บทที่ 656 ลุ่มหลงเกินไปจึงทำผิดพลาด
ขณะที่เวินจิ้งลืมตาขึ้นอีกครั้ง คนที่เข้ามาในสายตาก็คือชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา เสี้ยวนาทีนั้น ริมฝีปากสีแดงเข้มของเธอก็ซีดลง
เธอมองเขานิ่งเงียบ ไม่พูดใดๆเนิ่นนาน
เดิมทีสายตายังมีความรู้สึกอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็จางลงจนกระทั่งหายไป
“คุณมาได้ยังไง” เธอกล่าวน้ำเสียงเย็นชาเหลือเกิน
สีหน้าของมู่วี่สิงก็ขาวซีดเช่นกัน เพียงแต่มองเวินจิ้งเงียบๆ
มุมปากของเวินจิ้งยังเหยียดยิ้ม เธอหุบยิ้ม แล้วออกแรงยกมือสัมผัสใบหน้าคมคายของเขา พูดเสียงต่ำ “ไม่มีก็ดี ฉันไม่อยากให้เขาเป็นลูกนอกสมรส เขาไม่ควรเกิดมาอยู่แล้ว”
มู่วี่สิงใช้เวลาที่ห้องคนไข้ไม่นาน เวินจิ้งเองก็ไม่อยากจะคาดเดาอารมณ์และความคิดของเขา เธอรู้สึกเหนื่อย
เธอหลับตาลง รอบกายเงียบสงบ ห้องคนไข้ที่ไม่มีมู่วี่สิง เป็นสถานที่ผ่อนคลายที่สุด
กระทั่งถึงช่วงค่ำ เวินจิ้งรู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง คนที่นั่งข้างๆ เธอคือหยูจิ่งห้วน
เมื่อเห็นเธอตื่น เขาก็รีบหยิบหมอนมา เพื่อให้เวินจิ้งหนุนหมอนจะได้รู้สึกสบายขึ้น
“หิวมั้ยครับ” เขาถาม
เวินจิ้งยังจำได้ดีตอนที่เธอถูกผลักล้ม หยูจิ่งห้วนกังวลและหวาดกลัว เธอขยับริมฝีปาก พยักหน้าช้าๆ
เขาช่วยเธอกางโต๊ะคร่อมเตียง และยังช่วยเป่าโจ๊กร้อนๆ อย่างอ่อนโยน
เวินจิ้งมองท่าทางของเขา ใบหน้าของเขาราวกับค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าหล่อเหลาของมู่วี่สิง เธอจิกมือแน่น จนรู้สึกเจ็บ ถึงจะลืมตาอีกครั้ง
“ยังรู้สึกไม่สบายหรือเปล่า ผมเรียกหมอให้”
พอเห็นเวินจิ้งขมวดคิ้ว เขากุลีกุจอลุกขึ้นกดกริ่ง
เวินจิ้งรีบห้ามเขาทันที “ฉันสบายดีค่ะ”
เธอหลับมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว กำลังกายค่อยๆ ฟื้นคืน แม้ว่าร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก
“ผมช่วยป้อน” หยูจิ่งห้วนพูด ส่งช้อนมาถึงริมฝีปากของเธอแล้ว
เวินจิ้งไม่ปฏิเสธ จนกระทั่งกินโจ๊กหมดชาม จึงถามขึ้น “แม่ไม่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย”
“ผมบอกคุณน้าแล้ว ช่วงนี้คุณอยู่กับผม ไม่ต้องห่วง”
“ขอบใจนะ”
“เมื่อไหร่กัน” เขาถาม
เวินจิ้งมองเขา สายตาตะลึงขึ้นมาแวบหนึ่ง
“สองเดือนแล้ว”
เธอเอง ลืมกินยา
ลุ่มหลงเกินไป จึงทำผิดพลาด
“คุณคิดจะทำยังไงต่อ” หยูจิ่งห้วนเวลานี้ปราศจากรอยยิ้มร่าเริงเช่นที่เคยเป็นมา มีแต่ความสงสารเท่านั้น
“ไม่ทำยังไง ควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”
“ผมคิดว่า คุณเหมาะทำงานที่โรงพยาบาลต่อไปมากกว่า”
อารมณ์ของเวินจิ้ง ไม่เหมาะกับการทำธุรกิจ
“ฉันเป็นหลานสาวคนเดียวของตระกูลหลิน คุณคิดว่าฉันยังกลับไปได้อีกหรือ” เวินจิ้งพูดความจริงเรื่องนี้กับเขา
เมื่อก่อนเธออาจจะลองต่อต้าน แต่สุขภาพของหลินเวยแย่ลงเรื่อยๆ เธอรู้ดีว่าตัวเองต้องรับภาระความรับผิดชอบนี้
“บางที ผมช่วยคุณหาผู้รับอำนาจที่เหมาะสมได้”
“ฉันไม่วางใจ แม่เองก็ไม่มีทางวางใจ” เวินจิ้งพูดขัดเขา
“เวินจิ้ง ผมหวังว่าคุณจะมีความสุข” ความจริงใจของ หยูจิ่งห้วนฉายในแววตาของเขา
“จิ่งห้วน คุณกลับไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว” เวินจิ้งบีบนวดหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้า
หยูจิ่งห้วนเม้มริมฝีปาก พยักหน้าช้าๆ
“มีอะไรก็โทรหาผมละกัน”
เวินจิ้งหลับตาลง ราวกับฝันไป ในความฝันนั้นมีเด็กน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ยืนถือไอศกรีมเขย่งเท้าอยากให้เธอช่วยฉีกห่อไอศกรีม เธอแย้มยิ้ม แต่พอฉีกซองแล้ว ไอศกรีมละลายหมดแล้ว พอเธอเงยหน้า ก็ไม่เห็นเงาของเด็กน้อยแล้ว
หนูไปไหนแล้ว
เธอลืมตาโพลง โทรศัพท์มือถือข้างตัวสั่น เวินจิ้งเช็ดเหงื่อที่ผุดบนใบหน้า แล้วหยิบมือถือ
ข้อความวีแชทนั่นเอง
“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่าเธอท้อง”
ใบหน้าเวินจิ้งไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ไม่ช้าก็ลบข้อความนั้นทิ้ง หลังจากโทรไปหาหลินเวยแล้ว ก็เรียกพยาบาลเข้ามา
“คุณเวิน”
“ฉันอยากกลับบ้าน ต้องทำยังไงบ้างคะ”
“กลับบ้านหรือคะ แต่สภาพร่างกายคุณตอนนี้ยังต้องอยู่โรงพยาบาลดูอาการอีกหลายวันนะคะ” พยาบาลหาสมุดประวัติการรักษาของเวินจิ้ง ใบหน้าฉายชัดว่าไม่เห็นด้วย
แต่ท่าทีของเวินจิ้งแน่วแน่อย่างมาก “ฉันอยากกลับบ้านตอนนี้”
“คุณเวิน คุณหมอไม่ยอมแน่ๆ อีกอย่างตอนนี้เป็นเวลากินข้าวของคุณหมอ อีกราวชั่วโมงหนึ่งถึงจะกลับมา ถ้าจะกลับก็ต้องรอคุณหมอยินยอมอยู่ดีค่ะ”
เวินจิ้งเงียบ ทันใดนั้นมองพยาบาลตรงไปตรงมา พูดเรียบๆ “ตอนนี้ฉันไม่มีเงินติดตัวสักแดง จ่ายค่ารักษาไม่ไหว เหตุผลนี้เพียงพอที่พวกคุณจะยอมให้ฉันออกจากโรงพยาบาลไหม”
พอพูดจบเธอก็หันไป เก็บข้าวของลงในกระเป๋าของตัวเอง
พยาบาลแม้จะดูอายุน้อย แต่ทำงานที่โรงพยาบาลมาเกือบสิบปีแล้ว เคยพบเห็นคนไข้ที่สีหน้าไม่ให้ความร่วมมือ คนที่หงุดหงิดเพราะอยากออกจากโรงพยาบาลก่อนกำหนด ไปจนถึงคนที่พูดจาหยาบคายข่มขู่และอดอาหาร ทำทุกทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเหตุผลเช่นนี้
แต่เธอไม่เชื่อที่คนไข้คนนี้พูดแม้แต่น้อย
ตอนส่งเธอมาที่โรงพยาบาล ผู้ชายที่มากับเธอดูแล้วฐานะไม่ธรรมดา ต้องเป็นคนในสังคมชั้นสูงแน่
แม้ตอนนี้ร่างกายเวินจิ้งจะอิดโรย แต่ยังคงดูมีสง่าราศี ดูแล้วไม่เหมือนคนยากจน
ดังนั้นจะพูดว่าเธอไม่มีเงิน คงจะเป็นเพียงคำพูดหลอกลวงแน่
แต่ถ้าเธอปฏิเสธจ่ายเงินค่ารักษาจริงๆ ละก็ เช่นนั้นเธอก็ไม่มีทางอยู่โรงพยาบาลต่อได้แน่นอน
ขณะที่ตอนนี้ห้องคนไข้ไม่เพียงพอ หลายคนอยากอยู่โรงพยาบาลแต่เตียงไม่พอ
“อย่างนั้นฉันจะช่วยติดต่อคุณหมอเจ้าของไข้ให้ค่ะ” พยาบาลถอนหายใจ
“ขอบคุณค่ะ”
ไม่นานพยาบาลก็กลับเข้ามา ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเรียบร้อย
“คุณเวิน” พยาบาลกำชับ “ออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องพักผ่อนมากๆ นะคะ”
“ทราบแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ” เวลาที่ท่าทีของเวินจิ้งยิ้มอ่อนโยน จริงใจ เป็นบุคลิกที่ทำให้คนอิจฉา
หลังออกจากโรงพยาบาล ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ฟังที่พยาบาลกำชับสักนิด เพราะเธอจองเที่ยวบินไปเมืองหนานทันที
หยูจิ่งห้วนรู้ว่าเวินจิ้งแอบออกจากโรงพยาบาล ก็ล่วงเข้าวันรุ่งขึ้นแล้ว เขาสืบไม่เจอว่าเวินจิ้งหายไปไหน และยังไม่ยอมบอกมู่วี่สิง
“หมอหยู ต้องเข้าห้องผ่าตัดแล้วค่ะ” พยาบาลที่อยู่ข้างๆ เห็นสีหน้ากังวลของหยูจิ่งห้วนก็อดไม่ได้ที่จะเตือนเขา
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจสักนิด เขาต้องปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ
เวลานี้ มู่วี่สิงที่สวมเสื้อคลุมสีขาวเพิ่งออกจากห้องตรวจ เห็นเขาท่าทางใจลอย ก็ขมวดคิ้ว
“นายเป็นไรไป” เขาถามเสียงเรียบ
ตั้งแต่เวินจิ้งเกิดเรื่อง ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนห่างเหินไปบ้าง แต่ที่โรงพยาบาล งานยังสำคัญที่สุด
“ไม่มีอะไร” หยูจิ่งห้วนไม่อยากเล่า
ถึงอย่างไรมู่วี่สิงก็คาดเดาได้ เรื่องที่ทำให้เขาอารมณ์แปรปรวน ก็มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับเวินจิ้ง
หลังกลับไปถึงห้องทำงาน เขาเรียกเกาเชียนเข้ามา “ตอนนี้เวินจิ้งเป็นยังไงบ้าง”
ไม่นานนัก เกาเชียนก็เข้ามารายงานอึกอัก “คุณเวินออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวานครับ”