย่างระมัดระวัง และก็เห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างที่คิดเอาไว้
เวินจิ้งมุ่นคิ้ว ก่อนหน้านี้บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปยังช่วยเหลือบริษัทหลินซื่ออยู่เลย แล้วตอนนี้จู่ๆก็มาฉกเอาพนักงานไปหน้าตาเฉยเนี่ยนะ?
มู่วี่สิงหมายความว่ายังไงกันแน่?
“คุณออกไปก่อน” ผ่านไปนานเวินจิ้งถึงได้สงบลง จากนั้นก็ออกคำสั่ง
หซู่เฟินพยักหน้า “ในเมื่อเว่ยเซวียนจะลาออก งั้นฉันจะไปหาดูว่ามีใครเหมาะพอที่จะเลื่อนขึ้นมาตำแหน่งนี้ไหม แต่ว่าเว่ยเซวียนกุมข้อมูลของบริษัทไว้ไม่น้อยเลย ฉันกลัวว่า……”
“อืม ฉันรู้” เวินจิ้งหลับตา ในหัวตีกันยุ่งเหยิงไปหมด เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็ต่อสายหาเบอร์ที่คุ้นเคยอย่างไม่คิดลังเล
ขณะเดียวกัน มู่วี่สิงกำลังมาทำงานนอกสถานที่ที่ต่างประเทศ เพิ่งเข้าร่วมงานเลี้ยงเสร็จ และเพราะดื่มเหล้ามานิดหน่อย จึงรู้สึกค่อนข้างจะไม่สบายตัว
เมื่อเห็นว่าเวินจิ้งโทรมา เขาก็ชะงักนิ่ง จากนั้นเสียงที่นานๆทีจะเผยความอบอุ่นออกมาก็ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “จิ้งจิ้ง มีอะไร?”
เกาเชียนคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นบอสทำสีหน้าอ่อนโยน ก็เดาได้ในทันทีว่าเป็นเพราะเวินจิ้ง จึงเลี่ยงออกมายืนอยู่บริเวณไกลๆ
ด้านเวินจิ้งกลับส่งเสียงหัวเราะเย็นๆออกมา เอ่ยถามเข้าประเด็นทันทีว่า “ทำไมบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปต้องมาชิงตัวรองประธานของบริษัทหลินซื่อไปด้วย?”
ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนมุมปากของมู่วี่สิงก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเส้นตรง ดวงตากลับไปคมกริบเหมือนอย่างเคย จากนั้นก็พูดเนิบๆว่า “แล้วยังไง?”
“ก็คือ คุณยอมรับแล้ว?” เวินจิ้งพยายามใจเย็น แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจปกปิดความดุดันในน้ำเสียงเอาไว้ได้
“เว่ยเซวียน……เหมือนผมจะเคยได้ยินชื่อนี้ ถ้าบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปจะชิงตัวมาจริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?” เขากล่าวออกมาด้วยท่าทีเฉยเมย
“มู่วี่สิง อย่าลืมว่าคุณร่วมลงทุนกับบริษัทหลินซื่อด้วย ถ้าบริษัทหลินซื่อขาดทุน คุณก็จะขาดทุนด้วยเหมือนกัน!” เวินจิ้งพูดออกมาอย่างหลุดการควบคุม
หลังจากพูดจบ เธอก็คิดอะไรขึ้นได้
บางทีที่มู่วี่สิงลงทุนกับบริษัทหลินซื่ออาจจะแค่อยากปั่นหัวเธอเล่นก็ได้ เงินกู้แค่ไม่กี่ร้อยล้าน เกรงว่าคุณหมอมู่คงไม่เก็บมาใส่ใจหรอก
เพราะถึงอย่างไรดูจากพื้นเพฐานะของเขาแล้ว สิ่งที่เขาไม่เคยขาดเลยก็คือเงิน
“คุณยังอยากให้ฉันทำยังไงอีก? มู่วี่สิง ฉันอุตส่าห์ยอมมาอยู่ข้างๆตามที่คุณบอกแล้วนะ…..” เสียงของเวินจิ้งอ่อนแรงลง
ตอนนี้เธอรู้สึกเหนื่อยมากๆ เหนื่อยกว่าการต้องผ่าตัดวันเว้นวันซะอีก
เธอเหนื่อยใจ เหนื่อยที่ต้องถูกทรมาน
เพราะไม่อยากได้ยินเสียงของมู่วี่สิงอีกแล้ว เธอจึงตัดสายโทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน สีหน้าของมู่วี่สิงก็ดำคล้ำเครียดจนดูน่ากลัว ริมฝีปากบางถูกเม้มไว้แน่น แรงโทสะแทบจะระเบิดออกมา
ผ่านไปนาน เขาถึงได้ค่อยๆกดหมายเลขโทรศัพท์ของส้งวี้
“นายอธิบายเรื่องของเว่ยเซวียน มา”
“ฉันอยากได้เขามาร่วมทีมค้นคว้ายาตัวใหม่ด้วย ฉันนึกว่านายจะไม่สนใจเรื่องนี้ซะอีก”
“เขาเป็นคนของบริษัทหลินซื่อ”
“นายสงสารเหรอ?” น้ำเสียงของส้งวี่ทุ้มเย็น
มู่วี่สิงไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็กดวางสายในทันที
สงสารงั้นเหรอ…..ไม่ เขาไม่ได้สงสาร
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ส่งข้อความไปหาเวินจิ้งในทันที: มาหาผม
ท้ายข้อความเขาแนบที่อยู่ของตัวเองไปด้วย
เพียงแต่ว่าเรื่องที่ทำให้มู่วี่สิงประหลาดใจก็คือ ตอนที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้รับข้อความตอบกลับจากเวินจิ้ง หรือไม่ก็ได้รับข้อความจากเกาเชียนฝากไว้ว่า “คุณเวินมาถึงแล้วนะครับ พักอยู่ห้องถัดไป” หรือไม่ก็ “ตั๋วเครื่องบินไฟลท์เมื่อคืนจองไม่ทัน เพราะงั้นคุณเวินถึงเพิ่งมาถึงเมื่อเช้าครับ”
มู่วี่สิงนั่งพิงหัวเตียงอยู่คนเดียว จากนั้นก็มองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้งอย่างผ่านๆ แต่ก็พบว่าไม่มีข้อความอะไรเลย
เขาแกะชุดนอนแบบคลุมออกจากนั้นก็ลุกขึ้น หลังจากอาบน้ำกินข้าวเช้าเสร็จ เกาเชียนถึงได้โทรมาหา
เขาเข้าใจความคิดของบอสดีกว่าใคร หลังจากที่รายงานตารางการเดินทางในวันนี้เสร็จสิ้น เขาก็เผลอพูดขึ้นมาว่า “เมื่อวานคุณเวินปิดโทรศัพท์ ตอนนี้ยังติดต่อไม่ได้เลยครับ”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็ขานรับอย่างเฉยชา
ตารางเดินทางในวันนี้ยุ่งมาก ในระหว่างที่พักเบรกการประชุม เกาเชียนก็มีเรื่องมารายงานเขาอีกหนึ่งเรื่อง
“คุณหยูบอกว่าไม่ค่อยสบาย เลยมาไม่ได้ครับ”
เขาพยักหน้าให้อย่างเฉยชาเหมือนอย่างเคย
จากนั้น เกาเชียนก็ลังเลอยู่สักพัก จากนั้นก็เอ่ยพูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก “คุณเวินลงจากเครื่องเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่ว่าเธอไม่ได้เข้าพักที่โรงแรมครับ”
นิ้วมือเรียวยาวกุมแก้วไวน์เอาไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็โคลงแก้วเล่นอย่างช้าๆ จนของเหลวสีอำพันสั่นไหวระลอกเป็นชั้นๆ
เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “รู้แล้ว”
ช่วงเย็นหลังจากประชุมเสร็จ มู่วี่สิงก็ขึ้นมานั่งบนรถ ความมืดแทบจะปกคลุมสีหน้าของเขาเอาไว้ได้ทั้งหมด
เมื่อไฟเขียวเปลี่ยนเป็นไฟแดง รถหรูก็ค่อยๆจอดลง
วินาทีต่อมา จู่ๆเขาก็บอกชื่อโรงแรมอีกแห่งหนึ่งกับคนขับรถขึ้นมาอย่างกะทันหัน