บทที่ 651 ฉันกับเธอมันต่างกัน
อุณหภูมิภายในห้องค่อยๆอบอุ่นขึ้นมา ทว่าเวินจิ้งกลับไม่ตอบๆคำของมู่วี่สิง เธอนำน้ำซุปข้างๆยกขึ้นมาป้อนให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ “คุณลองชิมน้ำซุปนี่หน่อย รสชาติดีทีเดียว”
ชายหนุ่มมองใบหน้าสวยหมดจดตรงหน้าผ่านไอความร้อนที่ลอยขึ้นมา เขาดื่มซุปพลางมองความเคลื่อนไหวของเธอ
“เราจะออกไปเดินเล่นหรือว่าดูหนังกันดี?”
เวินจิ้งตกชะงัก ในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงมู่วี่สิง ห้องหอของพวกเขาเคยมีโฮมเทียเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียงหรือความคมชัดของภาพนั้นไร้ที่ติ เรียกได้ว่าดีกว่าโรงหนังเสียอีก
แต่ทว่า เรื่องนั้นก็เป็นแค่อดีตไปแล้ว
เธอพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
ตอนนี้รอบหนังในโรงมีแต่แนวบู๊เลือดสาด เวินจิ้งชะงักเท้าทันทีเมื่อเห็นโปสเตอร์หนังตรงทางเดิน
มู่วี่สิงโอบไหล่เธออย่างถือวิสาสะ พร้อมกับหันไปมองโปสเตอร์แผ่นเดียวกัน “รอก่อน เดี๋ยวก็ได้ดูแล้ว”
ทั้งสองรอเกือบจะชั่วโมง ถึงได้เข้าไปดูหนังเรื่อง Detective Conan Front Cyan Blue Fist
ภายในโรงมีเสียงดังเล็กน้อย เพราะมีเด็กๆ ส่งเสียงจอแจมาเป็นระยะ และเสียงกินป๊อปคอร์นดังตลอดเวลา
ในระหว่างการดูภาพยนตร์มู่วี่สิงออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกหลายครั้ง ส่วนเวินจิ้งจดจ่อกับเนื้อเรื่องในจอตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อหนังจบ ร้านค้าในโรงภาพยนตร์มีการจัดขายโมเดลของเล่นที่ระลึกจากภาพยนตร์เรื่องนี้
สายตาของเวินจิ้งหยุดอยู่พักหนึ่ง เมื่อโสตประสาทได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดังระงมขึ้น
“ทำไมคนเยอะจัง” เธอหันไปดู พบว่าคนต่อแถวยาวไปจนถึงหน้าประตูโรง
ที่จริงแล้วนี่เป็นการฉายรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์ใหม่เรื่องนี้ นักแสดงนำชายหญิงล้วนทั้งเป็นไอดอลคนดังที่กำลังเป็นที่นิยม ตอนนี้ทีมโปรดิวเซอร์ได้พากันทยอยเข้ามากันแล้ว ทั่วทั้งโรงแลดูคึกคักกันเป็นพิเศษ
เวินจิ้งมองดูความยิ่งใหญ่ของการเปิดตัวภาพยนตร์ในครั้งนี้ ก่อนจะดึงแขนของมู่วี่สิงมากระชับแน่นอย่างไม่รู้ตัว เธอเขย่งเท้าเพื่อไปพูดข้างหูกับเขาว่า “ที่แท้คุณก็พาฉันมาดูนี่เองสินะ”
สายตาของมู่วี่สิงทอดหยุดอยู่บนโปสเตอร์หนังที่มีรูปของไป๋ซีสวมใส่ชุดนักเรียนที่ดูสะอาดและบริสุทธิ์บนนั้น เหลือแต่น้ำเสียงที่ยั่วเย้าของเวินจิ้งที่ยังคงดังอยู่ข้างหู
ทันใดนั้นไม่ไกลเสียงกรีดร้องของแฟนคลับรอบๆ ได้ดังขึ้น ร่างของไป๋ซีในชุดเดรสสีดำกำลังเดินเข้ามาในโรงภาพยนตร์ท่ามกลางเหล่าผู้คนมากมาย
เวินจิ้งกดมุมปากเป็นรอยยิ้มลึกก่อนจะพูดว่า “ฉันยังจำครั้งแรกที่เห็นเธอได้”
เธอยั่วเย้าตามอำเภอใจอยู่ในอ้อมอกของมู่วี่สิง
“มู่วี่สิง” เวินจิ้งกะพริบตา เขาแค่มองเธอเงียบๆไม่พูดจา ที่นี่เป็นเมืองที่ไม่คุ้นเคย แต่ทำไมมันบังเอิญขนาดนี้ บังเอิญจนทำให้สงสัย
ตามองมาที่เขา ใบหน้าของเธอไม่มีความขุ่นเคืองใจสักนิด ทว่ากลับส่งรอยยิ้มเจิดจ้า
“ครั้งต่อไปคุณอย่ามาทดสอบฉันแบบนี้ โอเคไหม”
ฉับพลันดวงตาของเขากลับมืดลงทันที มีเพียงแค่น้ำเสียงติดเย็นชาที่ถามกลับไป “ทดสอบ?”
ตอนนี้รอยยิ้มของเวินจิ้งยังคงกดลึกแบบเดิม “ฉันรู้ตัวเองดีว่าควรทำยังไง ฉันไม่ทำลายบริษัทหลินซื่อหรอกนะ แล้วก็จะไม่ให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณแม่ด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันเห็นเธอกับหยูจิ่งห้วนกลับไปโรงแรมพร้อมกัน นับว่าเป็นการทดสอบด้วยไหม?” พลันริมฝีปากบางของมู่วี่สิงยกขึ้น แต่น้ำเสียงกลับดุดัน
“พวกเราบริสุทธิ์ใจ” เธอเคยสารภาพทุกอย่างไปกับเขาตั้งนานแล้ว “คุณกับเธอ
มันต่างกัน”
อย่างน้อยที่สุดแล้วโดยความคิดส่วนตัวของเวินจิ้ง มู่วี่สิงกับไป๋ซีเคยมีความสัมพันธ์กันมาตั้งนานแล้ว
แต่ตอนนั้น เธอกลับไม่ได้กลับมาอยู่ข้างๆมู่วี่สิง ดังนั้นเธอจึงบอกตัวเอง ว่าไม่เป็นไร
“ถ้าอย่างนั้นจะบอกอะไรเธอ ทดสอบเธอน่ะมันมีหลายวิธี” เขายิ้มอย่างเฉยชา เมินเฉยคำพูดประโยคหลังของเธอไปราวกับไม่ได้ยิน
“ฉันไม่ใช่คนที่จะมาเสียดายอะไรกับตั๋วสองใบหรอกนะ”
ตลอดทั้งคืนทั้งสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย
หลังจากมู่วี่สิงพาเธอกลับมาโรงแรมแล้ว เขาจึงก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป
ตอนเวินจิ้งกำลังจะเข้าสู่นิทรา ฝั่งที่นอนข้างๆยังคงว่างและโดดเดี่ยว นอกห้องกลับได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้น
เธอรู้สึกไม่ดีที่ก่อนหน้านั้นแสร้งว่าตัวเองทำเป็นยินดีแบบนั้น แต่ก็ยังดีกว่าทำเป็นเย็นชาใส่กันแบบนี้
เมื่อมู่วี่สิงกลับมาในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เวินจิ้งกำลังนั่งกินข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะ เธอพึ่งอาบน้ำเสร็จเลยทำให้ดวงหน้าขาวยิ่งกระจ่าง แสงแดดตอนเช้าที่ลอดผ่านมากระทบใบหน้า ยิ่งขับให้พวงแก้มมีสีเปล่งปลั่ง
“วันนี้กลับเลยไหม?” เธอยิ้มจาง เหมือนกับว่าเมื่อวานไม่มีเรื่องบาดหมางกัน
“ยังไง?”
“ ไป๋ซีขอให้ฉันไปพบ” เวินจิ้งพูดอย่างตรงไปตรงมา พลางเขย่ามือถือเล่นไปมา “ฉันก็แปลกใจเหมือนกัน”
“ไฟล์ทบินมีตอนบ่าย ตามใจเธอแล้วกัน” มู่วี่สิงไม่แสดงอารมณ์อะไร
เวินจิ้งจ้องมองเขาอยู่นาน แต่ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นยังคงปั้นหน้าเฉยเมย
“งั้นฉันไปนะ” เวินจิ้งยิ้ม “แต่หลังจากได้เจอ ฉันคิดว่าได้พาดหัวข่าวแน่ๆ”
เขาแค่เอี่ยวตัวมาจูบหน้าผากเธอ แต่ไร้ซึ่งคำพูดใด
… …
ร้านกาแฟที่เพิ่งจะเปิดร้าน พนักงานกำลังยืนเช็ดกระจกหน้าต่างอย่างขะมักเขม้น แสงแดดอ่อนๆทอดผ่าน ร้านนี้คนสัญจรไปมาไม่เยอะ ดังนั้นจึงไม่มีเสียงจอแจน่ารำคาญของผู้คน
“อยากนั่งที่นั่งฝั่งนู้นไหมคะ?”
หญิงสาวสวยสวมแว่นกันแดดสีดำส่ายหน้า“ตรงนี้โอเคแล้วค่ะ” เธอพูด
พลางถอดแว่นกันแดดสีดำออก เผยให้เห็นใบหน้าเล็กใสไร้เครื่องสำอาง “ฉันไม่ชอบถูกนักข่าวตามสักเท่าไหร่”
เวินจิ้งเพียงแค่ยิ้มตอบ “’แล้วทำไมถึงนัดฉันออกมาพบเหรอคะ?”
ไป๋ซียิ้ม “ถึงอย่างไรคุณก็ช่วยผ่าตัดฉัน ก็แค่อยากจะมาขอบคุณ”
“แค่นั้นเหรอคะ” คิ้วเรียวเลิกขึ้น “ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีแค่นี้”
ไป๋ซีออกอาการอึดอัดเธอรู้สึกวางตัวไม่ถูก ครู่หนึ่งเธอหัวเราะเบาๆกับตัวเองก่อนพูด “ฉันคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันคงจะไม่มีชื่อเสียงเหมือนวันทุกวันนี้หรอกค่ะ คุณเข้าใจที่ฉันจะสื่อไหมคะ?”
“จะพูดอะไรก็พูดเถอะค่ะ” เวินจิ้งพูดขึ้นก่อนจะจ้องหน้าร่างบางตรงหน้า “ฉันคิดว่าเราสองคนได้พูดคุยกันต่อหน้าแบบนี้ มันทำให้อึดอัดน่ะค่ะ”
ไป๋ซีชะงักงัน ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
“มู่วี่สิงสั่งให้คุณมาหาฉันใช่ไหม เขาคงหวังให้คุณจะพูดอะไรสักอย่างกับฉัน พูดอะไรที่สามารถทำให้ฉันปรนนิบัติต่อเขาให้ดี” น้ำเสียงเวินจิ้งยังคงราบเรียบ
ใบหน้าของไป๋ซีพลันขาวซีด เธอกัดปากตัวเองแน่น “เขาไม่ได้สั่งให้ฉันมาหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะมาคุยกับคุณตามลำพัง”
ในใจของเวินจิ้งไม่อยากจะพูดคุยอะไรกับไป๋ซีอีกแล้ว แม้แต่กาแฟเธอก็ไม่อยากสั่ง
“ระหว่างเรา ฉันคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องคุย”
พูดจบ เธอก็ได้เดินจากไป แค่จะเห็นใบหน้าของไป๋ซีมันทำให้เธอรังเกียจ
เธอเข้าใจคำพูดของหล่อนดี ถ้าหากว่าเธอไม่ถูกพึงพอใจโดยมู่วี่สิงแล้ว ตั้งแต่นั้นมาเธอจะได้เป็นที่นิยมในวงการบันเทิงหรือ?
ไม่คิดว่าวันหนึ่งหล่อนจะมีฝีมือ แต่แค่เธอไม่เชื่อ ทำไมมู่วี่สิงถึงเลือกที่จะให้ความสำคัญกับไป๋ซี
แต่ก็นะ ไม่เห็นจะมีความสำคัญอะไรกับเธอ
“คิดดีแล้วหรือยัง?” ทันใดเสียงของมู่วี่สิงก็ลอยมากระทบโสตประสาทของเธอ “เรื่องการรับซื้อบริษัทหลินซื่อ”
“รอฉันกลับไปคุยกับคุณแม่ก่อน” เวินจิ้งขมวดคิ้วมุ่น
เธอพึ่งจะนอนไปได้สักพักแต่ถูกปลุกขึ้นมาจากแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องบิน ไฟในห้องโดยสารหรี่ลง พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกำลังประกาศให้ทราบว่าตอนนี้กำลังประสบกับปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนหนัก ไม่มีทางที่จะนำเครื่องลงได้ตรงเวลา จึงขอให้ทุกคนอดทน
มู่วี่สิงหันหน้ากลับมาดูเห็นใบหน้าซีดขาวของเวินจิ้ง ก่อนโน้มตัวลงไปพูดกับเธอว่า “คาดเข็มขัดให้ดี”
แต่เวินจิ้งไม่มีทีท่าว่าจะทำตาม
อีกครั้งที่เครื่องบินมีการสั่นสะเทือน ใบหน้าของเวินจิ้งไร้สีเลือด นิ้วเรียวกำผ้าห่มแน่นจนเกร็ง ไม่มีคำพูดอะไรจากเธอสักคำ