บทที่64 ได้ความช่วยเหลือ
“เดี๋ยวฉันทำมื้อดึกให้คุณเองคะ?” เวินจิ้งลุกพรวดขึ้นมา ผลักไสเงาร่างใหญ่ที่กำลังเข้าใกล้เธอ
มู่วี่สิงขมวดคิ้วอย่างไม่เต็มใจ และแขนยาวยื่นกางออกมา เวินจิ้งก็ประชิดเข้าโอบกอดเขา
“ผมไม่หิว” เขาหรี่ตา
“งั้น……” เวินจิ้งมองเขาอย่างเกรง
ใบหน้าคมคายของมู่วี่สิงยิ่งใกล้ชิดมากขึ้น และเวินจิ้งรู้สัมผัสได้ว่าเขาจะทำอะไร จนใบหน้าแดงระเรื่อราวลูกตำลึงสุก แล้วก้มหลบเลี่ยงเขา
มันใช่คู่แข่งของคนอย่างมู่วี่สิงได้ไงเล่า จูบของเขานั้นมักนุ่มนวลหวานละมุนเหลือเกิน เพียงประกบลงริมฝีกปากเธอเท่านั้นเอง เวินจิ้งก็มักจะหลบเลี่ยงไม่ทันเสมอ
“ทำไงดี ยังไม่พอ” รัดกอดด้านหลังทรวงอกเธอไว้ แววตาเย็นเหยียดเปล่งประกาย
เวินจิ้งสั่นหวิวถี่ ๆ รู้ถึงความหมายคำพูดของมู่วี่สิง และครั้งนี้ก็ผลักไสอย่างสุดแรง และแววตาแปรเปลี่ยนเตือนภัยพิบัติก็มา
พอกลับถึงห้องนอน เวินจิ้งก็ทำการล็อคห้องให้เรียบร้อย แม้รู้ว่าจะไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังรั้งมู่วี่สิงให้อยู่ด้านนอกได้ครู่หนึ่ง
ถึงแม้ว่าหลังแต่งงานทั้งสองจะเลี่ยงเรื่องพิศวาสรัญจวนใจบางเรื่องไม่ได้ก็ตาม แต่หากปล่อยให้มันเติบโตก้าวหน้าไป เกรงว่า……เธอจะหักห้ามใจควบคุมตัวเองไม่ได้
มู่วี่สิงนั้นเป็นคนอย่างไร ตอนนี้เธอก็ค่อย ๆ รู้เข้าใจดีชัดขึ้นแล้ว
เขาไม่ได้เป็นเพียงหมอเท่านั้น เบื้องหลังเขาคือทั้งตระกูลมู่ และไม่มีข้อมูลตระกูลมู่ปรากฏอยู่บนอินเตอร์เน็ตเลยแม้แต่สักนิด แต่กลับเป็นตระกูลที่มีอำนาจทรงพลังล้มช้าง
ถ้าหากเป็นไปได้ เธอไม่อยากมีอะไรลึกซึ้งกับเขาไปมากกว่านี้แล้ว
เธอเพียงอยากใช้ชีวิตแบบธรรมดาเรียบง่าย
ในขนาดที่มู่วี่สิงนั้นเดินขึ้นมา ประตูดันถูกล็อคไว้
แม่สาวน้อยคนนี้นี่ เมื่อไหร่จะยอมเปิดอกเปิดใจเปิดทางให้กับเขาสักที
หลายวันมานี้อั้ยเถียนได้ลาแทนเวินจิ้งแล้ว เธอเลยไม่ไปบริษัท แต่ว่าก็มีจัดการเคลียร์งานบางครั้งรางคราวบ้าง
ในยามเช้าเห็นมู่วี่สิงยังอยู่ เวินจิ้งจึงประหลาดใจเล็กน้อย
ปกติแล้วเขาจะไปทำงานเช้ากว่าเธอเสียอีก มีบางครั้งเองที่ทั้งสองจะออกไปทำงานพร้อมกัน
“วันนี้จะไปโรงพยาบาลมั้ยคะ?” เวินจิ้งเอ่ยถามตามประสา แล้วนั่งลงทานข้าวเช้า
“มีไปเช็คอาการผู้ป่วยหน่อย แต่ว่าไม่นานก็กลับมา”
เวินจิ้งเงียบงัน ก้มหน้างุดไม่พูดไม่จาราวน้ำท้วมปาก
บรรยากาศการพบปะของเธอและมู่วี่สิงนั้น มีความเก้อ ๆ อาย ๆ อยู่ไม่น้อย
ก่อนออกจากบ้าน แม่บ้านก็ยื่นเสื้อกันหนาวให้เวินจิ้ง เธอเลยตะลึงอึ้ง
และฝีเท้ามู่วี่สิงก็ชะงักอยู่ตรงประตู
เธอขมวดคิ้ว แล้วค่อย ๆ วิ่งไปอย่างเชื่องช้า
“ใส่เถอะค่ะ”
“ช่วยใส่ให้ผมหน่อยสิ” น้ำเสียงมู่วี่สิงแฝงดั่งคำสั่งอยู่
เวินจิ้งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่อำนาจบังคับของมู่วี่สิงช่างแข็งแกร่ง จนเธอต้านทานไม่ไหว
เดินไปยังหลังมู่วี่สิง แล้วเวินจิ้งก็เขย่งปลายเท้าขึ้น ใช้เรี่ยวแรงยกแขนมู่วี่สิงขึ้น
ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงได้ตัวสูงขนาดนี้เนี่ย เวินจิ้งพยายามเงยหน้าขึ้นไม่ขาดสาย กว่าจะใส่เสื้อกันหนาวให้กับมู่วี่สิงได้นั้นไม่ง่ายเลย
พอเสร็จเลยพรูหายใจออกอย่างโล่งอก และมู่วี่สิงกลับรัดกุมไหล่เธอไว้ ภายใต้แววตาที่อบอุ่นละมุนละไมนั้น ชายหนุ่มย่องตัวลงเล็กน้อย ใบหน้าคมหล่อเหลาดั่งเทพบุตรประชิดใกล้
เวินจิ้งคิดไปไกลเถิดนึกว่าเขาจะจุมพิตเธอ จนใบหน้างามนั้นเงยขึ้นตอบสนอง
ทว่ามู่วี่สิงเพียงจูบลงบนหน้าผากของเธอเท่านั้นเอง เวินจิ้งเปี่ยมไปด้วยความอายเก้อ ใบหน้างามแดงก่ำ
มู่วี่สิงยกยิ้มที่มุมปาก เปลี่ยนเป็นลูบศีรษะเธออย่างปลื้มปีติเอ็นดู “รอผมกลับมาดี ๆ นะ”
มองดูมู่วี่สิงเดินจากไปแล้ว เวินจิ้งขมวดคิ้ว ทำไมรู้สึกอิด ๆ ออด ๆไม่อยากให้ไปเลยนะ?
เพราะคืนนี้มู่วี่สิงและมู่เฉิงอยู่ทานข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งคู่ ส่วนแม่บ้านก็ได้จัดเตรียมไว้แต่เนิบ ๆ แล้ว เวินจิ้งว่าง จึงเข้าครัวไปช่วยจัดเตรียมอีกแรง
แม่บ้านเปี่ยมไปด้วยความเกรงกลัวตระหนก แต่เวินจิ้งนั้นยืนยันว่าจะลงมือทำเอง แม่บ้านจึงไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วย
เพราะวัถุดิบมีไม่ครบ เวินจิ้งเลยไปซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อหาซื้อมา ระหว่างไปนั้น ก็ได้รับสายเรียกเข้าสายหนึ่ง
และมาถึงร้านกาแฟร้านหนึ่ง ฉือซินมาถึงก่อนอยู่แล้ว
“น้าฉือคะ” เวินจิ้งเอ่ยเรียกอย่างมีมารยาท
สำหรับฉือซินนั้น ท่าทางบุคลิกของเวินจิ้งก็ถืออยู่เกณฑ์ดี ตอนที่เธอและฉืออี้เหิงรักกันอยู่ ฉือซินก็เอ็นดูดูแลเธอเป็นอย่างดี
“เสี้ยงจิ้ง ลูกสาวคนนี่ สวยยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะจ๊ะ” ฉือซินยิ้มแย้ม ท่าทางที่สง่าอ่อนโยนดูเป็นผู้ดีสูงส่ง
เป็นหญิงสาวคนละคนต่างจากเมื่อสามปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
“คุณน้าก็พูดเกินไปแล้วค่ะ” เวินจิ้งก้มหน้าลงเก้อ
ฉือซินหรี่ตาขึ้น โดยไม่อ้อมค้อมเรื่องมาก จึงยื่นเช็กเงินใบหนึ่งให้เวินจิ้ง “เสี้ยงจิ้ง ฉันหวังมาเธอจะไม่ว่ายุ่งวุ่นวายกับอาเหิงอีก เมื่อหลายปีก่อนลูกนั้นลำบากขนาดไหน ผู้เป็นแม่อย่างฉันก็เห็นอยู่ในสายตา….”
เวินจิ้งขมวดคิ้วมุ่น มองดูเช็กเงินที่อยู่ตรงหน้า มูลค่าหนึ่งล้านถ้วน
เวินจิ้งยิ้มหยันขัน “คุณน้าคะ คุณน้าเชื่อข่าวนั่นหรอค่ะ?
“ไม่ว่าฉันจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เรื่องนี้มันกระทบต่ออาเหิงไปแล้ว ในฐานะแม่อย่างฉันคงทำเช่นนี้เพื่อช่วยเขาแล้ว เสี่ยวจิ้ง เมื่อก่อนฉันไม่ได้คัดค้านไม่ให้เธอรักกับอาเหิงเลย แต่ว่าพอมาวันนี้ ฉันทนเห็นพวกหนูยุ่งเกี่ยวกันอีกไม่ได้แล้ว….”
“คุณน้าคะ คุณน้าคิดผิดแล้วหละค่ะ” เวินจิ้งพูดตัดความของฉือซินขึ้น “คำพูดพวกนี้ คุณน้าไปบอกฉืออี้เหิงจะดีกว่าค่ะ เพราะคนที่มายุ่งวุ่นวายกับหนูมาตลอด คือเขาค่ะ”
“เป็นไปได้ไง? ตอนนี้เขากับฉินเฟยใกล้แต่งงานกันแล้วนะ…….” แววตาฉือซินบ่งบอกว่าเธอไม่เชื่อ
“มันเป็นเรื่องจริงค่ะ”
เวินจิ้งไม่อยู่นานต่อไป
ก่อนไป ฉือซินเอ่ยเรียกรั้งเธอไว้ “เสี่ยวจิ้ง เธอจะมาทำลายพังความก้าวไกลของอาเหิงไม่แล้วจริง ๆ นะ”
เวินจิ้งใบหน้าเย็นเฉียบลง เขาเองนั่นแหละ ที่มาทำลายพังชีวิตของเธอ
น้ำตาคลอเต็มเบ้าตาที่จะหลั่งไหลในช้า เวินจิ้งสูบหายใจเข้าลึก ๆ หันรีหันหัวกลับ
ทันใดนั้น ก็มีแรงถมทับบนไหล่เธอ เมื่อเวินจิ้งหันกลับไปดู ก็มีบอร์ดี้การ์ดสองรายจับตัวเธอไว้
ฉือซินเดินไปยังเบื้องหน้าเธอก่อนเอ่ย “เสี่ยวจิ้ง คงลำบากใจหนูหน่อยนะ”
ถ้อยคำสิ้นสุดลง บอร์ดี้การ์ดสองรายใช้แรงแข็งแกร่งดั่งช้างนำตัวเธอขึ้นรถ
เวินจิ้งขัดขืนสุดกำลัง แต่มันจะไปเทียบแรงอะไรของบอร์ดี้การ์ดได้หละ ดวงตามองที่กำลังจะถูกจับขึ้นรถไปนั้น ก็มีลมกระโชกอยู่ข้าง ๆ อย่างมากโข ร่างบอดี้การ์ดก็ถูกเตะล้มพรวดกองพื้น
ฉีเซินสะบัดข้อมือตัวเอง มุมปากยิ้มเยือกเย็น “ไม่คิดว่าแรงกำลังหมัดของฉันยังไม่ถดถอยเลยสักนิดเลยนะ”
“คุณเป็นใครกัน?” ฉือซินใจเสาะจ้องมองชายหนุ่มอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย
ฉีเซินยิ้มขบขำ เห็นบอดี้การ์ดตรงหน้าทำท่าจะลุก เท้าของเขาก็ฟาดเตะอย่างสุดแรงลงไปอีกครั้ง
คราวนี้ โอบกอดเวินจิ้งในอ้อมแขนไว้
“ฉีเซิน”
ประโยคสิ้นลง เขาโอบเวินจิ้งไปยังรถตัวเอง
เวินจิ้งพรูหายใจโล่งอกมา เงยมองฉีเซินไว้ ไม่คิดว่าจะเป็นเขาอีกแล้ว
“ขอบคุณนะค่ะ” เวินจิ้งโล่งอก
สำหรับฉีเซินนั้นเธอไม่ต้องกลัวหลบเลี่ยงอะไร เมื่อครู่….เธอจะจับตัวเธอไปงั้นเหรอ?
เธอคิดจะทำอะไรกัน…..เวินจิ้งไม่กล้าขบคิดฟุ้งซ่านต่อ
“เมื่อกี้ผมเสี่ยงไปช่วยชีวิตคุณเลยนะ แค่คำขอบคุณคำเดียวไม่พอหรอกนะครับ” ฉีเซินหรี่ตาเปลั่งเสน่ห์ชวนหลงไหลดั่งดอกไม้หวานชื่น
“งั้น……คุณต้องการอะไรค่ะ?” เวินจิ้งมองดูเขา
“เลี้ยงข้าวผมมื้อหนึ่ง” เห็นสีหน้าเวินจิ้งตระหนกตื่นเต้นนั้น ฉีเซินจึงขบขำออกมา
เวินจิ้งยิ้มขำ “ได้สิ แต่ว่าวันนี้ฉันจะกลับบ้านแล้ว หรือไม่ไว้วันอื่นละกันค่ะ?”
เธอซื้อวัถุดิบเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งใจเตรียมลงมือเข้าครัวเอง
ฉีเซินชำเลืองตาเห็นถุงช็อปปิ้งในมือเธออย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเอ่ย “พรุ่งนี้ผมต้องไปต่างจังหวัด ไปหนึ่งอาทิตย์กว่าจะกลับมา”
เวินจิ้งมองดูปฏิทินก่อนเอ่ย “งั้นพฤหัสหน้าละกันค่ะ?”
“อืม งั้นโอเคครับ ห้ามเบี้ยวหละ”
เวินจิ้งพยักหน้ารับ เตรียมลงจากรถ
ฉีเซินก็ปริปากเอ่ยขึ้น “ไม่ทิ้งเบอร์คุณไว้ให้ผมหน่อยเหรอครับ นี่คุณคิดจะโกงผมเหรอ?”
เวินจิ้งผวาอึ้ง การสานรักก่อนหน้านี้นั้นเธอได้รับสายโทรศัพท์ผ่านเขาก็จริง แต่ว่าต่อมาก็ลบทิ้งไปแล้ว
แล้วเธอเอ่ยทิ้งเบอร์ตัวเองไว้ก่อนลงจากรถไป
ฉีเซินจ้องมองเบื้องหลังเขาอย่างพึงพอใจล้นทะลัก แล้วเม้มปากแน่น
กลับมายังบ้านตระกูลมู่ หลังจากที่เวินจิ้งจดจำอาหารที่ต้องเลี่ยงสำหรับมู่เฉิงและมู่วี่สิงแล้ว จึงเริ่มลงมือจัดเตรียมอาหารเย็นขึ้น
มู่เฉิงเป็นคนกลับมาถึงก่อน แม้ว่าอายุราวปานครึ่งชีวิตไปแล้ว แต่เขาก็ขยันเข้าสังคมและออกกำลังอย่างไม่ขาดสาย
มู่วี่สิงกลับมาตอนเกือบค่ำแล้ว และเวินจิ้งก็ยังอยู่ในห้องครัวเตรียมอาหารจานสุดท้ายอยู่ ส่วนมู่วี่สิงอยู่ด้านนอก มองดูหญิงสาวที่หันหลังก้มหน้าก้มตาทำซุปให้กับเขาที่กำลังล้างมืออยู่